บทที่ 9: หลิงฮวา
เย่เซิงเริ่มอ่านตำราประวัติศาสตร์เพื่อดูว่าต้าฉินของโลกนี้แตกต่างจากราชวงศ์ต้าฉินที่เขารู้จักในชาติก่อนหรือไม่
เมื่ออ่านหนังสือของราชวงศ์ก่อนหน้าเขาก็ได้ทราบว่าก่อนที่ต้าฉินจะก่อตั้งประเทศขึ้นมานั้นได้มีราชวงศ์ก่อนหน้าเรียกว่า ‘ราชวงศ์หลง’ (มังกร) ซึ่งปกครองแผ่นดินนี้มาอย่างยาวนานถึงแปดร้อยปี ในช่วงปลาย ๆ รัชสมัยราชวงศ์ก็ค่อย ๆ ถดถอยลงอย่างช้า ๆ เหล่าขุนนางในราชสำนักก็ค่อย ๆ ประพฤติตัวเลวทรามลง แม้แต่ประชาชนเองก็ยังกลายเป็นพวกชั่วร้ายป่าเถื่อนจนบรรดาขุมกำลังทั้งหลายได้เข้ายึดอาณาเขตและตัดแบ่งประเทศกันไปคนละชิ้นสองชิ้น
เหตุการณ์นี้จึงทำให้สามแดนศักดิ์สิทธิ์ สิบตระกูลใหญ่และสี่นิกายใหญ่ได้พัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในช่วงนั้น
จักรพรรดิก่อตั้งของต้าฉินคือจักรพรรดิฉื่อหวาง มีเย่หวางเหย่เป็นผู้ร่วมมือ ทั้งคู่ได้ใช้ฝีมือด้านวรยุทธ์อันเก่งกาจหาตัวจับยากเข้ารวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งและก่อตั้งประเทศขึ้นมา หลังจากที่สถาปนาต้าฉินแล้วจักรพรรดิฉื่อหวางก็หมายจะลิดรอนอิทธิพลอำนาจของขุมกำลังทั้งหลายลง
ประมุขนิกายสังสารวัฏโกรธมากจึงได้มาลอบสังหารพระองค์
ตามตำราประวัติศาสตร์แล้วระดับการฝึกฝนของจักรพรรดิฉื่อหวางแทบจะไร้เทียมทาน ในการต่อกรกับการลอบสังหารของนิกายสังสารวัฏพระองค์ได้ทรงยื้อเวลาเอาไว้จนกองทหารเข้ามาช่วย แต่ก็โชคไม่ดีที่ต้องถูกปลงพระชนม์ลงในท้ายที่สุด ส่วนเย่หวางเหย่นั้นสามารถสังหารประมุขนิกายสังสารวัฏได้
ด้วยการสวรรคตของจักรพรรดิฉื่อหวางทำให้ทั้งต้าฉินเกิดความระส่ำระสายจนโดนผลักเข้าไปยืนอยู่หน้าปากเหวแห่งการล่มสลาย จักรพรรดิฉินองค์ที่สองเสด็จขึ้นครองบัลลังก์และทำให้ราชสำนักมั่นคง สิ่งแรกที่ทรงทำคือมอบกองทัพทหารจำนวนหนึ่งล้านนายให้แก่เย่หวางเหย่ อีกทั้งยังทรงต้องการให้เย่หวางเหย่มาเป็นอาจารย์ของพระองค์เองด้วยเพียงแต่แต่เย่หวางเหย่ปฏิเสธไป
เมื่อเย่หวางเหย่เข้าควบคุมทหารหนึ่งล้านนายนี้แล้วก็เท่ากับกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ สิ่งแรกที่เขาทำคือการทำลายล้างนิกายสังสารวัฏลงอย่างสิ้นซาก เป็นการรบที่น่าเศร้า เพราะว่ากองทหารทั้งหนึ่งล้านนายนั้นต้องจ่ายราคาแพงแสนแพงถึงจะสามารถทำลายนิกายสังสารวัฏลงได้ ในการต่อสู้ครั้งนั้นเย่หวางเหย่ได้ต่อสู้กับผู้อาวุโสทั้งห้าของนิกายด้วยตัวคนเดียวและสังหารทั้งห้าคนทิ้งทั้งหมดได้สำเร็จจนทำให้ทุก ๆ คนต้องตกตะลึงกับความแข็งแกร่งที่เขาสำแดงให้โลกหล้าได้เห็น
หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นต้าฉินที่กำลังระส่ำระสายกลับกลายเป็นเสถียรมั่นคง และเย่หวางเหย่ก็กลายเป็นชายที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินรองจากองค์จักรพรรดิ
หลังจากนั้นอีกสิบเจ็ดปีเย่หวางเหย่อก็ไม่ได้ออกต่อสู้อีกต่อไป เขาอยู่ในเซียนหยางและคอยรับใช้ราชสำนัก
หลังจากอ่านจบแล้วเย่เซิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายิ่งอ่านยิ่งกดดันอ่านจบก็ยิ่งกดดันหนักกว่าเดิม ไอ้พ่อเฮ็งซวยนี่มันจะเหี้ยมเกรียมเกินไปแล้ว
มีพ่อแบบนี้แผนหลบหนีออกจากไอ้หวางฝูบัดซบแห่งนี้ของเย่เซิงก็ต้องเป็นหมันไปโดยปริยาย
ถ้าหากเย่เซิงไปทำให้พ่อบัดซบนั่นโกรธเข้าจริง ๆ ล่ะก็ มันไม่ลงมือฆ่าเขาทิ้งเอาง่าย ๆ เลยหรอกเหรอ?
“สงสัยต้องหาแผนที่มันดีกว่านี้ซะแล้ว” เย่เซิงบ่นกับตัวเอง
เขาวางตำราเล่มนี้ลงแล้วไปหาตำราประวัติศาสตร์อื่น ๆ มาอ่านเพื่อทำความเข้าใจกับโลกที่ตัวเองกำลังอาศัยอยู่นี้ให้ดียิ่งขึ้น
ตั้งแต่สมัยโบราณยันปัจจุบัน จะเรียกอวยว่าเป็นธาตุแรกของโลกก็ว่าได้นั่นคือธาตุกำลัง จักรพรรดิก่อตั้งของราชวงศ์หลงนั้นเห็นได้ชัดเลยว่ามีสายเลือดของมังกรไหลเวียนอยู่ในพระวรกาย ดังนั้นพระองค์จึงทรงสามารถฝึกฝนได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เวลาเพียงสามสิบปีก็สามารถเอาชัยจากจอมยุทธ์ขั้นสูงเกือบทุกคนบนโลกและสุดท้ายก็สามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งแล้วก่อตั้งราชวงศ์หลงซึ่งปกครองแผ่นดินยาวนานถึงแปดร้อยปีได้ หลังจากนั้นจึงได้เสด็จออกจากโลกใบนี้ไป
ในยุคปัจจุบัน ยุคหลังราชวงศ์หลง พระโคตมะของพระพุทธศาสนา จางซานเฟิงแห่งลัทธิเต๋า และคนอื่น ๆ ที่ฝึกฝนวิถี (เต๋า) กระบี่รวมไปถึงวิถีอื่น ๆ ต่างได้สำเร็จมรรคผลและออกจากโลกนี้ได้ ซึ่งความสำเร็จของคนเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ ต่างมุ่งมั่นที่จะออกจากโลกนี้เพื่อไปเห็นโลกภายนอกบ้างเหมือนกัน
สามสิบปีนับตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉินเป็นยุคที่รุ่งเรืองซึ่งใช้น้ำมันในการทำกับข้าว ซึ่งมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นที่จะรู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญขนาดไหน พวกเขาทั้งหมดได้รู้แล้วว่าตราบใดที่ยังคงขยันหมั่นเพียรทำงาน ตราบนั้นบนโต๊ะกินข้าวของพวกเขาก็จะมีอาหารอร่อย ๆ วางอยู่เต็มโต๊ะเสมอ
แต่สำหรับกองกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายนั้นความเจริญของต้าฉินไม่ได้เพียงพอที่จะให้ชายสายตาไปแลมอง
หลังการทำลายนิกายสังสารวัฏต้าฉินก็ได้เอาทรัพยากรของตนเองมาใช้ และเย่หวางเหย่ก็ยังนอนเงียบ ๆ ในเซียงหยางอยู่ถึงสิบเจ็ดปีโดยที่ไม่ออกไปไหน
มันเลยทำให้ตลอดช่วงเวลาสิบเจ็ดปีมานี้ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายได้ปรับปรุงพัฒนาตัวเองด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ซึ่งเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในแผ่นดินอีกครั้ง
เย่เซิงใช้เวลาทั้งเช้าเพื่ออ่านทั้งหมดนี้ เขานั่งอยู่คนเดียวในมุมมุมหนึ่งโดยมีตำราทุกชนิดวางอยู่ใกล้ ๆ
ในตอนเที่ยง ผู้คนในศาลาสะสมตำราได้จากไปเหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่คือเย่เซิงกับหลิงฮวา
เย่เซิงยังคงใจจดใจจ่ออยู่กับการตำรา เขาอ่านทุก ๆ รายละเอียดอย่างระมัดระวังไม่ตกหล่น ส่วนหลิงฮวานั้นเอาแต่นั่งมองไปที่เย่เซิง
“พี่สิบสองอ่านอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” หลิงฮวาเข้ามาใกล้ ๆ เย่เซิงแล้วถามขึ้น
เย่เซิงตอบไปว่า “อ่านตำราประวัติศาสตร์อยู่น่ะ”
หลิงฮวาหันไปดูตำรารอบ ๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว “นิกาย ขุนนาง วัง? พี่สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอเจ้าคะ?”
เย่เซิงเหลือบมองไปที่เธอซึ่งปกติไม่เคยคุยกัน ‘ทำไมวันนี้ยัยนี่มาชวนคุยด้วยหว่า...’
“เรื่องสนใจน่ะแค่นิดหน่อย แต่ที่ต้องการจริง ๆ คือฆ่าเวลาต่างหาก” เย่เซิงกล่าวเรียบ ๆ
“ข้าเองก็มีตำราอยู่กับตัวด้วยเล่มหนึ่ง ลองอ่านหน่อยมั้ยเจ้าคะ?” หลิงฮวาพูดพลางยื่นหนังสือให้เขา
เย่เซิงมองไปที่มัน เป็นหนังสือปกสีดำที่ไม่มีตัวอักษรใด ๆ เขียนอยู่เลย เขาหยิบมาพลิกเปิดอ่าน
อักษรเจี๋ยกู่? (กระดูก)
เย่เซิงหันกลับไปมองหลิงฮวาด้วยความประหลาดใจ
‘เฮ่ย! ข้อความในหนังสือนี่กลายเป็นอักษรเจี๋ยกู่ซะงั้น?’
“พี่เย่เซิงเจ้าคะ ข้อความในตำราเล่มนี้แตกต่างจากข้อความที่เราใช้ ๆ กันในปัจจุบันเลยเจ้าค่ะ น่าจะเป็นภาษาโบราณ ไม่ทราบว่าพี่รู้วิธีอ่านมันมั้ย?” หลิงฮวานั่งลงข้าง ๆ เย่เซิงแล้วถามยิ้ม ๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเป็นภาษาโบราณล่ะก็แปลว่ามันต้องเป็นตำราที่เก่าแก่มาก ๆ เลยสินะ? เจ้าไปหามาจากไหนรึ?” เย่เซิงตีหน้าเซ่อ ๆ ถามกลับไป
“ได้มาจากนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ” หลิงฮวาตอบเบา ๆ
เย่เซิงพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับนายหญิงใหญ่แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรกันด้วย
“ตำราเล่มนี้ควรจะเป็นของพี่สิบสองเองนะเจ้าคะ” หลิงฮวาจ้องหน้าเย่เซิงขณะที่บอก
เย่เซิงขมวดคิ้วและมองกลับมาที่เธอแต่ไม่ได้พูดอะไร
“เมื่อท่านแม่ของพี่เสียชีวิต นายหญิงใหญ่ได้นำคัมภีร์ฝึกฝนทั้งหมดที่ท่านแม่ของพี่เคยครอบครองไป เล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น นางพยายามศึกษาเรียนรู้มันอยู่นานหลายปีแล้วแต่ก็ไม่ประสบผลใด ๆ เลย นางจึงค่อย ๆ ยอมแพ้ไป ข้าบังเอิญไปรู้เรื่องนี้เข้าเลยได้มาหนึ่งเล่มนี่แหล่ะเจ้าค่ะ แต่พอเอามาอ่านดูอย่างละเอียดแล้วก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลยอยู่ดี” หลิงฮวาอธิบาย
เย่เซิงเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกเขาก็ยังคงสงสัยว่าทำไมคนที่ปกติแล้วไม่เคยพูดกับเขาเลยทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาชวนคุย ที่แท้ก็มีเหตุผลแบบนี้นี่เอง
“นี่ของที่เป็นของแม่ข้าเหรอ” เย่เซิงพลิกอ่านและจดจำเนื้อหาในนั้นอย่างเงียบ ๆ
“เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าพี่อาจเข้าใจเนื้อหาของมันและสามารถแบ่งปันกับข้าได้” หลิงฮวากล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูก
“ข้าเองก็อ่านไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ตอนที่ท่านแม่ข้าเสียไปนั้นข้าเองก็ยังเล็กมาก ดังนั้นจึงไม่ได้เรียรู้คำเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย” เย่เซิงปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย จากนั้นก็พลิกหนังสือทั้งเล่มเพื่อท่องจำเนื้อหาแล้วส่งคืนหลิงฮวา
หลิงฮวาหยิบหนังสือคืนแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
เย่เซิงมองดูเธอจากไปจากนั้นก็นำตำราทั้งหมดที่อ่านแล้วกลับไปคืน เสร็จแล้วก็เดินโซเซกลับเรือนไปเงียบ ๆ
หลิวม่าจื่อคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับมื้อเที่ยงแสนรวยเหมือนเมื่อวาน
เย่เซิงกินข้าวเที่ยงอย่างตะกละตะกลามและมีความสุข หลังจากที่กินหมดแล้วก็กลับไปนอนที่เตียงแล้วผล็อยหลับไปอย่างเงียบ ๆ
นอกเรือนของเย่เซิง หลิงฮวามองเข้ามาด้วยอาการสงบแต่มีขมวดคิ้วเล็กน้อย “มันไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เหรอ?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายสังสารวัฏจะไม่ได้สอนถ้อยคำเหล่านี้กับลูกชายตัวเองเลยจริง ๆ หรือ?” หลิงฮวายังคงคาใจ
“ช่างมันเถอะ วันนี้เราทำตัวผิดปกติไปมากแล้ว โชคดีที่ไอ้เย่เซิงนั่นมันเป็นแค่ไอ้โง่ไร้สมอง หากว่ามันฉลาดล่ะก็คงเปิดโปงเราได้แล้ว ต่อไปเราต้องไม่ทำแบบนี้อีก” หลิงฮวาส่ายหัวแล้วหันหลังจากไป
ในห้อง
เย่เซิงหลับตาลงกจริง แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้หลับ เขาได้เข้าไปในตันเถียนดาวโลก
“ข้าพระเจ้า! ขอส่งมอบวิชานี้ให้แก่พวกเจ้า!”
เสียงนี้ดังกังวานทะลุรูหูไปพร้อม ๆ กับก้อนหินนับพันที่ตกลงบนพื้นโลก ก้อนหินซึ่งเขียนข้อความอักษรเจี๋ยกู่ทั้งเล่ม
เย่เซิงได้จดจำข้อความในคัมภีร์ทั้งเล่มได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงส่งมันไปที่โลก ตัวเขานั้นไม่ต้องมานั่งแปลหรือทำความเข้าใจอะไรเองเลย เพราะว่าชาวโลกทั้งหลายจะเป็นคนทำให้เองอย่างแน่นอน
“อีหลิงฮวานี่มันเจ้าเล่ห์จริงจริ๊ง~ ตัวจริงหล่อนนี่คนละเรื่องกับหน้ากากไร้เดียงสาที่แสดงให้ทุก ๆ คนได้เห็นแบบคนละเรื่องเลย” เย่เซิงรำพึงกับตัวเองเบา ๆ