บทที่ 10: ผนึกสังสารวัฏ
หลังจากครั้งแรกที่เย่เซิงถ่ายทอดวิชาให้ เหล่าชาวโลกส่วนใหญ่เริ่มเชื่อแล้วว่าโลกของตนนั้นมีพระเจ้าอยู่จริง และวิชาที่พระเจ้าประทานให้นั้นสามารถใช้ฝึกฝนจนสำเร็จได้จริง
ดังนั้นครั้งนี้เมื่อเย่เซิงส่งของใหม่ลงไปให้ ผู้คนทั้งพันสี่ร้อยล้านเลยต่างพากันเคลื่อนไหวพร้อมกันหมดในทันที
อักษรเจี๋ยกู่มันอ่านยากเหรอ?
ทุ้ย! โลกนี้มีอาจารย์วรรณกรรมเก่ง ๆ ที่อ่านออกเป็นภาษาจีนได้เลยอยู่เว่ย!
ฝึกฝนไม่เป็น?
ทุ้ย! ก็ไปหาปรมาจารย์ยุทธ์ให้แกอธิบายให้ฟังสิวะไอ้โง่! แค่นี้ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว!
เย่เซิงคอยสังเกตดูทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกอย่างเงียบ ๆ และก็ตามคาดในไม่ช้าก็มีคนจัดการแปลและเรียบเรียงข้อความจากอักษรเจี๋ยกู่ทั้งเล่มนั่นได้อย่างสมบูรณ์ และเนื้อความข้างในหนังสือของแม่เขานั้นมันกลับกลายเป็นวิชาที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
‘ผนึกสังสารวัฏ’
ผนึกสังสารวัฏเป็นวิชาที่นิกายสังสารวัฏถ่ายทอดให้กับสาวกทุกคน สามารถแกะสลักผนึกสังสารวัฏลงบนของตนได้ และผนึกสังสารวัฏแต่ละอันที่ตนครอบครองอยู่นั้นจะหมายถึงชีวิตแต่ละครั้งที่เพิ่มเติมเข้ามา พลังของผนึกสังสารวัฏนั้นยิ่งใหญ่และน่าเหลือเชื่อ หากสามารถควบแน่นผนึกสังสารวัฏเก้าอันเข้าด้วยกันได้ล่ะก็จะสามารถสร้างเป็นสะพานสังสารวัฏเพื่อใช้ข้ามพรมแดนของคนเป็นและคนตายได้
“นี่... เหมือนจะเป็นวิชาของนิกายสังสารวัฏเลยว่ะ แล้วพวกนายหญิงใหญ่มันรู้เรื่องนี้กันป่าวนิ?” เย่เซิงถามตัวเองด้วยความสงสัย
การฝึกฝนวิชานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เมื่อลองเอาไปเทียบกับเพลงหมัดกุ่นฉี เพลงกระบี่ลั่วเย่และจี๋เฟิงปู้แล้ว ความต่างนี่อย่างกับอุจจาระและทองคำ... เผลอ ๆ จะมากกว่านั้นซะด้วยซ้ำ
เมื่อลองวิเคราะห์ดูดี ๆ แล้ว นายหญิงใหญ่นั่นคงจะหาคนที่อ่านอักษรเจี๋ยกู่ออกมาอ่านให้ไม่ได้เลยไม่รู้ว่าในหนังสือเล่มนั้นมันเขียนอะไรเอาไว้บ้าง ดังนั้นนางจึงได้ยอมแพ้แล้วส่งต่อให้กับหลิงฮวาในที่สุดซึ่งก็สมเหตุสมผลดี
“จำได้ว่าตอนเรายังเด็กแม่มักจะวางหนังสือสองสามเล่มไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดเจน เพราะงั้นไม่ว่าใครที่เข้ามาในเรือนยังไงก็ต้องเห็น แถมนางยังใจดีอนุญาตให้คนอื่น ๆ สามารถหยิบอ่านได้ตามใจชอบอีกทำอย่างกับว่าพวกมันเป็นแค่หนังสือธรรมดา ๆ ดูท่าแม่น่าจะพยายามตบตาคนพวกนั้นอยู่สินะ เพื่อที่ว่าพอตัวเองจากไปแล้วไอ้พวกนั้นมันจะได้ไปหาหยิบอย่างอื่นไปโดยไม่สนใจหนังสือพวกนั้น” เย่เซิงชื่นชมไหวพริบของแม่ตัวเอง
แม้แต่เย่หวางเหย่อเองก็อาจเคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเช่นกัน แต่ก็อ่านตัวอักษรเจี๋ยกู่ไม่ออก คนที่อ่านออกคงมีแต่ระดับบิ๊ก ๆ ของนิกายสังสารวัฏเท่านั้น เพียงแต่คนเหล่านั้นก็คงจะตกตายกันไปเกือบหมดแล้ว หนังสือพวกนี้ก็เลยได้แต่ต้องวางอยู่เฉย ๆ จนฝุ่นเกาะ
“อีนายหญิงใหญ่เชรี่ยนั่นจำได้ว่ามันให้คนมาเอาไปอย่างน้อย ๆ ก็ห้าเล่ม มันต้องมีวิชาเทพ ๆ เขียนไว้แน่นอน ต้องหาทางเอามาคืนให้ได้” เย่เซิงตั้งใจแน่วแน่แล้ว
ทางด้านชาวโลก ทั้งหมดได้ทำงานกันอย่างหนัก ตั้งแต่สามวิชาแรกจนตอนนี้ก็มีผนึกสังสารวัฏเพิ่มเติมเข้าไปแล้ว
เมื่อเทียบกับสามวิชาแรกแล้วความยากนี่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจำนวนชาวโลกที่สามารถเข้าถึงขั้นเสวฮุ่ยของทั้งสามวิชาแรกนั้นมีเป็นประมาณสองสามพันคนแล้ว มันเลยทำให้เย่เซิงเลื่อนขั้นเป็นขั้นหรูเหมินของทั้งสามวิชาโดยอัตโนมัติ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจำนวนผู้ฝึกตนหนึ่งร้อยคนเลื่อนเป็นขั้นหรูเหมินในวิชานั้น ๆ เย่เซิงจะเลื่อนเป็นขั้นเสี่ยวเฉิงในวิชานั้น ๆ โดยอัตโนมัติ เมื่อมีขั้นเสี่ยวเฉิงหนึ่งร้อยคนจะทำให้เย่เซิ่งได้เป็นต้าเฉิง และเมื่อมีต้าเฉิงหนึ่งร้อยคนเย่เซิงก็จะเลื่อนเป็นหยวนหม่าน
ที่ตันเถียนดาวโลกมีคนอยู่พันสี่ร้อยล้าน และเย่เซิงก็มั่นใจว่ามีประมาณร้อยคนที่เป็นอัจฉริยะในด้านการบำเพ็ญเพียร และเขาเชื่อด้วยว่าต้องมีสักคนที่สามารถฝึกฝนวิชาทั้งสามนี้จนสำเร็จ และตัวเองเพียงต้องรออีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
หลังจากผ่านคืนหนึ่งผู้คนหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนเริ่มฝึกฝนผนึกสังสารวัฏ แต่จำนวนคนที่เข้าถึงขั้นเสว่ฮุ่ยได้มีไม่ถึงสิบคนจึงทำให้เย่เซิงไม่อาจเข้าถึงขั้นเสว่ฮุ่ยโดยอัตโนมัติได้
ผนึกสังสารวัฏนั้นยากกว่าสามวิชาแรกเยอะ คนที่เข้าถึงขั้นเสว่ฮุ่ยมีเพียงเก้าคนเท่านั้น ยังขาดอีกหนึ่งคนเขาจึงจะเป็นขั้นเสว่ฮุ่ยด้วยได้
“แค่หนึ่งคนจากพันสี่ร้อยล้านจะเรียนรู้ไปจนถึงขั้นเสว่ฮุ่ยนั้นคงไม่ต้องถึงหนึ่งอาทิตย์หรอกมั้ง เรารออยู่เฉย ๆ แหล่ะดีแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน” เย่เซิงตื่นขึ้นในตอนเช้า ทาขี้ผึ้งลงบนแผล กินข้าวเช้าจนเต็มอิ่มจากนั้นก็ลากร่างที่ ‘บาดเจ็บ’ ไปที่ศาลาสะสมตำรา
ในวันนี้แทบจะไม่มีใครอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้เลย หลิงฮวาเองก็ไม่อยู่เช่นกัน เย่เซิงนั่งลงอ่านตำราของตัวเองไปเงียบ ๆ
‘ทุกคนต่างก็พูดว่าหลิงฮวาสวยน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้ไม่ต่างอะไรจากนางฟ้าลงมาเกิด อ่อนโยนสมกับเป็นกุลสตรีที่ได้รับการฝึกฝนมารยาทมาอย่างดี เป็นผู้ใหญ่ที่สามารถตัดสินใจจัดการเรื่องยาก ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม จิตใจงดงามและเป็นมิตรกับทุก ๆ คน เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว แต่เมื่อวานนี้นี่รู้เลยว่าอีนี่มันร้ายลึก แอบซ่อนสันดานแท้จริงไว้ได้อย่างโคตรเนียน ถ้ามันไม่หลุดออกมาล่ะก็แม้แต่ตูเองก็ดูไม่ออกหรอก’ เย่เซิงคิดกับตัวเองขณะที่อ่านหนังสือไปด้วย
สำหรับเขาแล้วหลิงฮวาให้ความรู้สึกเหมือนเมฆหมอก มีอยู่แต่จับต้องจริง ๆ ไม่ได้ ความงามที่เหมือนนางฟ้านั้นก็แค่หน้ากาก และมันได้ปิดบังโฉมหน้าแท้จริงที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นไว้ได้อย่างมิดชิดจนเป็นไปไม่ได้ที่จะมองออก
“หวางฝูหลังนี้มันมีความลับเยอะจังว้า~” เย่เซิงถอนหายใจกับตัวเอง
วันนี้เย่เซิงอ่านตำรับตำราอยู่ในห้องสมุดโดยไม่มีใครมารบกวน เย่หวางเหย่ได้จัดงานเลี้ยงครอบครัว แต่เนื่องจากทั้งเย่เซิงและเย่ชิงต่างได้รับบาดเจ็บ จะเดินจะนั่งก็ลำบากจึงทำให้ไม่มีการเชิญทั้งคู่เข้าร่วมงานเลี้ยง
และแม้จะไม่ได้รับเชิญแต่ก็ยังคงมีหารยกอาหารมาบริการให้ถึงที่ โต๊ะกินข้าวทั้งตัวมีอาหารหรูหราหมาเห่าวางอยู่จนแทบล้น
แน่นอนว่าเย่เซิงไม่มีการเกรงใจ เขายัดอาหารทั้งหมดที่ได้ลงท้องทันทีและไล่คนรับใช้ออกไปไกล ๆ จากนั้นจึงค่อยแอบฝึกวรยุทธ์ของตัวเอง
เริ่มจากเพลงหมัดกุ่นฉี ตามด้วยเพลงกระบี่ลั่วเย่แล้วจบด้วยจี๋เฟิงปู้ โดยวิชาทั้งสามนี้เขาเข้าถึงขั้นหรูเหมิน (เริ่มต้น) แล้วดังนั้นจึงมีความเชี่ยวชาญอยู่บ้าง
อย่างหมัดกุ่นฉีนั้นสามารถปล่อยหมัดหนึ่งครั้งแต่เกิดแรงระเบิดสามครั้งส่งผลให้พลังหมัดที่ปล่อยออกไปเพิ่มขึ้นสามเท่า หากหนึ่งหมัดธรรมดาหนักร้อยจินเมื่อใช้ออกด้วยหมัดกุ่นฉีหนึ่งหมัดจะหนักถึงสามร้อยจิน
นี่แหล่ะคือพลังของวรยุทธ์ที่ใช้ต่อสู้
เพลงหมัดกุ่นฉีนั้นสามารถระเบิดต่อเนื่องกันได้สูงสุดถึงเก้าครั้ง ดังนั้นหากหมัดธรรมดาหนักหนึ่งร้อยจินจะสามารถปล่อยหมัดกุ่นฉีหนักเก้าร้อยจินได้ ซึ่งพลังขนาดนี้สามารถทำให้โฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าที่เชี่ยวชาญเพลงหมัดนี้สามารถสยบโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าธรรมดา ๆ ได้ในหมัดเดียว
และนี่คือความแตกต่างจากการเรียนรู้เคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้งกับตื้นเขิน หากว่าแต่ละวิชาของตนนั้นสามารถขัดเกลาจนถึงขั้นหยวนหม่านได้ล่ะก็ การจะล้มผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงกว่าย่อมสามารถทำได้
ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวนี้ยังเป็นเพียงแค่วิชาสวะ ๆ ที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับขอทานก็ยังไม่ชายตาแล แล้วถ้าเกินเขาเข้าถึงผนึกสังสารวัฏในขั้นหยวนหม่านเล่า เขาจะสามารถสลักผนึกสังสารวัฏลงบนตันเถียนของตัวเองได้ถึงเก้าผนึกและหลอมรวมเพื่อสร้างเป็นสร้างสะพานสังสารวัฏได้ เมื่อนั้นเย่เซิงสามารถไปหานายหญิงใหญ่และนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของแม่เขาและโดนนางแย่งไปกลับมาได้ จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากหวางฝูตระกูลเย่อันแสนจะบัดซบนี่โดยไร้กังวล จะไม่มีที่ไหนในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ที่เขาไปไม่ได้อีกต่อไป
ก็นะ ความฝันมันก็ดี แต่ตอนนี้สิ่งที่เย่เซิงต้องทำเพื่อให้ฝันเป็นจริงได้นั้นคืออยู่กับความเป็นจริงตรงหน้าและพยายามยืนด้วยลำแข้งของตนเองให้ได้ก่อน
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด จริง ๆ เย่เซิงหายดีแล้ว แต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นว่ายังไม่หาย
เย่เซิงต้องการออกจากหวางฝูตระกูลเย่ไปกราบศพแม่ตั้งแต่เช้า ซึ่งกฎของไอ้ตระกูลนี้มันก็เข้มงวดสุด ๆ เหลือเกิน แม้จะเคยได้รับอนุญาตแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าเขาอยากออกก็ออกไปได้เลยซะที่ไหน เขาต้องเข้าไปรายงานตัวกับนายหญิงเฒ่าซะก่อน เพราะว่ามันเป็นคนที่อนุญาตให้เขาเป็นคนไปกราบหลุมศพแม่ได้
ดังนั้นในตอนเช้าเย่เซิงจึงเดินกะเผลกไปรอนายหญิงเฒ่าที่หน้าเรือนของมันอยู่เงียบ ๆ
เขาเข้าไปไม่ได้
อีแก่นี่เกลียดเขาเข้าใส้ มันเลยไม่ยอมให้เย่เซิงเหยียบเท้าเข้าไปในเขตเรือนของตัวเองเพราะคิดว่าเสนียดจัญไรจะมาติด ดังนั้นเขาเลยได้แต่ต้องอยู่ข้างนอก
จากนั้นอีกคนใช้แก่ที่โดนเย่เซิงตบหน้าไปคราวก่อนก็ออกมาบอกด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า “นายหญิงเฒ่าบอกว่าท่านทราบเรื่องแล้วและอนุญาตให้เจ้าออกไปได้ แต่ท่านกำชับไว้ว่าเจ้าทำได้เพียงกราบหลุมศพเท่านั้น ห้ามพยายามก่อปัญหาใด ๆ อีก หากเจ้าไม่เชื่อฟังท่านจะสั่งให้โบยเจ้าด้วยไม้พายทัพอีกห้าสิบไม้เมื่อเจ้ากลับมา”
“เข้าใจแล้ว” เย่เซิงพยักหน้าเงียบ ๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เขารู้แล้วว่าอีแก่นั่นมันต้องมาไม้นี้
“นอกจากนี้... หลังจากที่เจ้ากราบเสร็จ เมื่อกลับมาแล้วจะต้องทิ้งเสื้อผ้าที่เจ้าใช้ทั้งหมดเพราะมันมีแต่เสนียดจัญไรติดเต็ม แม่เจ้ามันก็แค่นังหมาตัวเมียเสนียดจัญไรของนังหมาตัวเมียนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามนำมาติดที่นี่อย่างเด็ดขาด” อีคนใช้แก่พูด
เย่เซิงจ้องมันเขม็งจนทำให้มันผวา มันเลยรีบบอกว่า “เรื่องนี้นายหญิงเฒ่าท่านเป็นคนพูดเอง! หากเจ้ากล้าตีข้าล่ะก็ข้าจะเข้าไปรายงานท่านอย่างแน่นอน ท่านบอกไว้ว่าเจ้าในฐานะลูกชายสามารถตบข้าเพื่อยืนหยัดให้แม่เจ้าได้ก็จริง แต่ห้ามทำอีกเป็นอันขาด”
“เออได้” เย่เซิงกล่าวผ่านฟันที่กัดกรอด ๆ
ในเมื่อได้รับอนุญาตแล้วเย่เซิงก็ไม่รอช้า เขารีบออกจากหวางฝูด้วยความรู้สึกทนไม่ไหว เขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจเอาอากาศในที่บัดซบเช่นนี้เข้าปอดอีกแม้แต่ลมหายใจเดียว ยิ่งอยู่มีแต่จะยิ่งรังเกียจ