ตอนที่แล้วบทที่ 9: หลิงฮวา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11: จิ้งจอกอาบน้ำ

บทที่ 10: ผนึกสังสารวัฏ


หลังจากครั้งแรกที่เย่เซิงถ่ายทอดวิชาให้  เหล่าชาวโลกส่วนใหญ่เริ่มเชื่อแล้วว่าโลกของตนนั้นมีพระเจ้าอยู่จริง  และวิชาที่พระเจ้าประทานให้นั้นสามารถใช้ฝึกฝนจนสำเร็จได้จริง

ดังนั้นครั้งนี้เมื่อเย่เซิงส่งของใหม่ลงไปให้  ผู้คนทั้งพันสี่ร้อยล้านเลยต่างพากันเคลื่อนไหวพร้อมกันหมดในทันที

อักษรเจี๋ยกู่มันอ่านยากเหรอ?

ทุ้ย!  โลกนี้มีอาจารย์วรรณกรรมเก่ง ๆ ที่อ่านออกเป็นภาษาจีนได้เลยอยู่เว่ย!

ฝึกฝนไม่เป็น?

ทุ้ย!  ก็ไปหาปรมาจารย์ยุทธ์ให้แกอธิบายให้ฟังสิวะไอ้โง่!  แค่นี้ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว!

เย่เซิงคอยสังเกตดูทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกอย่างเงียบ ๆ และก็ตามคาดในไม่ช้าก็มีคนจัดการแปลและเรียบเรียงข้อความจากอักษรเจี๋ยกู่ทั้งเล่มนั่นได้อย่างสมบูรณ์  และเนื้อความข้างในหนังสือของแม่เขานั้นมันกลับกลายเป็นวิชาที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

‘ผนึกสังสารวัฏ’

ผนึกสังสารวัฏเป็นวิชาที่นิกายสังสารวัฏถ่ายทอดให้กับสาวกทุกคน  สามารถแกะสลักผนึกสังสารวัฏลงบนของตนได้  และผนึกสังสารวัฏแต่ละอันที่ตนครอบครองอยู่นั้นจะหมายถึงชีวิตแต่ละครั้งที่เพิ่มเติมเข้ามา  พลังของผนึกสังสารวัฏนั้นยิ่งใหญ่และน่าเหลือเชื่อ  หากสามารถควบแน่นผนึกสังสารวัฏเก้าอันเข้าด้วยกันได้ล่ะก็จะสามารถสร้างเป็นสะพานสังสารวัฏเพื่อใช้ข้ามพรมแดนของคนเป็นและคนตายได้

“นี่...  เหมือนจะเป็นวิชาของนิกายสังสารวัฏเลยว่ะ  แล้วพวกนายหญิงใหญ่มันรู้เรื่องนี้กันป่าวนิ?” เย่เซิงถามตัวเองด้วยความสงสัย

การฝึกฝนวิชานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย  เมื่อลองเอาไปเทียบกับเพลงหมัดกุ่นฉี  เพลงกระบี่ลั่วเย่และจี๋เฟิงปู้แล้ว  ความต่างนี่อย่างกับอุจจาระและทองคำ...  เผลอ ๆ จะมากกว่านั้นซะด้วยซ้ำ

เมื่อลองวิเคราะห์ดูดี ๆ แล้ว  นายหญิงใหญ่นั่นคงจะหาคนที่อ่านอักษรเจี๋ยกู่ออกมาอ่านให้ไม่ได้เลยไม่รู้ว่าในหนังสือเล่มนั้นมันเขียนอะไรเอาไว้บ้าง  ดังนั้นนางจึงได้ยอมแพ้แล้วส่งต่อให้กับหลิงฮวาในที่สุดซึ่งก็สมเหตุสมผลดี

“จำได้ว่าตอนเรายังเด็กแม่มักจะวางหนังสือสองสามเล่มไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดเจน  เพราะงั้นไม่ว่าใครที่เข้ามาในเรือนยังไงก็ต้องเห็น  แถมนางยังใจดีอนุญาตให้คนอื่น ๆ สามารถหยิบอ่านได้ตามใจชอบอีกทำอย่างกับว่าพวกมันเป็นแค่หนังสือธรรมดา ๆ ดูท่าแม่น่าจะพยายามตบตาคนพวกนั้นอยู่สินะ  เพื่อที่ว่าพอตัวเองจากไปแล้วไอ้พวกนั้นมันจะได้ไปหาหยิบอย่างอื่นไปโดยไม่สนใจหนังสือพวกนั้น” เย่เซิงชื่นชมไหวพริบของแม่ตัวเอง

แม้แต่เย่หวางเหย่อเองก็อาจเคยอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเช่นกัน  แต่ก็อ่านตัวอักษรเจี๋ยกู่ไม่ออก  คนที่อ่านออกคงมีแต่ระดับบิ๊ก ๆ ของนิกายสังสารวัฏเท่านั้น  เพียงแต่คนเหล่านั้นก็คงจะตกตายกันไปเกือบหมดแล้ว  หนังสือพวกนี้ก็เลยได้แต่ต้องวางอยู่เฉย ๆ จนฝุ่นเกาะ

“อีนายหญิงใหญ่เชรี่ยนั่นจำได้ว่ามันให้คนมาเอาไปอย่างน้อย ๆ ก็ห้าเล่ม  มันต้องมีวิชาเทพ ๆ เขียนไว้แน่นอน  ต้องหาทางเอามาคืนให้ได้” เย่เซิงตั้งใจแน่วแน่แล้ว

ทางด้านชาวโลก  ทั้งหมดได้ทำงานกันอย่างหนัก  ตั้งแต่สามวิชาแรกจนตอนนี้ก็มีผนึกสังสารวัฏเพิ่มเติมเข้าไปแล้ว

เมื่อเทียบกับสามวิชาแรกแล้วความยากนี่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจำนวนชาวโลกที่สามารถเข้าถึงขั้นเสวฮุ่ยของทั้งสามวิชาแรกนั้นมีเป็นประมาณสองสามพันคนแล้ว  มันเลยทำให้เย่เซิงเลื่อนขั้นเป็นขั้นหรูเหมินของทั้งสามวิชาโดยอัตโนมัติ

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจำนวนผู้ฝึกตนหนึ่งร้อยคนเลื่อนเป็นขั้นหรูเหมินในวิชานั้น ๆ เย่เซิงจะเลื่อนเป็นขั้นเสี่ยวเฉิงในวิชานั้น ๆ โดยอัตโนมัติ  เมื่อมีขั้นเสี่ยวเฉิงหนึ่งร้อยคนจะทำให้เย่เซิ่งได้เป็นต้าเฉิง  และเมื่อมีต้าเฉิงหนึ่งร้อยคนเย่เซิงก็จะเลื่อนเป็นหยวนหม่าน

ที่ตันเถียนดาวโลกมีคนอยู่พันสี่ร้อยล้าน  และเย่เซิงก็มั่นใจว่ามีประมาณร้อยคนที่เป็นอัจฉริยะในด้านการบำเพ็ญเพียร  และเขาเชื่อด้วยว่าต้องมีสักคนที่สามารถฝึกฝนวิชาทั้งสามนี้จนสำเร็จ  และตัวเองเพียงต้องรออีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น

หลังจากผ่านคืนหนึ่งผู้คนหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนเริ่มฝึกฝนผนึกสังสารวัฏ  แต่จำนวนคนที่เข้าถึงขั้นเสว่ฮุ่ยได้มีไม่ถึงสิบคนจึงทำให้เย่เซิงไม่อาจเข้าถึงขั้นเสว่ฮุ่ยโดยอัตโนมัติได้

ผนึกสังสารวัฏนั้นยากกว่าสามวิชาแรกเยอะ  คนที่เข้าถึงขั้นเสว่ฮุ่ยมีเพียงเก้าคนเท่านั้น  ยังขาดอีกหนึ่งคนเขาจึงจะเป็นขั้นเสว่ฮุ่ยด้วยได้

“แค่หนึ่งคนจากพันสี่ร้อยล้านจะเรียนรู้ไปจนถึงขั้นเสว่ฮุ่ยนั้นคงไม่ต้องถึงหนึ่งอาทิตย์หรอกมั้ง  เรารออยู่เฉย ๆ แหล่ะดีแล้ว  ไม่ต้องรีบร้อน” เย่เซิงตื่นขึ้นในตอนเช้า  ทาขี้ผึ้งลงบนแผล  กินข้าวเช้าจนเต็มอิ่มจากนั้นก็ลากร่างที่ ‘บาดเจ็บ’ ไปที่ศาลาสะสมตำรา

ในวันนี้แทบจะไม่มีใครอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้เลย  หลิงฮวาเองก็ไม่อยู่เช่นกัน  เย่เซิงนั่งลงอ่านตำราของตัวเองไปเงียบ ๆ

‘ทุกคนต่างก็พูดว่าหลิงฮวาสวยน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้ไม่ต่างอะไรจากนางฟ้าลงมาเกิด  อ่อนโยนสมกับเป็นกุลสตรีที่ได้รับการฝึกฝนมารยาทมาอย่างดี  เป็นผู้ใหญ่ที่สามารถตัดสินใจจัดการเรื่องยาก ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม  จิตใจงดงามและเป็นมิตรกับทุก ๆ คน  เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว  แต่เมื่อวานนี้นี่รู้เลยว่าอีนี่มันร้ายลึก  แอบซ่อนสันดานแท้จริงไว้ได้อย่างโคตรเนียน  ถ้ามันไม่หลุดออกมาล่ะก็แม้แต่ตูเองก็ดูไม่ออกหรอก’ เย่เซิงคิดกับตัวเองขณะที่อ่านหนังสือไปด้วย

สำหรับเขาแล้วหลิงฮวาให้ความรู้สึกเหมือนเมฆหมอก  มีอยู่แต่จับต้องจริง ๆ ไม่ได้  ความงามที่เหมือนนางฟ้านั้นก็แค่หน้ากาก  และมันได้ปิดบังโฉมหน้าแท้จริงที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นไว้ได้อย่างมิดชิดจนเป็นไปไม่ได้ที่จะมองออก

“หวางฝูหลังนี้มันมีความลับเยอะจังว้า~” เย่เซิงถอนหายใจกับตัวเอง

วันนี้เย่เซิงอ่านตำรับตำราอยู่ในห้องสมุดโดยไม่มีใครมารบกวน  เย่หวางเหย่ได้จัดงานเลี้ยงครอบครัว  แต่เนื่องจากทั้งเย่เซิงและเย่ชิงต่างได้รับบาดเจ็บ  จะเดินจะนั่งก็ลำบากจึงทำให้ไม่มีการเชิญทั้งคู่เข้าร่วมงานเลี้ยง

และแม้จะไม่ได้รับเชิญแต่ก็ยังคงมีหารยกอาหารมาบริการให้ถึงที่  โต๊ะกินข้าวทั้งตัวมีอาหารหรูหราหมาเห่าวางอยู่จนแทบล้น

แน่นอนว่าเย่เซิงไม่มีการเกรงใจ  เขายัดอาหารทั้งหมดที่ได้ลงท้องทันทีและไล่คนรับใช้ออกไปไกล ๆ จากนั้นจึงค่อยแอบฝึกวรยุทธ์ของตัวเอง

เริ่มจากเพลงหมัดกุ่นฉี  ตามด้วยเพลงกระบี่ลั่วเย่แล้วจบด้วยจี๋เฟิงปู้  โดยวิชาทั้งสามนี้เขาเข้าถึงขั้นหรูเหมิน (เริ่มต้น) แล้วดังนั้นจึงมีความเชี่ยวชาญอยู่บ้าง

อย่างหมัดกุ่นฉีนั้นสามารถปล่อยหมัดหนึ่งครั้งแต่เกิดแรงระเบิดสามครั้งส่งผลให้พลังหมัดที่ปล่อยออกไปเพิ่มขึ้นสามเท่า  หากหนึ่งหมัดธรรมดาหนักร้อยจินเมื่อใช้ออกด้วยหมัดกุ่นฉีหนึ่งหมัดจะหนักถึงสามร้อยจิน

นี่แหล่ะคือพลังของวรยุทธ์ที่ใช้ต่อสู้

เพลงหมัดกุ่นฉีนั้นสามารถระเบิดต่อเนื่องกันได้สูงสุดถึงเก้าครั้ง  ดังนั้นหากหมัดธรรมดาหนักหนึ่งร้อยจินจะสามารถปล่อยหมัดกุ่นฉีหนักเก้าร้อยจินได้  ซึ่งพลังขนาดนี้สามารถทำให้โฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าที่เชี่ยวชาญเพลงหมัดนี้สามารถสยบโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าธรรมดา ๆ ได้ในหมัดเดียว

และนี่คือความแตกต่างจากการเรียนรู้เคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้งกับตื้นเขิน  หากว่าแต่ละวิชาของตนนั้นสามารถขัดเกลาจนถึงขั้นหยวนหม่านได้ล่ะก็  การจะล้มผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงกว่าย่อมสามารถทำได้

ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวนี้ยังเป็นเพียงแค่วิชาสวะ ๆ ที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับขอทานก็ยังไม่ชายตาแล  แล้วถ้าเกินเขาเข้าถึงผนึกสังสารวัฏในขั้นหยวนหม่านเล่า  เขาจะสามารถสลักผนึกสังสารวัฏลงบนตันเถียนของตัวเองได้ถึงเก้าผนึกและหลอมรวมเพื่อสร้างเป็นสร้างสะพานสังสารวัฏได้  เมื่อนั้นเย่เซิงสามารถไปหานายหญิงใหญ่และนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของแม่เขาและโดนนางแย่งไปกลับมาได้  จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากหวางฝูตระกูลเย่อันแสนจะบัดซบนี่โดยไร้กังวล  จะไม่มีที่ไหนในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ที่เขาไปไม่ได้อีกต่อไป

ก็นะ  ความฝันมันก็ดี  แต่ตอนนี้สิ่งที่เย่เซิงต้องทำเพื่อให้ฝันเป็นจริงได้นั้นคืออยู่กับความเป็นจริงตรงหน้าและพยายามยืนด้วยลำแข้งของตนเองให้ได้ก่อน

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด  จริง ๆ เย่เซิงหายดีแล้ว  แต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นว่ายังไม่หาย

เย่เซิงต้องการออกจากหวางฝูตระกูลเย่ไปกราบศพแม่ตั้งแต่เช้า  ซึ่งกฎของไอ้ตระกูลนี้มันก็เข้มงวดสุด ๆ เหลือเกิน  แม้จะเคยได้รับอนุญาตแล้วก็ตาม  แต่ก็ใช่ว่าเขาอยากออกก็ออกไปได้เลยซะที่ไหน  เขาต้องเข้าไปรายงานตัวกับนายหญิงเฒ่าซะก่อน  เพราะว่ามันเป็นคนที่อนุญาตให้เขาเป็นคนไปกราบหลุมศพแม่ได้

ดังนั้นในตอนเช้าเย่เซิงจึงเดินกะเผลกไปรอนายหญิงเฒ่าที่หน้าเรือนของมันอยู่เงียบ ๆ

เขาเข้าไปไม่ได้

อีแก่นี่เกลียดเขาเข้าใส้  มันเลยไม่ยอมให้เย่เซิงเหยียบเท้าเข้าไปในเขตเรือนของตัวเองเพราะคิดว่าเสนียดจัญไรจะมาติด  ดังนั้นเขาเลยได้แต่ต้องอยู่ข้างนอก

จากนั้นอีกคนใช้แก่ที่โดนเย่เซิงตบหน้าไปคราวก่อนก็ออกมาบอกด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า “นายหญิงเฒ่าบอกว่าท่านทราบเรื่องแล้วและอนุญาตให้เจ้าออกไปได้  แต่ท่านกำชับไว้ว่าเจ้าทำได้เพียงกราบหลุมศพเท่านั้น  ห้ามพยายามก่อปัญหาใด ๆ อีก  หากเจ้าไม่เชื่อฟังท่านจะสั่งให้โบยเจ้าด้วยไม้พายทัพอีกห้าสิบไม้เมื่อเจ้ากลับมา”

“เข้าใจแล้ว” เย่เซิงพยักหน้าเงียบ ๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เขารู้แล้วว่าอีแก่นั่นมันต้องมาไม้นี้

“นอกจากนี้...  หลังจากที่เจ้ากราบเสร็จ  เมื่อกลับมาแล้วจะต้องทิ้งเสื้อผ้าที่เจ้าใช้ทั้งหมดเพราะมันมีแต่เสนียดจัญไรติดเต็ม  แม่เจ้ามันก็แค่นังหมาตัวเมียเสนียดจัญไรของนังหมาตัวเมียนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามนำมาติดที่นี่อย่างเด็ดขาด” อีคนใช้แก่พูด

เย่เซิงจ้องมันเขม็งจนทำให้มันผวา  มันเลยรีบบอกว่า “เรื่องนี้นายหญิงเฒ่าท่านเป็นคนพูดเอง!  หากเจ้ากล้าตีข้าล่ะก็ข้าจะเข้าไปรายงานท่านอย่างแน่นอน  ท่านบอกไว้ว่าเจ้าในฐานะลูกชายสามารถตบข้าเพื่อยืนหยัดให้แม่เจ้าได้ก็จริง  แต่ห้ามทำอีกเป็นอันขาด”

“เออได้” เย่เซิงกล่าวผ่านฟันที่กัดกรอด ๆ

ในเมื่อได้รับอนุญาตแล้วเย่เซิงก็ไม่รอช้า  เขารีบออกจากหวางฝูด้วยความรู้สึกทนไม่ไหว  เขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจเอาอากาศในที่บัดซบเช่นนี้เข้าปอดอีกแม้แต่ลมหายใจเดียว  ยิ่งอยู่มีแต่จะยิ่งรังเกียจ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด