เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 272
ตอนที่ 272
“ช่วยด้วย!”
“อ๊ากก.. ข้าไม่อยากตาย!”
ระหว่างที่ผู้บ่มเพาะสามคนกำลังหลบหนี เสียงคำรามของอสูรดุร้ายก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องด้านหลังของพวกเขา
“นั่นมันฝูงอสูร!” หลินซวนตื่นตะลึง ผู้บ่มเพาะทั้งสามคนนั้นวิ่งผ่านหลินซวนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝูงอสูรทั้งหลายจ้องมองมายังเขาและเสี่ยวหวง พวกเขาจึงมิอาจหลบหนีไปได้แม้ว่าจะต้องการก็ตามที
ชั้นที่เหลือทั้งสี่ซึ่งผสานรวมกันนั้นมีกฎเกณฑ์และพื้นฐานทั้งหลายเหมือนโลกภายนอกทุกประการ บัดนี้ อสูรมากมายถือกำเนิดขึ้น ในคราวหน้าที่หอสวรรค์จุติเปิดขึ้นอีกครั้ง พวกมันจะกลายเป็นอสูรที่มีถิ่นฐานประจำอยู่ในหอคอยแห่งนี้ และในเวลาเช่นนั้น การจะท้าทายพวกมันย่อมยากเย็นยิ่งไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี เรื่องราวเช่นนี้จะเกิดขึ้นในอีกนับพันปีให้หลัง บัดนี้ หลินซวนเพียงต้องขบคิดว่าเขาจะจัดการกับปัญหาเบื้องหน้าเช่นไรดี
“พวกเราควรทำเช่นใด?” เสี่ยวหวงมองมายังหลินซวนและเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้สู้เคียงข้างกันมานานแล้ว” หลินซวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ฝูงสัตว์อสูรที่ทำให้ผู้อื่นตัวสั่นด้วยความหวาดผวากลับกลายเป็นที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของทั้งคู่ไปเสียแล้ว
“เป็นความคิดที่ดี รออะไรอยู่เล่า? ไปฆ่ามันกัน!”
มองไปยังอสูรมากมายเบื้องหน้า ทั้งสองคนมิได้แสงออกถึงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย อันที่จริง ความต้องการต่อสู้ของทั้งสองบัดนี้พุ่งสูงเสียดฟ้า เมื่อหวงหาวเห็นว่ามีอสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาใส่เขา เขาก็ต่อยหมัดใส่มัน และศีรษะของอสูรตนนั้นก็แตกกระจาย หากให้เทียบกันแล้ว วิถีการต่อสู้ของหวงหาวแลดูคล้ายอสูรยิ่งนัก
หลังจากที่หลินซวนชำระล้างหางมังกรและเลื่อนขั้น ตอนนี้เขาเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุยังแดนปราณอาณาเขตม่วงแล้ว ขาดเพียงประสบการณ์ต่อสู้ที่เข้มข้นพอกระตุ้นร่างกายเขาเท่านั้น
อสูรนับร้อยตัวคำรามและเข้าปะทะกับเด็กน้อยทั้งสองอย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรง ต้นไม้มากมายหักโค่นลงประการต่อสู้ในครั้งนี้
แต่ละหมัดที่เกิดขึ้น อสูรสักตนจะต้องตกตายลง กลับกลายเป็นว่าการต่อสู้คือการรังแกฝ่ายเดียว เสียงกรีดร้องของเหล่าอสูรทั้งหลายดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากด้านในผืนป่าแห่งนั้น
เพียงไม่นาน ซากศพของอสูรหลายสิบตัวก็ทอดร่างลงแทบเท้าของเด็กน้อยทั้งสอง
ก่อนหน้านั้นฝูงสัตว์อสูรมีจำนวนนับร้อยตัว แต่มาบัดนี้พวกมันกลับหลงเหลือแค่เพียงน้อยนิด เมื่อมองไปยังหลินซวนและเสี่ยวหวง อสูรที่เหลือรอดเหล่านั้นไม่กล้าพอที่จะก้าวไปด้านหน้า พวกมันตัดสินใจหันหลังและวิ่งหนีไป
ผู้บ่มเพาะทั้งสามที่วิ่งหนีอสูรมาก่อนหน้ายังมิได้หายไป พวกเขายังคงรั้งรออยู่เบื้องหลัง การได้มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ต่างก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เด็กน้อยทั้งคู่นี่เป็นตัวบัดซบอันใดกัน?
จากนั้นไม่นาน ทั้งสามก็มาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของหลินซวนและหวงหาว พวกเขาโค้งคำนับและกล่าว
“ขอบพระคุณที่ช่วยเหลือพวกเราขอรับ จะให้ขอบคุณเท่าใดก็คงไม่มากพอกับสิ่งที่พวกท่านกระทำ!”
“เพียงเรื่องเท่านี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงดอก” หลินซวนโบกมือ เพื่อบอกให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเขาเช่นนั้น
“พวกเรามายังที่แห่งนี้เพราะค้นพบความลับบางประการ ทำให้อสูรเหล่านั้นไล่ตามพวกเรามา บัดนี้ ท่านทั้งสองได้ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ ผู้มีพระคุณ เราจะบอกความลับนั้นแก่ท่านด้วยเช่นกัน”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีขาวสะอาดตากล่าวอย่างนอบน้อมกับหลินซวน แม้ว่าเขาจะพยายามหยุดแต่ก็ไม่สามารถห้ามคนเหล่านี้ได้ จึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลยเท่านั้น
ชายหนุ่มผู้นั้นเดินทำหลินซวนออกไปพลางเอ่ยปาก
“ด้านหน้าของพวกเรามีสวนแห่งเต๋าอยู่ ใต้สวนแห่งเต๋านั้นเป็นเหมืองหินวิญญาณชั้นยอด อสูรก่อนหน้านี้เป็นผู้พิทักษ์เหมืองหินวิญญาณที่ข้าพูดถึง พวกเรามิได้ค้นพบพวกมันตั้งแต่แรก จึงได้จบลงด้วยสภาพน่าสังเวชเช่นนี้”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ชายผู้นั้นและพวกของเขาอีกสองคนก็มีท่าทางอับอายขึ้นมา
“หินวิญญาณชั้นยอด!” หลินซวนประหลาดใจไม่น้อย ต้องรู้ก่อนว่าแท่นบูชาที่ปรากฏร่างของมังกรทองห้าเล็บนั้นมีหินวิญญาณชั้นยอดอยู่นับหมื่นก้อนและเขาก็เป็นผู้ที่เก็บเกี่ยวพวกมันมาทั้งหมด หากเรื่องเช่นนี้แพร่ออกไป หลินซวนต้องกลายเป็นเป้าหมายของผู้คนนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน
ส่วนเหมืองหินวิญญาณชั้นยอดนั้น กระทั่งเหมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดยังสามารถสกัดหินวิญญาณออกมาได้นับล้าน นั่นมากเพียงพอที่จะสร้างตระกูลหนึ่งให้มีอำนาจทัดเทียมกับตระกูลโบราณที่อยู่มานับพันปี
สามคนนั้นหยุดฝีเท้าลง
หลินซวนสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เบื้องหน้าของเขาถูกกีดขวางด้วยภูเขาที่สูงกว่าหมื่นฉื่อ และรอบด้านปลดปล่อยกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา
ทันใดนั้นเอง คนทั้งสามก็หายตัวไปในทันที ร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนั้นและตะโกน
“กระตุ้นค่ายกล!”
“โอ๊ะ พวกเราถูกซุ่มโจมตี!” หลินซวนตกใจเล็กน้อยและกำลังจะถอยออกมาทว่ากลับมีผู้บ่มเพาะนับพันปิดล้อมเขาเอาไว้ และในเวลาเดียวกัน พวกมันก็ปลดปล่อยปราณออกมาเพื่อบีบบังคับให้หลินซวนและเสี่ยวหวงถอยกลับเข้าไปยังค่ายกลที่ถูกวางเอาไว้
ไม่ว่าทั้งคู่จะทรงพลังเพียงใด แต่การจะต่อต้านผู้คนนับพันในเวลาเดียวกันโดยที่มิได้เตรียมตัวย่อมไม่สามารถเป็นไปได้
ผู้บ่มเพาะจำนวนสามพันคนที่สามารถผ่านขึ้นมายังชั้นที่ห้าได้ ไม่มีทางที่องค์ชายสามจะสามารถรวบรวมคนเหล่านั้นได้ทั้งหมด คำอธิบายของสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มีเพียงฝ่ายตรงข้ามรวบรวมคนที่เข้ามาจากทางอื่นขอหอสวรรค์จุติเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง ค่ายกลสัตว์เทวะก็เปิดการทำงาน เสาปราณวิญญาณจำนวนหนึ่งเป็นพลังงานให้แก่ค่ายกลนี้
หวงหาวลองต่อยเสาปราณเหล่านั้นทว่ามันกลับสะท้อนพลังเขากลับมา
จิตสังหารที่มาจากทางเหนือของค่ายกลก่อเกิดเป็นบางสิ่งที่เหนือความเป็นจริง พยัคฆ์ร้ายตนหนึ่งคำรามลั่น รูปลักษณ์ของมันเป็นเสือสีขาวสว่าง นี่คือหนึ่งในจตุรเทพทั้งสี่ พยัคฆ์ขาวในตำนาน
ทันใดนั้นเอง ทางด้านใต้ของค่ายกลก็กลับกลายเป็นทะเลเพลิง หินหลอมเหลวปะทุขึ้นพร้อมอุณหภูมิมหาศาล ตามมาด้วยเสียงร้องของปักษาสีแดงชาดที่กระพือปีกอย่างองอาจ
ทางด้านตะวันออกกลายเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ คลื่นที่โหมกระหน่ำนั้นรุนแรงยิ่งนัก ใจกลางท้องน้ำ ปรากฏเป็นศิลาขนาดยักษ์สีดำทมิฬที่กำลังผุดขึ้นมาอย่างช้าๆ มันคือเต่าดำแห่งสี่สัตว์เทพ
ทางด้านตะวันตก ท้องฟ้าบนคลุมไปด้วยเมฆหมอก ประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบพร้อมด้วยเสียงคำรามของท้องนภา เมฆมืดมิดกระจายตัวไปทั่วทุกที่ ก่อนที่ร่างของมังกรสีครามตนนั้นจะแหวกว่ายในหมู่เมฆตามมา
สัตว์เทพทั้งสี่ปรากฏตัวอยู่เหนือทิศทั้งสี่ของค่ายกลสัตว์เทวะและปลดปล่อยพลังของพวกมันให้ผู้คนได้เห็น กลิ่นอายเหล่านั้นช่างยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ
ประกอบกันผู้บ่มเพาะแดนสร้างรากฐานนับพันที่ส่งพลังปราณเพื่อหล่อเลี้ยงค่ายกลนี้ สามารถกล่าวได้ว่าค่ายกลนี้ไม่มีวันพังทลาย ต่อให้หลินซวนมีปีกงอกออกมาก็ยากที่จะหลบหนีออกไปได้
“ข้าอยากรู้เสียจริงว่าในคราวนี้เจ้าจะหนีรอดไปได้อย่างไร?” หยิงเจาเลียริมฝีปากพลางมองไปยังหลินซวนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ท้ายที่สุด ฝ่ายตรงข้ามก็ตกลงสู่กับดักในเงื้อมมือของมัน
“เจ้าพวกลูกเต่าขี้ขลาดบัดซบ แน่จริงก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัวสิ!” หวงหาวที่ไม่เคยหวั่นไหวตะโกนและมองไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยความเกรี้ยวกราด
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ? จะต่อสู้กันไปไยหากเรามีแผนการที่ยอดเยี่ยมกว่า?” ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของจ้าวจินซาเอ่ย จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หลินซวนแค่นเสียงออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่ากองกำลังใดที่สามารถฟูมฟักอัจฉริยะเช่นมันได้?” องค์ชายสามมองไปยังหลินซวนและถามด้วยความสนใจ
“เจ้าไม่คู่ควรจะรับรู้” เป็นหลินซวนที่ตอบกลับอย่างสงบ
องค์ชายสามกำลังมีโทสะ ทว่าหวังเถิงเฟยกลับเอ่ยบางอย่าง
“องค์ชายสาม ข้ารู้ว่ามันคือผู้ใด”
“โอ้?” องค์ชายสามผู้นั้นมุ่งความสนใจมายังหวังเถิงเฟยในทันที
กระทั่งหยิงเจาและจ้าวจินซาก็ยังเงี่ยหูฟัง พวกมันที่ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าเบื้องหลังของฝ่ายตรงข้ามอาจเป็นตระกูลโบราณสักแห่ง ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีที่ใดอีกที่สามารถจะสร้างอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาได้
“องค์ชายสามคงมิเคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลหลินใช่หรือไม่?” หวังเถิงเฟยกัดฟันถาม
“ตระกูลหลินแห่งอาณาเขตเหนือคราม?” องค์ชายสามผู้นั้นขมวดคิ้วพลางออกปาก
หลังจากใคร่ครวญอยู่หลายครั้ง มันก็ยังทำได้เพียงรู้สึกสับสน
“จะเป็นไปได้หรือที่พวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าตระกูลโบราณทั้งหลาย?” หยิงเจาถามขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลหยิงอาจไม่สามารถจะจัดการกับตระกูลเช่นนั้นได้ แต่ต่อให้พวกมันจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับตระกูลที่แข็งแกร่งได้มากนัก ทว่าพวกมันอาจยังพอสั่งสอนเจ้าเด็กน้อยเบื้องหน้าได้อยู่ หากมิใช่เพราะว่าหลินซวนมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าตระกูลเบื้องหลังของเขาอาจจะไม่สามารถหาเรื่องมาเล่นงานตระกูลของพวกมันในภายหลังได้
“ตระกูลหลินเป็นเพียงตระกูลเจ้าเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอาณาเขตเหนือคราม พวกมันมิใช่ตระกูลโบราณแต่อย่างใด”