บทที่ 8: ศาลาสะสมตำรา
เนื่องจากเย่หวางเหย่กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว หวางฝู่ตระกูลเย่ทั้งหมดจึงยุ่งมาก ขนาดอีเหล่าม่าจื่อยังทุ่มเทขนาดส่งกับข้าวใหญ่เย่เซิงแต่เช้าตรู่อย่างขยันขันแข็ง
“หือ? ทำไมข้าวเช้าวันนี้มันดูรวยผิดปกติแท้วะ?” เย่เซิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้าวเช้าที่ตัวเองได้รับ
เทียบกับข้าวต้มและซาลาเปากาก ๆ แล้วไอ้ที่อยู่ตรงหน้านี่มันคนละเรื่องกันเลย หรูหราหมาเหล่าแมวหอน มีทั้งเนื้อวัว ทั้งล็อบสเตอร์ ทั้งเนื้อแกะ ฯลฯ รวมอยู่บนโต๊ะนี้หมดแล้ว
อีเหล่าม่าจื่อมันก็ตอบบ่ายเบี่ยงไปว่า “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ บ่าวแค่ไปรับอาหารที่ครัวตามปกติ และนี่คือสิ่งที่ทางครัวจัดเตรียมให้ เห็นบอกว่าคุณชายพึ่งถูกสั่งลงโทษเลยจำเป็นต้องบำรุงร่างกาย เนื้อและปลาเหล่านี้จะช่วยให้คุณชายฟื้นฟูเลือดเนื้อและลมปราณได้เจ้าค่ะ”
เย่เซิงไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นก็ฝากขอบคุณโรงครัวให้ด้วย”
เหล่าม่าจื่อพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และพูดกับเย่เซิงว่า “คุณชายสิบสองโปรดทานตอนที่ยังร้อน ๆ อยู่ หากเย็นหมดแล้วเดียวจะเสียสรรพคุณนะเจ้าคะ”
เย่เซิงพยักหน้าตอบ “ได้”
ไม่บอกก็รู้ว่าอาหารเต็มโต๊ะนี่คนที่จัดให้ต้องเป็นไอ้เย่ชิงกับแม่มัน และน่าจะรวมไปถึงอีเหล่าม่าจื่อนี่ด้วย แต่ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าทำไมพวกมันต้องจัดสำรับซะหรูหรารวยถึงเพียงนี้ให้เขาด้วย
“ตอนแรกพวกมันก็เอาครีมดี ๆ มาให้ ตอนนี้ก็มีกับข้าวอร่อย ๆ เต็มโต๊ะอีก ทำอย่างกับอยากให้เรารีบ ๆ หายดียังไงยังงั้นแหล่ะ ใช่มะ?” เย่เซิงคิดกับตัวเองแต่ไม่ได้แสดงออก ที่แสดงออกให้เห็นคืออาการตะกละราวกับอดอยากปากแห้งมานานนม
เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อปลาและเนื้อไก่ล้วนเข้าไปนอนหลับอยู่ในท้องของเขาเรียบร้อย อวัยวะภายในของเขาเริ่มทำงาน มันดูดซับทุกอย่างจากอาหารอันโอชะเหล่านี้แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานจากนั้นก็ส่งผ่านไปยังร่างกาย
ตอนนี้เย่เซิงเป็นจอมยุทธ์โฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าซึ่งมีวิชาให้ใช้งานอยู่สามวิชา แม้ทั้งสามวิชาจะเป็นวิชาขยะและไม่ได้ทรงพลังอะไร แต่ก็ไม่มีปัญหาในการโคจนลมปราณและเลือดเนื้อ
หลังจากที่กินข้าวมื้อใหญ่เสร็จแล้วเย่เซิงก็พูดออกมาเบา ๆ ว่า “มือเที่ยงนี้ขอเพิ่มเป็นสามเท่านะ”
เนื่องจากไอ้เย่ชิงแม่ลูกอยากให้เขาหายไว ๆ เพราะงั้นพวกมันย่อมไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน พลังเลือดเนื้อเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการฟื้นฟูบาดแผล และบวกกับขี้ผึ้งด้วยแล้วบางทีเขาอาจไม่ต้องรอถึงเจ็ดวันก็หายดีอย่างที่หวังแล้วก็ได้
อย่างที่คิด อีหลิวม่าจื่อนางนี้มันเป็นคนของแม่ไอ้เย่ชิงจริง ๆ ด้วย ตอนแรกมันกำลังประหลาดใจที่เย่เซิงซึ่งตัวผอมกะหร่องกลับสามารถกินข้าวมือใหญ่ได้ขนาดนี้ และถึงขั้นขอมื้อเที่ยงมากกว่านี้สามเท่าอีก แต่มันก็ยังจำได้ว่านายหญิงสองเจ้านายที่แท้จริงของมันสั่งว่าอะไรบ้างมันเลยตอบเขาว่า “เจ้าค่ะคุณชายสิบสอง”
นางได้เก็บจานเปล่าทั้งหมดหลังจากที่เย่เซิงกินเสร็จแล้วและออกจากเรือนของเขาไป
เย่เซิงมองดูนางจากไปแล้วค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ เบา ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับร่างกายเพื่อออกกำลังกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนได้ทั่วร่างกายดีขึ้น เขาเน้นไปยังจุดที่บาดเจ็บหนักสุดเป็นพิเศษและกระตุ้นการไหลเวียนในบริเวณนั้น ๆ ให้หายเร็วขึ้น
เขายังคงออกกำลังไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลามื้อเที่ยง และแน่นอนว่าอีหลิวม่าจื่อมันย่อมไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ มันมาพร้อมกับถาดอาหารเบอร์ยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์มากมายหลากหลายชนิด ปริมาณเยอะขนาดให้คนธรรมดากินอิ่มไปสามวันสามคืน
เย่เซิงไม่ได้พูดอะไรซักคำ เขาเปิดปากและเริ่มยัดอาหารทั้งหมดเข้าไป
หลิวม่าจื่อที่เห็นก็ตกอกตกใจแต่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดแทรก
หลังจากจบมื้อเที่ยงแล้วท้องของเย่เซิงก็เหมือนจะระเบิด เขายังขยับเนื้อตัวออกกำลังจนท้องเริ่มอุ่นและส่งคลื่นพลังงานออกไปทั่วทั้งร่างกาย
เย่เซิงยังคงโคจรเลือดลมของตนไม่หยุดตลอดทั้งวัน และเมื่อเข้าสู่ช่วงค่ำบาดแผลที่ตกสะเก็ดก็เริ่มแข็งตัวแล้ว
หลังจากหนึ่งวันที่ใช้ขี้ผึ้งของดีและกินเนื้อจนพุงกาง มันได้ทำให้บาดแผลของเขาเยียวยาเสร็จไปได้ประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งเป็นความเร็วที่สุดยอดจริง ๆ
ถึงกระนั้นเย่เซิงก็ยังคงแสร้งทำเป็นเดินไม่ค่อยไหวและยังเจ็บแผลอยู่เพราะไม่อยากให้มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ
ช่วงมื้อเย็นนั้นหลิวม่าจื่อก็เอามื้อเย็นที่ปริมาณเยอะพอ ๆ กับมื้อเที่ยงมาเสิร์ฟ และเย่เซิงก็ฟาดเรียบอีกรอบแล้วนางก็เก็บจานจากไปอีกที
แต่คราวนี้เธอนางไม่ได้กลับเข้าครัว นางไปหานายหญิงสองหูเหมยแทน
“นายหญิงสองเจ้าคะ คุณชายสิบสองได้กินเนื้อวัวอย่างน้อยห้าจิน เนื้อแกะสามจิน ปลาอีกหกเจ็ดตัวกับไก่อีกหลายตัวเลยเจ้าค่ะ” หลิวม่าจื่อรายงาน
หูเหมยยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “เจ้าขอทานนี่สงสัยเกิดมาทั้งชีวิตคงไม่เคยกินขอดี ๆ มาก่อน ให้มันกินอิ่มไปยันชาติหน้าไปเลยแล้วกัน”
ไอ้เย่ชิงนั้นยังคงนอนอยู่บนเตียงและไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้ ตัวมันโดนโบยไปร้อยไม้และบาดเจ็บหนักกว่าเย่เซิงเยอะ แถมยังดูเหมือนว่าร่างกายของมันยังไม่อาจฟื้นตัวได้เร็วเท่าเย่เซิงด้วย แค่ลุกขึ้นนั่งเองยังจะไม่ไหว
“ปล่อยมันกินไป ของกระจอก ๆ แบบนั้นหวางฝู่ตระกูลเย่เราขนหน้าแข้งไม่กระดิกร้อก” ไอ้เย่ชิงเยาะเย้ย
หูเหมยก็โบกมือ “เจ้าไปได้แล้ว พรุ่งนี้ก็เอาของเหมือนวันนี้ให้ไอ้ชาติชั่วนั่นกินอีก”
หลิวม่าจื่อพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินจากไปเงียบ ๆ
และหลังจากที่ไอ้เย่ชิงมันเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็หัวเราะอย่างเย็นชา “แม้แต่นักโทษประหารก็ยังได้รับอาหารมื้อสุดท้ายอันหรูหราก่อนจะถูกประหารเพื่อไม่ให้พวกมันกลายเป็นผีที่หิวโหย ไอ้เย่เซิ่งนั่นก็เหมือนกัน การให้มันกินดื่มเท่าที่ต้องการในตลอดอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้อย่างน้อย ๆ มันก็ไม่หิวโหยระหว่างเดินทางไปนรกล่ะน้า~ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
...
วันรุ่งขึ้นก็เจอกับอาหารมื้อใหญ่อีกรอบ เย่เซิงนั้นไม่มีเกรงใจได้คืบปึ๊บก็เอาศอกปั๊บ เขาขออาหารเพิ่มจากเมื่อวานอีกเท่าตัวแล้วก็กินจนเกลี้ยง
เย่เซิงไม่ได้เพียงแค่เดินไปมาแต่ยังเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาทั้งสามที่ตัวเองรู้จักไม่ว่าจะเป็น เพลงหมัดกุ่นฉี เพลงกระบี่ลั่วเย่หรือว่าจี๋เฟิงปู้ และค่อย ๆ ควบคุมการใช้ออกได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนกลางคืนเย่เซิงก็แอบฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ และในที่สุดก็ถึงระดับโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าขั้นสุดยอดแล้ว
เขากำลังจะทะลวงผ่านสองชั้นฟ้าซึ่งทำให้ตัวเขาเองนั้นมีความสุขอย่างคาดไม่ถึง
แต่กระนั้นเย่เซิงก็ยังไม่อาจรู้สึกมีความสุขแบบเต็มหัวใจจริง ๆ ได้ เพราะว่าหวางฝูตระกูลเย่แห่งนี้มันกดดันเกินไป เขาไม่กล้าฝึกยุทธ์ในตอนกลางวันเลย ทำได้แค่รอให้ดึกดื่นก่อนถึงค่อย ๆ โคจรลมปารณเบา ๆ เพื่อขัดเกลารากฐานการฝึกฝน
“ต้องออกจากคุกนี่ให้ได้!” ยิ่งนานเท่าไหร่เย่เซิงก็ยิ่งอยากออกจากบ้านมากขึ้นเท่านั้น และเขาก็เริ่มนับวัน
“อีกห้าวันจะเป็นวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดเทศกาลวันเบ็ญ นายหญิงเฒ่าก็สัญญาแล้วว่าจะอนุญาตให้เราไปกราบหลุมศพแม่เราได้” ดวงตาของเย่เซิงเป็นประกาย
แม่ของเขาถูกฝังในเขาซีซานซึ่งเป็นภูเขาขนาดใหญ่ทางตะวันตกของเซียนหยางซึ่งเป็นเมืองหลวงของต้าฉิน ที่นั่นมีวัดและศาลเจ้ามากมายบนภูเขาลูกใหญ่ และวัดหานซานเองก็ตั้งอยู่ที่นั่นด้วย
“ช่วงห้าวันหลังจากนี้เราต้องเอาดี ๆ อย่าประมาทแม้แต่น้อย” เย่เซิงระมัดระวังตัวมากเพราะเย่หวางเหย่ยังอยู่ในบ้าน ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาล่ะก็เท่ากับเขาต้องตาย
“พรุ่งนี้ไปที่ศาลาสะสมตำราแล้วแกล้งทำเป็นขยันเรียนดีกว่า” เย่เซิงพูดกับตัวเอง
เขาเป็นคนบอกเองว่าตัวเองอยากเรียน ดังนั้นมันก็ต้องทำฉากเบื้องหน้าให้ดูด้วยสิถึงจะเนียน
เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เซิงกินข้าวมื้อรวยอีกรอบ ร่างกายของเขาอบอุ่นบาดแผลก็เริ่มคัน ๆ แสดงอาการว่าสะเก็ดจะหลุดและหายดีออกมา แต่เขาก็ต้องทนไม่เอามือไปเกาและทำเป็นเดินไม่ค่อยไหวไปยังศาลาสะสมตำรา
หลายคนในบ้านสังเกตเห็นเย่เซิงเดินไปที่ห้องสมุดและมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ทุกคนรู้ว่าเย่เซิงถูกลงโทษโบยด้วยไม้พายทัพห้าสิบครั้งจนบาดเจ็บหนักถึงขั้นจะเดินดี ๆ ยังไม่ได้ แล้วจะเสนอหน้าออกมาทำไมอีก?
แต่แล้วพวกมันก็ดูเย่เซิงเดินเข้าไปในห้องสมุด เลยรู้ว่าเจียงเหอจะเข้าไปหาเรียนหนังสือ และแน่นอนว่าต้องมีไอ้พวกคิดไม่ดีแลเย้ยหยันว่าเขานั้นเสแสร้งแกล้งทำเป็นขยันเรียนซึ่งแน่นอนว่าพวกมันทายถูก
แต่เย่เซิงก็เพิกเฉยต่อปากหมา ๆ รอบ ๆ ตัว เพราะว่าเขาจงใจเดินโซซัดโซเซให้พวกมันเห็นแล้วเอาไปพูดต่ออยู่แล้ว ตราบใดที่มีคนปากสว่างทุก ๆ คนย่อมรู้ว่าเย่เซิงนั้นแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังเข้าไปหาตำรับตำราอ่าน โดยเขาหวังว่าจะใช้เรื่องนี้เปลี่ยนความคิดของเย่หวางเหย่ให้ยอมปล่อยเขาออกจากบ้านแต่โดยดี
ไม่ว่าวิธีนี้มันจะได้ผลหรือไม่ก็ตาม แต่เย่เซิงก็ยังอยากจะลองดู
ศาลาสะสมตำราของหวางฝู่ตระกูลเย่นั้นมีขนาดใหญ่มากและไม่แตกต่างจากห้องสมุดในชีวิตก่อนของเย่เซิงมากนัก มีหนังสือทุกประเภทที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หนังสือโบราณทุกชนิด งานวิจารทุกประเภท องค์ความรู้ต่าง ๆ มากมายที่ต้องการสามารถหาอ่านได้ที่นี่ทั้งหมด
แต่ว่าในห้องสมุดแห่งนี้กลับมีคนอยู่เพียงน้อยนิด และเมื่อเย่เซิงเข้ามาสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องที่ตัวเขาด้วยความประหลาดใจ
“พี่สิบสอง พี่บาดเจ็บหนักอยู่แท้ ๆ แล้วทำไมถึงยังมาที่นี่อีกล่ะเจ้าคะ?” เสียงใส ๆ ถามออกมาด้วยความตกใจ เป็นเสียงของสาวน้อยชุดแดงที่ดูน่ารักอย่างกับนางฟ้า
เย่เซิงหันไปมองที่เธอและตอบว่า “น้องหลิงฮวานี่เอง ข้าอุดอู้อยู่แต่ในห้องคนเดียวจึงรู้สึกเบื่อ และข้าเองก็ไม่มีคนคุยด้วยเลยคิดว่าจะลองมาหาอะไรอ่านและพูดคุยกับเหล่าคนจากสมัยโบราณพวกนี้ดูน่ะ”
สาวน้อยชุดแดงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเย่เซิง เป็นลูกของหลานสาวนายหญิงเฒ่า พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเล็ก ๆ และนายหญิงเฒ่าจึงได้รับตัวนางเข้ามาอยู่ด้วย แถมยังทั้งรักทั้งหลงเอาอกเอาใจสาวน้อยนางนี้พอ ๆ กับไอ้เย่ชิงอีกต่างหาก
หลิงฮวานั้นเป็นชื่อเล่นของนาง และเย่เซิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อจริงของนางนั้นชื่ออะไร เพราะว่าทั้งคู่ไม่เคยคุยกันเกินสิบคำมาก่อนเลย และโดยปกติแล้วก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยแล้วเย่เซิงก็พยักหน้าแล้วก้มลงอ่านตำราโบราณต่อ