บทที่ 754 โรงงานยาเกิดเรื่อง!(ตอนฟรี)
บทที่ 754 โรงงานยาเกิดเรื่อง!
“ก็ถ้าไป๋จูยังไม่ตายภายในสองเดือนนี้ การกู้ระเบิดชีวภาพในร่างกายเธอก็อาจจะมีโอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นถึง 50 %” จี้เฟิงพูดเบาๆ
พรึ่บ—!
ดวงตาของเซียงหยงซานและแมงมุมขาวเบิกกว้างเป็นประกายพร้อมๆกัน
“จริงเหรอ?!”
“ถ้าไม่มีเรื่องที่เหนือความคาดหมายก็ไม่น่าจะมีปัญหา!” จี้เฟิงไม่ได้ให้คำตอบในเชิงบวก เพราะระยะเวลาสองเดือนจะว่านานก็นาน และก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ จี้เฟิงก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้
แม้ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ค่อนข้างคลุมเครือ แถมยังต้องรออีกสองเดือน และความมั่นใจก็มีเพียง 50 % เท่านั้น แต่สำหรับเซียงหยงซานและแมงมุมขาวนับว่าเป็นอะไรที่ดีมากแล้ว
อันที่จริง มันก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่แมงมุมขาวยอมจำนนและมาอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนในเขตทหารที่สามารถจัดการระเบิดชีวภาพในร่างกายของเธอได้ พวกเขาต่างหมดหนทางและทำอะไรไม่ถูก แต่ตอนนี้จี้เฟิงได้กล่าวว่าภายในเวลาไม่เกินสองเดือน เขามีความมั่นใจถึง 50 % ที่จะกู้ระเบิดชีวภาพในร่างกายของแมงมุมขาวได้ แล้วแบบนี้จะไม่ทำให้เซียงหยงซานและแมงมุมขาวแปลกใจได้อย่างไร
เซียงหยงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเงียบๆ โชคดีที่ตอนนั้นเขาเชื่อลางสังหรณ์ตัวเอง เขาคิดว่าจี้เฟิงจะต้องมีความสามารถพิเศษอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่มี เขาจึงทู่ซี้ต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังเอาไว้มากนักว่าการคาดเดาของเขาจะเป็นจริงและจี้เฟิงจะทำได้จริง แต่ในขณะที่เขารู้สึกประหลาดใจ เขาก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน
ความสามารถพิเศษของจี้เฟิงมาจากไหน?
เซียงหยงซานเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับทักษะต่างๆที่จี้เฟิงเคยแสดงออกมา และคาดเดาเอาเองว่าจี้เฟิงต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่าง และเขาก็เชื่อในการคาดเดาของตัวเองมาโดยตลอด และในที่สุดตอนนี้มันก็ได้รับการยืนยันแล้ว
ถ้าจี้เฟิงรู้รายละเอียดของคนในแวดวงชั้นสูง เขาต้องรู้สึกกลัวอย่างแน่นอน ต้องยอมรับตามตรงว่าในบรรดาลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเพลย์บอยหรือพวกลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพราะมีหลายคนที่เป็นคนเก่งและมากความสามารถ
อันที่จริง แม้ว่าจะมีคนขี้โกงและเจ้าชู้มากมายในหมู่ลูกหลานของตระกูลผู้สูงศักดิ์ แต่ในกรณีส่วนใหญ่ คนเหล่านั้นมีชีวิตที่แตกต่างเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเทียบได้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์เหล่านั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสได้ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือวิสัยทัศน์ล้วนกว้างขวางกว่าเด็กทั่วไปมาก
ในทางกลับกัน แม้ว่าลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้จะไร้ความสามารถ แต่การฝึกอบรมที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นสิ่งที่เด็กธรรมดาไม่อาจเทียบได้แน่นอน
ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทรัพยากรที่ลูกหลานของตระกูลใหญ่ครอบครองนั้นสูงกว่าเด็กธรรมดามาก เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะเป็นคนโง่เข้าขั้นปัญญาอ่อน ไม่อย่างนั้นเหล่าลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องซึมซับความรู้จากสภาพแวดล้อมชั้นเยี่ยมไว้ไม่มากก็น้อย และเพียงแค่นั้นก็มากพอที่จะมีความรู้แซงลูกหลานครอบครัวธรรมดาไปแล้ว ดังนั้นหากจะบอกว่าลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์เป็นพวกโง่เขลาหรือขี้ขลาดก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบกับลูกหลานที่โดดเด่นของตระกูลสูงศักดิ์ด้วยกันเท่านั้น
เหตุผลที่พวกเขาเสเพลและดูชั่วร้ายมากนั่นก็เป็นเพราะพวกเขามีต้นทุนมากพอที่จะให้ทำแบบนั้น พวกเขาไม่ต้องทำงานหนักเหมือนคนทั่วไป และแทบไม่รู้สึกถึงวิกฤตในการใช้ชีวิตเลย จนทำให้พวกเขาค่อยๆกลายเป็นลูกหลานคนรวยที่ใช้ชีวิตเพลย์บอยของจริง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่จนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
แน่นอนว่าแม้ลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้จะครอบครองทรัพยากรมากมายรวมถึงมีความรู้ที่ถูกปลูกฝังมาเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีแรงจูงใจที่จะก้าวไปข้างหน้า จึงทำให้พวกเขาเหมือนกับเป็นดอกไม้ในเรือนกระจกที่ไม่สามารถต้านทานลมและฝนได้ ความอดทนในความยากลำบากจึงต่ำเตี้ยเรี่ยดินยิ่งกว่าคนธรรมดาหรือเด็กยากจน
ลองนึกภาพดูว่าถ้าลูกหลานตระกูลใหญ่เหล่านั้นมีแรงจูงใจที่จะก้าวไปข้างหน้าและผ่านการฝึกฝนมาเพียงพอแล้ว พวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
เซียงหยงซานก็เป็นคนประเภทนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะผู้นำรุ่นที่สามของตระกูลเซียงแห่งหยานจิง ทรัพยากรที่เขาได้รับนั้นมากมายเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะจินตนาการได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เสาะแสวงหาความสุขสำราญเหมือนคุณชายเพลย์บอยคนอื่นๆ แต่เขาได้เดินตามรอยผู้อาวุโสของเขาโดยการเข้าสู่กองทัพและเริ่มต้นจากระดับรากหญ้า ผ่านประสบการณ์ต่อสู้ที่ดุเดือดมานับครั้งไม่ถ้วน ก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วยตัวเองไปทีละขั้นจนกลายมาเป็นหัวหน้าทีมของกองพลปฏิบัติการพิเศษในปัจจุบัน
ลองนึกดูสิว่าคนเช่นนี้จะมีพลังขนาดไหนกัน?
เกรงว่าคงจะมีแค่คนที่เคยเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจังเท่านั้นถึงจะรู้ได้ว่าเซียงหยงซานนั้นมีพลังและแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แต่จี้เฟิงในตอนนี้ไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ สิ่งที่เขาคิดคือถ้าหากเขาจัดการกับระเบิดชีวภาพในร่างกายของแมงมุมขาวได้แล้ว เขาควรจะเสนอเงื่อนไขอะไรให้เซียงหยงซานดี?
เนื่องจากภารกิจที่คอยจับตาดูแมงมุมขาวในฐานะอาจารย์ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยได้จบลงแล้ว ตอนนี้ฮุ่ยอี้ หลิวซินและคนอื่นๆ ได้กลับไปที่กองทัพแล้ว มีเพียงเสี่ยวอิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่กับจี้เฟิง แต่จี้เฟิงยังคงไม่สามารถวางใจได้ อย่างไรก็ตาม เซียวหยูซวนและถงเล่ยไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา พวกเธอจำเป็นจะต้องมีบอดี้การ์ดอย่างน้อยอีกหนึ่งคน
ดังนั้นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ต้องกล่าวถึงคือการขอทหารหญิงที่เกษียณแล้วจากเซียงหยงซาน
ส่วนที่เหลือจี้เฟิงยังคงมีเวลาให้คิดถึงมันอย่างจริงจังในภายหลัง ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นให้ต้องคิดอย่างหนัก เพราะถึงแม้การฝึกของจี้เฟิงจะเข้าสู่ขั้นที่สามแล้ว แต่อัตราความสำเร็จในการกู้ระเบิดชีวภาพก็ยังอยู่ที่ 50% แม้ว่าตัวเลขนี้จะพูดไม่ได้ว่าเป็นการเดิมพันด้วยชีวิต แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากอยู่ดี จึงไม่แปลกที่จี้เฟิงจะไม่รับความเสี่ยงโดยไม่มีเหตุผล ไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ได้รับการช่วยชีวิตคือแมงมุมขาว ผู้หญิงที่เคยมีเจตนาร้ายต่อเซียวหยูซวน ดังนั้นจี้เฟิงจึงต้องไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี
“งั้นวันนี้ก็แค่นี้แล้วกัน!”
จี้เฟิงขยี้บุหรี่กับที่เขี่ยบุหรี่แล้วลุกขึ้นยืน “เมื่อผมสามารถจัดการเรื่องระเบิดชีวภาพได้แล้วผมจะติดต่อมา!”
“โอเค ฉันจะไปส่ง!” เซียงหยงซานพยักหน้าและหันไปมองหน้าแมงมุมขาวเพื่อให้เธอรู้สึกมั่นใจ แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับจี้เฟิง
ทันทีที่ชายหนุ่มทั้งสองเดินออกจากห้องไป ประตูห้องของแมงมุมขาวก็ปิดลงอย่างช้าๆโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนที่มันจะปิดสนิท แมงมุมขาวเหลือบมองไปที่ด้านหลังของจี้เฟิงและเซียงหยงซาน ด้วยสีหน้าและแววตาที่ซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจของเธอรู้สึกถึงความสั่นไหวแปลกๆ จากนั้นประตูก็ปิดสนิท
………………..
“จี้เฟิง สุขภาพร่างกายของแมงมุมขาวเป็นยังไงบ้าง?” เซียงหยงซานถามขึ้นในขณะที่อยู่ในลิฟต์
“ไม่รู้” จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม
“อะไรนะ? นายไม่รู้?!” เซียงหยงซานตกใจ “เมื่อกี้นายจับข้อมือแมงมุมขาวตั้งนาน นายทำอะไรอยู่?”
“ผมแกล้งทำไปงั้นแหละ!” จี้เฟิงยิ้มและพูดอย่างตรงไปตรงมา “อย่างที่บอก เรื่องของระเบิดชีวภาพผมแทบไม่รู้อะไรเลย แต่เรื่องการตรวจจับชีพจรก็พอรู้อยู่ ดังนั้นก็เลยใช้การจับชีพจรเพื่อแสร้งทำเป็นตรวจสอบระเบิดชีวภาพ”
“เจ้าหนู...” เซียงหยงซานถึงกับอึ้งกิมกี่ เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปครู่ใหญ่
หลังจากนั้นไม่นาน เซียงหยงซานก็ถามขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อนายไม่ได้ตรวจร่างกายของแมงมุมขาว แล้วนายกล้ารับประกันได้ยังไงว่าไม่เกินสองเดือนระเบิดชีวภาพในร่างกายของแมงมุมขาวจะได้รับการแก้ไข และมีโอกาสสำเร็จถึง 50 % ! จี้เฟิง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ ถ้านายไม่มีความสามารถที่จะทำอะไรแบบนั้น ก็อย่ารับปากมั่วซั่ว เพราะถ้าถึงเวลานั้นแล้วระเบิดมันเกิดระเบิดขึ้นมา....”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “ผมเป็นคนที่จัดการเรื่องระเบิด คุณจะกังวลอะไร?”
“ฉันจะไม่กังวลได้ยังไง!” เซียงหยงซานพูดอย่างโกรธจัด “นายได้รับการเชิญจากฉัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนายที่นี่ คนในตระกูลของนายจะไม่มาเล่นงานฉันก็ให้มันรู้ไป โดยเฉพาะผู้อาวุโสจี้ ปู่ของนายคงฟาดฉันให้ตายคาไม้เท้า!”
ล้อกันเล่นหรือไง!
หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับจี้เฟิงจริงๆในระหว่างกระบวนการจัดการระเบิดชีวภาพ แม้ว่าจะเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเซียงก็ไม่สามารถรับผิดชอบไหว จี้เฟิงเป็นหลานชายคนโตของตระกูลจี้ หากเขาต้องมาตายที่นี่โดยมีเซียงหยงซานมาเกี่ยวข้อง ก็คงจะแปลกแล้วถ้าตระกูลจี้จะนิ่งเฉย
ความโกรธของผู้อาวุโสจี้ไม่ใช่อะไรที่ใครจะต้านทานได้!
จี้เฟิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาแค่ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องห่วง ผมมีวิธีของผม และผมก็ไม่ได้โง่พอที่จะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็วางใจ แต่ระหว่างสองเดือนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่ทรมานใจสำหรับแมงมุมขาว ฉันเลยหวังว่านายจะประสบความสำเร็จภายในสองเดือนจริงๆอย่างที่นายบอก!” เซียงหยงซานพยักหน้าและพูดอย่างหนักแน่น
“งั้นช่วงสองเดือนนี้ คุณก็ไปคัดเลือกทหารหญิงที่เกษียณแล้วมาให้ผมซักคนเป็นไง?” จี้เฟิงถาม “เพราะหลังจากผ่านสองเดือน ผมมาจัดการเรื่องระเบิดชีวภาพให้แมงมุมขาว จะได้พาคนกลับไปทีเดียวเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า คนอย่างเซียงหยงซานไม่ผิดสัญญาอยู่แล้ว!” เซียงหยงซานหัวเราะ
“ก็ดี..” จี้เฟิงพึมพำ “ผมหวังว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ผมรอเก้อไปสองสามเดือนเหมือนอย่างคราวที่แล้ว จนผมต้องมาถามด้วยตัวเองถึงจะได้ข่าวอะไรบ้าง!”
ในขณะที่พูด จี้เฟิงไม่ได้สนใจเลยว่าเซียงหยงซานจะรู้สึกอับอายขายหน้าหรือไม่ เพราะเมื่อทันทีที่ลิฟต์มาถึง เขาก็เดินนำออกไปก่อนโดยไม่รีรอ
“ไอ้เด็กนี่...” ในขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของจี้เฟิง เซียงหยงซานก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและก่นด่า
จี้เฟิงที่เดินออกมาจากห้องใต้ดินอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าฉันยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ...”
จากคำพูดของสมองหมายเลข 1 เหมือนกับว่าการฝึกขั้นที่ 3 นี้ดูแตกต่างไปจากสองขั้นแรก คิดดูดีๆมันอาจจะเป็นสิ่งใหม่
“ตื้ด~~! ตื้ด~~!”
โทรศัพท์มือถือของจี้เฟิงสั่น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที แต่ก็ต้องตกใจเล็กน้อย นี่เป็นข้อความจากพี่ชายคนรองจี้ช่าวเหลย เขาส่งมาบอกว่าเขาจะกลับไปคนเดียวก่อนและจะไม่รอจี้เฟิง เห็นได้ชัดว่าเขาคงพาเซียงยี่โหรวไปพลอดรักกันที่ไหนสักที่หนึ่ง แล้วทิ้งจี้เฟิงไว้ข้างหลัง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงตกใจก็คือข้อความนั้นถูกส่งมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่เขาเพิ่งได้รับในตอนนี้
“ตอนอยู่ที่ชั้นใต้ดิน.. โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณเลยงั้นเหรอ?” จี้เฟิงหันกลับมาถามเซียงหยงซาน
“อืม!” เซียงหยงซานพยักหน้าเล็กน้อยด้วยใบหน้านิ่งๆและกล่าวว่า “แม้แต่ในเขตทหาร ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถพูดได้!”
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวออกจากเขตทหารนี้ก่อนดีกว่า อ้อ! ไม่ต้องไปส่งนะ ผมกลับเองได้!” ในขณะที่เขาเดินเขาก็โบกมือโดยไม่หันกลับมามองและเดินจากไปทั้งแบบนั้น
“ผู้ชายคนนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมาย...” เซียงหยงซานลูบคางของตัวเองอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าที่เหอหงเหว่ยสนใจเขาจะมีเหตุผลอะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ”
………………..
“เซียงหยงซาน... ผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงคิดที่จะให้ฉันมาช่วยไป๋จู เขารู้ได้ยังไงว่าฉันน่าจะสามารถทำได้? เขาแค่เดาเอาส่งๆหรือกำลังสืบสวนอะไรอยู่กันแน่?”
หลังจากออกมาจากเขตทหาร ใบหน้าของจี้เฟิงก็เคร่งขรึมทันที และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เปิดประตูรถและกำลังจะขับรถกลับบ้าน
Rrrrrr~!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่จี้เฟิงสตาร์ทรถ เขาสวมหูฟังที่ใช้คุยโทรศัพท์ขณะขับรถและกดรับสายทันที “จี้เฟิงพูด นั่นใครครับ?”
“ผมกัวเถาเองครับบอส! ตอนนี้ที่โรงงานเกิดเรื่องขึ้นแล้วครับ บอสรีบกลับมาจัดการด่วนเลยครับ!” เสียงของกัวเถาดังขึ้นทันที
......จบบทที่ 754~