บทที่ 7: เหมือนจะเมตตา
เย่เซิงเดินโซเซกลับไปที่เรือนของตนและนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าที่มืดหม่น
“ต้องออกจากไอ้หวางฝู่เส็งเคร็งนี่เร็ว ๆ แล้ว ไอ้ที่จัญไรนี่โคตรอันตรายเลย ถ้าเกิดโดนพวกมันจับได้ว่าฝึกยุทธ์อยู่จริง ๆ ล่ะก็คงไม่โดนแค่ไม้พายทัพห้าสิบไม้นี่แน่ ๆ” เย่เซิงกัดฟันแน่น ในใจเขายังรู้สึกโกรธแค้นอยู่เลย ตอนแรกเขาไม่ได้เต็มใจไปฝึกซ้อมห่านเหวเชรี่ยไรกับไอ้สารเลวเย่ชิ่งนั่นเลยด้วยซ้ำ แทนที่ไอ้เย่หวางเหย่มันจะสอบสวนเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาดี ๆ แต่ไอ้สลัดนั่นมันดันสั่งโบยเขาไปตั้งห้าสิบไม้ ไอ้ความไร้หัวใจนั่นมันก็ช่างน่าหมั่นใส้ซะจริง ๆ
“เอ็งไม่ให้ตูเรียนรู้วรยุทธ์ยังไม่พอ แค่จะออกจากบ้านเอ็งก็ยังไม่ยอมอิก เป็นเชรี่ยไรกันนักกันหนาวะฮะ?” เย่เซิงได้แต่นอนสบถด่าแล้วก็ถอนหายใจยาว ๆ ให้กับชีวิตอันแสนบัดซบของตน เพราะว่าถ้าแค่โดนทุบตีแล้วเขาสามารถออกจากบ้านได้เขาจะไม่คิดอะไรมากเพราะแลกกับอิสรภาพแล้วมันคุ้มเกินคุ้ม แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าโดนทุบตีไปเฉย ๆ โดยไม่ได้อะไรเลยเนี่ยสิ จะให้ใช้วิธีไหนในการทำใจยอมรับมันได้?
“มันว่าให้เราเข้าใช้ศาลาสะสมตำราได้ แต่ไอ้ศาลาสะสมตำราบ้านพ่องนี่ก็ดันไม่มีคัมภีร์ยุทธ์ซักเล่ม มันมีหนังสือหนังตำราเรียนทั่วไปเยอะแยะก็จริง แต่ที่ตูอยากได้คือคัมภีร์วรยุทธโว้ย แล้วในนั้นมันมีที่ไหนล่ะวะไอ้เวรเอ๊ย?” เย่เซิงดื้อรั้นแต่ก็ยังตั้งใจอย่างแน่วแน่ และเขาก็ไม่พอใจกับสภาพนี้เห็น ๆ
เย่เซิงใช้เวลาทั้งคืนพยาบาลบาดแผลและวางแผนอนาคตว่าจะทำยังไงต่อไปดีไปด้วย
เขานั้นต้องซ่อนฝีมือของตัวเองจากทุกผู้ทุกนาม ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนทำตัวจ๋องกรอด หลีกเลี่ยงความขัดแย้งทุกประเภทและเฝ้ารอให้ชาวโลกในตันเถียนทะลวงระดับให้ได้เพื่อที่เขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของเหล่าชาวโลกได้
ตราบใดที่ชาวโลกหนึ่งร้อยคนสามารถเลื่อนเป็นโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าได้ล่ะก็ เย่เซิงสามารถใช้พลังของคนเหล่านั้นมาเสริมกำลังให้ตัวเองได้ แม้ว่าโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าจะฟังดูกระจอกมาก ๆ ก็ตาม แต่ว่าเย่เซิ่งสามารถคูณพลังของตนเองได้ตามจำนวนของคนเหล่านั้น ถ้ามีร้อยคนก็คูณร้อย และด้วยพลังขนาดนี้ทำให้เขาอาจถึงขั้นสามารถซัดกับโฮ่วเทียนห้าชั้นฟ้าได้เลย
และด้วยพลังในขั้นนั้นมันก็ทำให้เขามีต้นทุนในการออกจากบ้าน
ในตอนกลางคืน ทุก ๆ คนในหวางฝู่ได้ยินเรื่องราวที่ทั้งเย่เซิงและเย่ชิงโดนไม้พายทัพโบยกันทั้งหมดแล้ว
ไอ้เย่ชิงที่โดนทุบจนสลบไปนั้นด้านหลังเต็มไปด้วยแผลเหวอะ อีนังหูเหมยแม่มันก็ร้องห่มร้องให้อย่างหนักทันทีที่เห็นสภาพอันน่าเวทนาของลูกชาย ใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเย่หวางเหย่ แต่ก็ไม่อาจระบายใส่ผัวนางไปตรง ๆ ได้ ดังนั้นอีนังนี่เลยเบนเข็มมาลงที่เย่เซิงแทน
“ไอ้สารเลวน้อยนั่นมันกินบัวหิมะเทียนซานของข้าไปแล้วยังไม่ยอมพูดเรื่องดี ๆ ให้เจ้าอีก หากข้ารู้ว่าเรื่องจะถึงขั้นนี้ข้าคงยอมปล่อยให้มันตกตายไปเสียเลยจะดีกว่า ไม่ต้องมาอยู่ให้รกหูรกตาข้าเช่นนี้” อีหูเหมยได้แต่ก่นด่าสาปแช่งเย่เซิงให้รีบ ๆ ไปตาย
ส่วนไอ้เย่ชิงก็นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ยาทาสมุนไพรคุณภาพสูงนั้นได้ผลดีเลยทีเดียว อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้มันลดความเจ็บปวดลงไปได้เยอะมาก ๆ
“ท่านแม่ ไอ้เย่เซิงมันสมควรตายนัก ถ้าไม่ใช่เพราะมันข้าคงไม่ต้องมาโดนลงโทษเช่นนี้ ข้าจะต้องฆ่ามันให้จงได้” ไอ้ตัวทำผิดแล้วยังไม่สำนึกยังคงมีแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต แต่ละคำที่มันพ่น ๆ ออกมามีแต่ผูกพยาบาทและการฆาตกรรมเย่เซิงทั้งสิ้น
อีหูเหมยก็มองลูกชายหน้าโง่ของตัวเองอย่างเย็นชา “ฆ่า ๆ ๆ ๆ ในหัวสมองโง่ ๆ ของเจ้ารู้จักแค่วิธีฆ่าอย่างเดียวหรืออย่างไรฮะ? งั้นเจ้าก็ลองบอกมาซิว่าจะฆ่ามันยังไงถึงจะได้!”
“ไอ้ตัวเสนียดนั่นมันเอาแต่หมกอยู่ในเรือนรูหนูโกโรโกโสของตัวเองไม่ยอมออกมาสุงสิงกับใครเลย จนข้าต้องโดนนายหญิงใหญ่ตำหนิอย่างรุนแรง แล้วถ้ายังจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีกคำพูดของข้าในตระกูลนี้คงไม่เหลือน้ำหนักอะไรอีกต่อไปแล้ว เย่หวางเหย่กลับบ้านมายังไม่แม้แต่จะมองหน้าข้าเสียด้วยซ้ำ หากเจ้าตัวไม่พิโรธอย่างหนักจริง ๆ มีหรือจะเป็นแบบนี้ได้” หูเหม่ยบ่นด้วยความหงุดหงิด
“โธ่ท่านแม่ เรื่องนั้นมันก็ไม่เห็นจะยากลำบากอะไรเลย ลูกมีความคิดดี ๆ แล้ว” ไอ้ตัวบัดซบของแท้ยิ้มอย่างชั่วร้ายให้แม่มัน
“ความคิดอะไรอีก? คงไม่ใช่ความคิดโง่ ๆ อีกหรอกนะ” หูเหม่ยเหน็บแนมพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ท่านแม่ล่ะก็ อีกไม่นานก็จะเป็นวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดแล้วนะขอรับ เทศกาลวันเบ็ญ (วันไหว้เซ่นไหว้บรรพบุรุษทางไทยเขมรเรียกวันเบ็ญ มันสั้นดีเลยขอใช้คำนี้) แล้วไอ้เย่เซิงมันก็ต้องออกไปกราบอีแม่สุนัขของมันอย่างแน่นอน นั่นถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะลงมือ” ไอ้เย่ชิงยังคงยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่
แต่แม่มันกลับลังเล “มันพึ่งจะโดนนายท่านสั่งโบยจนบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้เจ้า อีกเพียงอาทิตย์เดียวก็จะถึงวันเบ็ญแล้ว เจ้าคิดว่ามันจะหายทันไปกราบศพนังหมาตัวเมียแม่มันอย่างนั้นเหรอ?”
“ถ้าอย่างท่านแม่ก็ส่งขี้ผึ้งนี่ไปให้มันทาด้วยสิขอรับ รับรองว่ามันต้องหายดีภายในอาทิตย์เดียวแน่ ๆ นายหญิงเฒ่าก็สัญญากับมันไปแล้วว่าจะยอมให้มันไปกราบศพอีหมาตัวเมียนั่นได้ ถ้าหากมันเดินได้ล่ะก็ลูกมั่นใจเลยว่ามันต้องไปอย่างแน่นอน” ดวงตาของไอ้เย่ชิงสาดประกายอย่างเย็นชา มันนั้นไม่รู้ว่าจะเกลียดชังเย่เซิงอะไรนักหนา มันเกลียดชังเขาจนเข้าไปยันแก่นกระดูก และที่มันพูด ๆ แผนการออกมานี่ย่อมแสดงว่ามันคงจะวางแผนเรื่องนี้ไว้ทั้งหมดมานานแล้ว
เมื่อได้ยินแล้วดวงตาของอีคนเป็นแม่ก็เป็นประกายด้วย “เจ้าพักฟื้นไปเถอะเดี๋ยวแม่จะไปจัดการเรื่องนี้เอง แม่จะไปหาพวกชนชั้นต่ำที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราให้ไปลงมือแทน หากสามารถฆ่าไอ้สารเลวน้อยเย่เซิงนั่นได้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคุ้มค่า”
ไอ้เย่ชิงก็ตอบเบา ๆ ไปว่า “ถ้าอย่างนั้นลูกจะรอฟังข่าวดีนะขอรับ”
...
ดวงจันทร์อยู่สูงบนท้องฟ้า และแสงจันทร์สลัวส่องลงพื้น สาวใช้แสนสวยคนหนึ่งเดินไปที่เรือนของเย่เซิงพร้อมขวดขี้ผึ้งหนึ่งขวด
“คุณชายสิบสองอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?” นางเรียกด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ
เย่เซิงขมวดคิ้วและถามว่า “มีอะไร?”
“นายหญิงสองได้ยินมาว่าคุณชายกับคุณชายสิบสองถูกโบยจึงขอให้บ่าวส่งขี้ผึ้งทาแผลมาให้เจ้าค่ะ ขี้ผึ้งนี้เป็นยาที่จะช่วยให้คุณชายฟื้นตัวเร็วขึ้นและป้องกันรอยแผลเป็นด้วยนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าว
‘หา? แล้วไมอีเหมยมันต้องมาทำดีกะตูด้วยวะ?’
เย่เซิงไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขาส่ายหัวและพูดว่า “ข้าขอบคุณความเมตตาของนายหญิงสองยิ่ง แต่ข้าเป็นเพียงลูกนางสนมไม่สมควรได้ใช้ยาคุณภาพสูงเช่นนี้หรอก”
“คุณชายสิบสองโปรดอย่าพูดอย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ คุณชายอาจเป็นบุตรของนางสนมก็จริงอยู่ แต่ก็ยังคงเป็นบุตรของเย่หวางเหย่ด้วย นายหญิงสองสองรู้สึกกับท่านไม่ต่างจากบุตรหลานของตน และนี่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวจากที่เรามีทั้งหมด นายหญิงสองสองบอกว่าถ้าคุณชายไม่ใช้ขี้ผึ้งนี้ล่ะก็อาจต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะหายดีเลยนะเจ้าคะ” อีสาวใช้ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อม
และมันก็ได้ผล หลังจากที่เย่เซิงหล่อนพูดเขาก็เริ่มลังเล
เขาเชื่อว่าต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าเขาจะฟื้นตัวจริง ๆ และก้นของเขาตอนนี้ก็ขยับไม่ได้เลยด้วย หากต้องอยู่แบบนี้ไปตลอดทั้งเดือนเขาคงอึดอัดจนทนไม่ไหวจริง ๆ
“ตอนนี้ข้าไม่อาจขยับตัวได้เลย เอายาเข้ามาวางไว้ให้หน่อย” เย่เซิงกล่าวหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
‘จะเป็นกับดักป่าวก็ไม่รู้แหล่ะ แต่ไอ้ครีมนี่มันต้องใช้ได้ชัวร์ ๆ และเราก็ต้องรีบหายไว ๆ ด้วย’
เย่เซิงไม่คิดว่าอีนังนายหญิงสองนั่นมันจะโง่ถึงขนาดวางยาพิษใส่ครีบทาตูดนี่แน่ ๆ เรื่องนี้เดาได้ง่าย ๆ เพราะว่าถ้ามันโง่ล่ะก็มันคงไม่กุมอิทธิพลในบ้านตระกูลเย่ได้เยอะถึงขนาดนี้ได้หรอก
สาวใช้ถือขี้ผึ้งเข้ามาอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางก็ถามว่า “คุณชายสิบสองต้องการให้บ่าวช่วยทาให้หรือไม่เจ้าคะ?”
เย่เซิงส่ายหัว “ไม่ต้อง เจ้ากลับไปขอบคุณนายหญิงสองให้ข้าด้วย”
“เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดลาอย่างสุภาพโดยวางขวดขี้ผึ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง
เย่เซิงเอื้อมมือออกไปและใช้พลังชี่เคลื่อนมันเข้ามาหาตัว จากนั้นก็เปิดขวดออกมาดมดู กลิ่นหอมอันน่ารื่นรมย์ทะลวงเข้ารูจมูก เขาสามารถบอกได้ว่ามีสมุนไพรหายากหลายชนิดผสมกันในขี้ผึ้งนี่
สมุนไพรทั้งหมดเหล่านี้เป็นสมุนไพรที่หายาก ดังนั้นมันจึงรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างยอดเยี่ยมนักแล
“แล้วตกลงว่าแม่ของไอ้เย่ชิงมันวางกลอุบายเชรี่ยไรอยู่กันแน่วะ?” เย่เซิงขมวดคิ้วครุ่นคิดแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
‘ไอ้เย่ชิงมันเกลียดเราจนสุดหัวใจแท้ ๆ และทุก ๆ คนต่างก็รู้ว่าอีหูเหม่ยมันเอาอกเอาใจลูกชายสารเลวของตัวเองเบอร์ไหน พวกมันทั้งคู่ต้องเกลียดชังเราจนแทบจะทนกระโดดมากัดคอเราไม่ไหวแล้วแน่ ๆ แล้วทำไมว้า ทำไมมันถึงได้ใจดีส่งครีมทาแผลมาให้แบบนี้?’
“เอาวะ ไม่สนหรอกว่าพวกเอ็งแม่ลูกจะมีลูกไม้อะไรอีก รอให้หายดีก่อนเด๋วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า” ว่าแล้วเย่เซิงก็รีบทาครีมลงบนบาดแผลและรู้สึกได้ทันทีว่าความเจ็บปวดนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างน้อยตอนนี้เย่เซิงก็สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาได้รับผลกระทบอย่างหนักมากในวันนี้ และเย่เซิงก็ค่อย ๆ หลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเย่เซิงตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าบาดแผลของเขาเริ่มตกสะเก็ดอย่างช้า ๆ แล้ว ตราบใดที่เขาไม่ได้เคลื่อนไหวมากเกินไปพวกมันก็จะไม่ฉีกออก
“ครีมนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ แฮะ แบบนี้ล่ะก็เราสามารถหายดีได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ชัวร์” เย่เซิงอุทาน
แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มรู้สึกระวังตัวเย่ชิงและแม่ของมันมากขึ้นไปอีก หมาเห่าไม่กันส่วนหมากัดมักไม่เห่า งูพิษที่ทำเป็นนิ่ง ๆ ที่สุดก็มักจะเป็นงูที่มีพิษร้ายสูงสุดด้วย ประสบการณ์มากมายในหัวมันร้องเตือนว่าเมื่อไหร่ที่เขาประมาท เมื่อนั้นเขาจะต้องเจอกับจุดจบที่เลวร้ายเกิดจะพรรณนาอย่างแน่นอน
‘แต่ถ้าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไอ้ครีมนี่ แล้วปัญหาจริง ๆ มันอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย?’