ตอนที่แล้วบทที่ 4: คำตำหนิของนายหญิงเฒ่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6: ถูกโบย

บทที่ 5: พ่อบ้านฝู


เนื่องจากอยู่ดี ๆ ก็มาโดนตำหนิเรื่องตั้งแต่เช้าแบบนี้  มันเลยทำให้ท่าทีของเย่เซิงดูมืดมนเป็นอย่างมาก  เขาได้แต่นั่งอยู่คนเดียวในลานบ้าน

“ไม่รู้ว่ามีชาวโลกกี่คนที่ทะลวงระดับได้แล้วบ้าง?” เย่เซิงมุ่งความสนใจไปที่จุดตันเถียนดาวโลกของตัวเอง

ก่อนหน้านี้มีร้อยเจ็ดคนที่สามารถฝึกฝนทั้งสามวิชาที่เขาให้ไปจนสำเร็จขั้นพื้นฐานและทำให้เขาไปถึงขั้นต้นได้  แต่ว่าระหว่างขั้นพื้นฐานกับโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้ายังคงห่างกันอีกเยอะ  และจนตอนนี้ชาวโลกเหล่านั้นก็ยังคงฝึกฝนวิชาทั้งสามอย่างขยันขันแข็งไม่หยุดไม่หย่อน  และเมื่อดูจากความเร็วในการก้าวหน้าแล้ว  หากไม่ให้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ล่ะก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวหน้าขึ้นอีก

“อืม~ คนพวกนี้ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งสัปดาห์ถึงจะก้าวหน้าขึ้น  และเราเองก็จะได้ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของพวกเขาไปด้วยเหมือนกัน  แต่ก็น้า...” เย่เซิงขมวดคิ้ว  คือหนึ่งสัปดาห์มันนานเกินรอไปหน่อย

แล้วก็นอกจากร้อยเจ็ดคนแรกแล้ว  ยังมีอีกประมาณสองสามร้อยคนที่เข้าใกล้ขั้นพื้นฐานแล้วด้วย  ซึ่งมันทำให้รากฐานความเข้าใจในเคล็ดวิชาทั้งสามของเย่เซิงนั้นมีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก

“เมื่อคนพวกนั้นเข้าถึงขั้นพื้นฐานแล้วเราก็จะได้เลื่อนเป็นขั้นต้นซักที” เย่เซิงกล่าวด้วยความคาดหวังอย่างสูง

การฝึกยุทธ์แต่ละวิชานั้นแบ่งออกเป็นหลายระดับอันประกอบไปด้วย  เสวฮุ่ย (ขั้นพื้นฐาน), หรูเหมิน (ขั้นต้น), เสี่ยวเฉิง (ขั้นสำเร็จเบื้องต้น), ต้าเฉิง (ขั้นสำเร็จเบื้องปลาย), และหยวนหม่าน (ขั้นสำเร็จสมบูรณ์)

เย่เซิงนั้นได้เป็นขั้นเสวฮุ่ยในวิชาทั้งสามแล้ว  และเมื่อใดที่ในแต่ละวิชามีชาวโลกถึงขั้นเสวฮุ่ยครบหนึ่งร้อยคนล่ะก็  ตัวเขาก็จะเลื่อนเป็นขั้นหรูเหมินของแต่ละวิชาเหล่านั้นได้

ความแตกต่างระหว่างเสวฮุ่ยกับหรูเหมินนั้นก็ยังค่อนข้างกว้าง  โดยเฉพาะเมื่อเอาทั้งสองมาดวลกัน  ผู้ที่สำเร็จเพียงขั้นเสวฮุ่นนั้นจะโดนผู้ที่สำเร็จขั้นหรูเหมินบดขยี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย

“ตอนนี้เราก็ยังติดอยู่ในไอ้หวางฝู่ตระกูเย่นี่และไม่มีทางออกไปไหนได้เลย  เงินก็ไม่มีเพราะงั้นต่อให้ออกไปได้ก็ไม่มีเงินไปซื้อวิชาอะไรมาฝึกอยู่ดี” เย่เซิงคิดด้วยอารมณ์ประมาณว่ามันช่วยไม่ได้จริง ๆ และตอนนี้เขาก็ต้องการวิชาฝึกฝนจำนวนมาก  เพราะเมื่อเขาส่งต่อวิชาเหล่านั้นสู่โลกและยิ่งมีคนฝึกฝนมากขึ้นเท่าไหร่  ก็ยิ่งดีกับเขามากขึ้นเท่านั้น

“ถ้า…  ถ้าเย่หวางเหย่ยอมให้เราเรียนวรยุทธ์ล่ะก็…  ไม่ดิ  เราไม่เห็นจะต้องไปหาเรียนเลยนี่หว่า  แค่ไปหาดูวิชาวรยุทธ์ต่าง ๆ ในห้องสมุดก็พอแล้ว  แค่ก็อปปี้เพสไปที่โลกก็จบ” เย่เซิงเกิดไอเดียอันบรรเจิดขึ้นมาทันใด  แต่ในไม่ช้าเขาก็ละทิ้งความคิดนี้

เพราะมันกลับไปยังจุดเริ่มต้นคือไอ้เย่หวางหย่มันไม่ยอมให้เย่เซิงเรียนรู้วรยุทธ์  เพราะงั้นการจะเข้าไปหาอ่านคัมภีร์อะไรในห้องสมุดนี่ฝันไปเถอะ  ไม่มีวันทำได้หรอก

เย่เซิงนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อตอนที่เขาอายุยังไม่ถึงสิบขวบ  เย่เซิงน้อยสังเกตเห็นว่าพี่น้องของตนทุก ๆ คนได้ฝึกวรยุทธ์กันหมด  เลยลองรวบรวมความกล้าไปขอพบพ่อเพื่อบอกว่าอยากเรียนบ้าง  แต่ไอ้เย่หวางเหย่มันก็ช่างไร้หัวใจไม่ยอมให้เย่เซิงน้อยเข้าพบ  ให้แต่พ่อบ้านมาบอกว่า

“หากฝึกวรยุทธ์ไปแล้วเจ้าก็มีแต่จะยิ่งโง่ลง  แม้เจ้าก็เป็นเพียงแค่หมาตัวเมียตัวหนึ่งเท่านั้น  ต่อให้เข้ามาในตระกูลนี้ก็ยังคงสลัดคราบหมาตัวเมียไม่ออก  ตัวเจ้าที่เป็นบุตรของนังหมาตัวเมียนั่นก็เป็นแค่ขยะ  ไปขยันเรียนหนังสือให้มันดี ๆ เสีย  เวลาออกจากหวางฝูไปจะได้มีปัญญาเอาทรัพย์สินของตระกูลติดไม้ติดมือไปด้วยได้บ้าง”

เมื่อเย่เซิงน้อยได้ยินประโยคหมา ๆ เหล่านี้เข้า  หัวใจดวงน้อย ๆ ก็แตกสลาย  ตัวเขาก็เป็นลูกของไอ้พ่อคนนั้นเหมือนกันแท้ ๆ แต่ไฉนหนอการปฏิบัติต่อเขากับเหล่าพี่น้องถึงได้แตกต่างกันมากมายขนาดนี้  ทั้งหมดใช่เป็นเพราะภูมิหลังของแม่ไม่ดีจริง ๆ น่ะหรือ?

ก่อนที่นิกายสังสารวัฏจะถูกทำลายแม่ของเขาเป็นคนที่แม้แต่จักรพรรดิแห่งต้าฉินยังต้องเสด็จออกมาให้การต้อนรับด้วยพระองค์เองเลยเชียวนะ

เมื่อเย่เซิงยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเจ็บปวด  เพราะว่าตัวเขานั้นเสียสิทธิ์ในการฝึกยุทธ์ทั้งหมดไปด้วยประโยคสุนัขแค่ประโยคเดียวจริง ๆ

และอย่างว่าแต่เหล่าพี่น้องเขาเลย  แม้แต่พวกเครือญาติห่าง ๆ ยังฝึกยุทธ์กันได้ตามอำเพอใจ  มีแต่เขานี่แหล่ะที่โดนห้าม

“แล้วทำไมมันถึงสั่งห้ามล่ะวะ?” เย่เซิงรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่แปลกมาก ๆ และตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถหาคำอธิบายใด ๆ ได้

เย่หวางเหย่นั้นนัมเบอร์วันของต้าฉิน  และเป็นจอมยุทธ์นัมเบอร์วันของโลกด้วย  เป็นถึงผู้นำที่มีกองทัพนับล้านพร้อมรับคำสั่ง  แล้วทำไมไอ้คนที่มันยิ่งใหญ่เบอร์นั้นถึงได้กังวลกะอีแค่ลูกนางสนมของตัวเองคนหนึ่งจะฝึกยุทธ์?

เย่หวางเหย่ยังคงเตือนความจำย้ำแล้วย้ำอีกกับเย่เซิงครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนวรยุทธ์

ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่าจะขบคิดขนาดไหนมันก็ดูแปลกสุด ๆ ไปเลยจริง ๆ

ขณะที่เย่เซิงยังคงนั่งคิดเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น  จู่ ๆ ก็มีชายร่างผอมเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วบอกเขาว่า “คุณชายสิบสอง  นายท่านกลับมาแล้วและเรียกเจ้าเข้าพบ”

เย่เซิงตื่นขึ้นจากความคิดมากมายแล้วลุกขึ้นยืนมองชายชราร่างผอมตรงหน้า “ท่านพ่อกลับมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

ชายชราร่างผอมเป็นคนรับใช้เก่าแก่ที่รับใช้เย่หวางเหย่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  ผู้คนเรียกว่าพ่อบ้านฝู

พ่อบ้านฝูพูดโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ “นายท่านจะทำอะไรมีหรือที่ใครจะคาดเดาได้  คราวนี้ที่ท่านกลับจากกองทัพ  คำสั่งแรกของท่านคือเรียกเจ้ากับคุณชายสิบสามเข้าพบ  รีบไปเร็วเข้าอย่าให้นายท่านต้องรอนาน”

เย่เซิงไม่กล้าพูดจาหยาบคาย  เพราะยังไงชายคนนั้นก็คือเย่หวางเหย่  เป็นพ่อของเขาและเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในหวางฝูาตระกูลเย่แห่งนี้  ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทำอะไรชายคนนั้นได้เลย

หลังจากที่จัดระเบียบตัวเองอย่างรวดเร็ว  เย่เซิงก็ตามพ่อบ้านฝูไปที่ห้องโถงใหญ่ในเรือนกลาง

หวางฝู่ตระกูลเย่นั้นใหญ่มาก  มันใหญ่ขนาดหาภูเขาขนาดย่อมมาวาง  มีป่าไผ่ขนาดไม่เล็ก  และทะเลสาบขุดเองขนาดใหญ่มากจนสามารถเอาเรือลงไปแล่นได้

แต่สถานที่ที่เย่เซิงสามารถเข้าถึงได้นั้นกลับจำกัดสุด ๆ เขาไป ๆ มา ๆ ได้แค่รอบ ๆ เรือนหลังน้อยโกโรโกโสของตัวเองเท่านั้น  นอกจากนั้นก็ไปยังห้องโถงใหญ่ของเรือนกลางได้แค่ปีละครั้งเพื่อทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษประจำปี  และแม้เขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปแล้วก็ตาม  แต่สถานที่ในโถงเรือนกลางที่เขาสามารถอยู่ได้ก็ถูกจัดไปไว้ที่มุมเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์ไปเสนอหน้าที่บริเวณส่วนกลางได้

แต่คราวนี้เย่เซิงได้อยู่ตรงกลางห้องแล้ว  และถัดจากเขาก็เป็นไอ้คุณชายสิบสามที่กำลังยืนหงุดหงิด  บางครั้งมันก็หันมามองเย่เซิงด้วยสีหน้าเกลียดชังไร้ซึ่งความเป็นมิตร  แต่มันก็ยังหวาดกลัวเกินกว่าที่จะลงมือกับเย่เซิงอีก

เรือนทั้งหลังว่างเปล่ามีคนแค่สามคนคือ  เย่เซิ่ง  เย่ชิง  และพ่อบ้านฝู

เย่หวางเหย่กำลังเดินทางมา

เย่เซิงยืนรอเงียบ ๆ ไม่มีอาการกระวนกระวายหรือกังวลเลย

แต่ไอ้เย่ชิงนี่สิ  มันอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ซักนิด  เนื่องจากว่าตัวมันเป็นคนที่ไม่รู้จักอยู่เฉย ๆ มันคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างหยิ่งผยองทำอะไรตามใจ  ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองอย่างรวดเร็วทันใจไปแล้ว  การจับมันมายืนรอเฉย ๆ นั้นน้ำหน้าอย่างมันไม่มีวันอดรนทนไหวอย่างแน่นอน “พ่อบ้านฝู  ท่านพ่ออยู่ที่ไหนรึ?”

พ่อบ้านฝูตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “นายท่านไปคารวะนายหญิงเฒ่าก่อน  คุณชายโปรดรอสักครู่”

ดวงตาของไอ้เย่ชิงเป็นประกาย  มันพูดออกมาว่า “ท่านย่ารักข้ามากที่สุด  ข้าเองก็จะไปคารวะท่านย่าด้วย!”

พ่อบ้านฝูขมวดคิ้วทันทีและตะโกนใส่มัน “หยุดอยู่ตรงนั้น!”

จู่ ๆ พ่อบ้านเฒ่าก็ตะโกนขึ้นมาทำให้ไอ้เย่ชิงมันสะดุ้งโหยงแล้วจ้องไปที่พ่อบ้านฝูอย่างว่างเปล่า

ส่วนเย่เซิงนั้นเงียบตลอดเวลา  แต่กระนั้นในใจเขาก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นไหวอยู่เล็กน้อย  เนื่องจากเสียงตะโกนอันเย็นชาของพ่อบ้านฝูมันมาพร้อมพลังปราณ  และเสียงนั่นก็กระทบเข้ากับหัวของเขาด้วยเลยรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง

แต่ยังโชคดีที่มันไม่ได้เล็งเป้ามาที่เขาโดยตรงแต่เล็งใส่ไอ้เย่ชิงเป็นหลัก  เสียงนี้ทำให้มันซึ่งเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าและเหนือกว่าตัวเขามากยังต้องสะดุ้งตกใจ

“คุณชายอายุสิบสาม  นายท่านสั่งให้เจ้าทั้งคู่รออยู่ที่นี่เจ้าก็จงรอเสีย  เมื่อคารวะนายหญิงเฒ่าเสร็จแล้วเดี๋ยวท่านก็มา  ตัวท่านที่คุ้นเคยกับหวางฝูแห่งนี้อยู่แล้วจะไม่รู้เลยเชียวหรือว่าเมื่อนายท่านโกรธมันจะเกิดอะไรขึ้น?” พ่อบ้านฝูพูดอย่างไร้อารมณ์ขณะที่จ้องตรงไปที่ไอ้เย่ชิง  ซึ่งสายตาที่จ้องมองไปนั้นถึงกับทำให้ไอ้เย่ชิงมันขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“ข้าผิดไปแล้ว  ข้าจะรออยู่ที่นี่แหล่ะ” ไอ้เย่ชิงมันคิดถึงเวลาที่พ่อมันโกรธก็ยอมแพ้แล้วกลับไปยืนที่เดิม

พ่อบ้านฝูจ้องมองไอ้เย่ชิงอย่างเย็นชา  แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเย่เซิงยืนตัวตรงอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาก็ดูประหลาดใจ  เพราะเขาไม่คิดเลยว่าเย่เซิงจะสงบและมั่นคงได้ขนาดนี้

“เฮ้อ~ ถ้าเกิดบุคลิกของคุณชายสิบสองกับคุณชายสิบสามสลับกันจะดีเพียงใดน้อ~” ไอ้พ่อบ้านฝูมันก็ถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ

ไม่ว่าเย่เซิงจะมั่นคงหรือทำได้ดีเพียงใด  แต่แค่ชาติกำเนิดเพียงอย่างเดียวก็ใช้กำหนดได้แล้วว่าเขาจะไม่มีวันแข่งขันอันได้กับไอ้คุณชายสิบสามเย่ชิงได้เลย

แล้วคนทั้งสามก็ยืนรอต่อไปกลางห้องโถงใหญ่เรือนกลางอย่างเงียบ ๆ แต่ว่าไอ้เย่ชิงมันก็ยังมีท่าทีไม่พอใจแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่ดี

จากนั้นท่าทางของมันก็เปลี่ยนเป็นเหยาะแหยะ  จากนั้นก็เริ่มขุ่นเคืองเริ่มโกรธขึ้นมาอีกโดยเฉาะกับไอ้พ่อบ้างฝู  มันคิดว่าไอ้คนใช่แก่ ๆ นี่กล้าดียังไงมาตะคอกใส่มัน?

‘หึ!  ถ้าเจ้าไม่ใช่พ่อบ้านส่วนตัวของพ่อข้าล่ะก็ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่  แก่หงำเหงือกขนาดนี้แล้วยังไม่รีบ ๆ ลงไปนอนในโลงอีก  อยู่มานานขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมตาย ๆ ไปซักทีวะ?’ ไอ้เย่ชิงแอบสาปแช่งในใจอยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ

ในทางกลับกัน  เย่เซิงนั้นหลับตาลงเบา ๆ และเริ่มคิดวิเคราะห์ว่าเย่หวางเหย่จะพูดอะไรเมื่อเขามาถึง

ไม่รู้ว่าเขาจะตำหนิเย่เซิงเหมือนอีนายหญิงเฒ่าหรือไม่?

หรือว่าจะโดนโบยไปคนละห้าสิบไม้เพื่อเป็นการลงโทษ?

หรือว่าจะจัดให้ไอ้เย่ชิงมันเอาไปหนึ่งร้อยไม้แต่เพียงผู้เดียว?

แต่เย่เซิงก็รู้ว่าตัวเลือกสุดท้ายนั้นเป็นไปไม่ได้ชัวร์อยู่แล้ว  เพราะครอบครัวของแม่ของไอ้เย่ชิงมันมีอิทธิพลมากเกินไป  ดังนั้นเย่หวางเหย่ไม่มีทางลงโทษมันคนเดียวเพื่อเห็นแก่เขาอย่างแน่นอน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด