บทที่ 5: พ่อบ้านฝู
เนื่องจากอยู่ดี ๆ ก็มาโดนตำหนิเรื่องตั้งแต่เช้าแบบนี้ มันเลยทำให้ท่าทีของเย่เซิงดูมืดมนเป็นอย่างมาก เขาได้แต่นั่งอยู่คนเดียวในลานบ้าน
“ไม่รู้ว่ามีชาวโลกกี่คนที่ทะลวงระดับได้แล้วบ้าง?” เย่เซิงมุ่งความสนใจไปที่จุดตันเถียนดาวโลกของตัวเอง
ก่อนหน้านี้มีร้อยเจ็ดคนที่สามารถฝึกฝนทั้งสามวิชาที่เขาให้ไปจนสำเร็จขั้นพื้นฐานและทำให้เขาไปถึงขั้นต้นได้ แต่ว่าระหว่างขั้นพื้นฐานกับโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้ายังคงห่างกันอีกเยอะ และจนตอนนี้ชาวโลกเหล่านั้นก็ยังคงฝึกฝนวิชาทั้งสามอย่างขยันขันแข็งไม่หยุดไม่หย่อน และเมื่อดูจากความเร็วในการก้าวหน้าแล้ว หากไม่ให้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ล่ะก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวหน้าขึ้นอีก
“อืม~ คนพวกนี้ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งสัปดาห์ถึงจะก้าวหน้าขึ้น และเราเองก็จะได้ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของพวกเขาไปด้วยเหมือนกัน แต่ก็น้า...” เย่เซิงขมวดคิ้ว คือหนึ่งสัปดาห์มันนานเกินรอไปหน่อย
แล้วก็นอกจากร้อยเจ็ดคนแรกแล้ว ยังมีอีกประมาณสองสามร้อยคนที่เข้าใกล้ขั้นพื้นฐานแล้วด้วย ซึ่งมันทำให้รากฐานความเข้าใจในเคล็ดวิชาทั้งสามของเย่เซิงนั้นมีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เมื่อคนพวกนั้นเข้าถึงขั้นพื้นฐานแล้วเราก็จะได้เลื่อนเป็นขั้นต้นซักที” เย่เซิงกล่าวด้วยความคาดหวังอย่างสูง
การฝึกยุทธ์แต่ละวิชานั้นแบ่งออกเป็นหลายระดับอันประกอบไปด้วย เสวฮุ่ย (ขั้นพื้นฐาน), หรูเหมิน (ขั้นต้น), เสี่ยวเฉิง (ขั้นสำเร็จเบื้องต้น), ต้าเฉิง (ขั้นสำเร็จเบื้องปลาย), และหยวนหม่าน (ขั้นสำเร็จสมบูรณ์)
เย่เซิงนั้นได้เป็นขั้นเสวฮุ่ยในวิชาทั้งสามแล้ว และเมื่อใดที่ในแต่ละวิชามีชาวโลกถึงขั้นเสวฮุ่ยครบหนึ่งร้อยคนล่ะก็ ตัวเขาก็จะเลื่อนเป็นขั้นหรูเหมินของแต่ละวิชาเหล่านั้นได้
ความแตกต่างระหว่างเสวฮุ่ยกับหรูเหมินนั้นก็ยังค่อนข้างกว้าง โดยเฉพาะเมื่อเอาทั้งสองมาดวลกัน ผู้ที่สำเร็จเพียงขั้นเสวฮุ่นนั้นจะโดนผู้ที่สำเร็จขั้นหรูเหมินบดขยี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย
“ตอนนี้เราก็ยังติดอยู่ในไอ้หวางฝู่ตระกูเย่นี่และไม่มีทางออกไปไหนได้เลย เงินก็ไม่มีเพราะงั้นต่อให้ออกไปได้ก็ไม่มีเงินไปซื้อวิชาอะไรมาฝึกอยู่ดี” เย่เซิงคิดด้วยอารมณ์ประมาณว่ามันช่วยไม่ได้จริง ๆ และตอนนี้เขาก็ต้องการวิชาฝึกฝนจำนวนมาก เพราะเมื่อเขาส่งต่อวิชาเหล่านั้นสู่โลกและยิ่งมีคนฝึกฝนมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีกับเขามากขึ้นเท่านั้น
“ถ้า… ถ้าเย่หวางเหย่ยอมให้เราเรียนวรยุทธ์ล่ะก็… ไม่ดิ เราไม่เห็นจะต้องไปหาเรียนเลยนี่หว่า แค่ไปหาดูวิชาวรยุทธ์ต่าง ๆ ในห้องสมุดก็พอแล้ว แค่ก็อปปี้เพสไปที่โลกก็จบ” เย่เซิงเกิดไอเดียอันบรรเจิดขึ้นมาทันใด แต่ในไม่ช้าเขาก็ละทิ้งความคิดนี้
เพราะมันกลับไปยังจุดเริ่มต้นคือไอ้เย่หวางหย่มันไม่ยอมให้เย่เซิงเรียนรู้วรยุทธ์ เพราะงั้นการจะเข้าไปหาอ่านคัมภีร์อะไรในห้องสมุดนี่ฝันไปเถอะ ไม่มีวันทำได้หรอก
เย่เซิงนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อตอนที่เขาอายุยังไม่ถึงสิบขวบ เย่เซิงน้อยสังเกตเห็นว่าพี่น้องของตนทุก ๆ คนได้ฝึกวรยุทธ์กันหมด เลยลองรวบรวมความกล้าไปขอพบพ่อเพื่อบอกว่าอยากเรียนบ้าง แต่ไอ้เย่หวางเหย่มันก็ช่างไร้หัวใจไม่ยอมให้เย่เซิงน้อยเข้าพบ ให้แต่พ่อบ้านมาบอกว่า
“หากฝึกวรยุทธ์ไปแล้วเจ้าก็มีแต่จะยิ่งโง่ลง แม้เจ้าก็เป็นเพียงแค่หมาตัวเมียตัวหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เข้ามาในตระกูลนี้ก็ยังคงสลัดคราบหมาตัวเมียไม่ออก ตัวเจ้าที่เป็นบุตรของนังหมาตัวเมียนั่นก็เป็นแค่ขยะ ไปขยันเรียนหนังสือให้มันดี ๆ เสีย เวลาออกจากหวางฝูไปจะได้มีปัญญาเอาทรัพย์สินของตระกูลติดไม้ติดมือไปด้วยได้บ้าง”
เมื่อเย่เซิงน้อยได้ยินประโยคหมา ๆ เหล่านี้เข้า หัวใจดวงน้อย ๆ ก็แตกสลาย ตัวเขาก็เป็นลูกของไอ้พ่อคนนั้นเหมือนกันแท้ ๆ แต่ไฉนหนอการปฏิบัติต่อเขากับเหล่าพี่น้องถึงได้แตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ทั้งหมดใช่เป็นเพราะภูมิหลังของแม่ไม่ดีจริง ๆ น่ะหรือ?
ก่อนที่นิกายสังสารวัฏจะถูกทำลายแม่ของเขาเป็นคนที่แม้แต่จักรพรรดิแห่งต้าฉินยังต้องเสด็จออกมาให้การต้อนรับด้วยพระองค์เองเลยเชียวนะ
เมื่อเย่เซิงยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะว่าตัวเขานั้นเสียสิทธิ์ในการฝึกยุทธ์ทั้งหมดไปด้วยประโยคสุนัขแค่ประโยคเดียวจริง ๆ
และอย่างว่าแต่เหล่าพี่น้องเขาเลย แม้แต่พวกเครือญาติห่าง ๆ ยังฝึกยุทธ์กันได้ตามอำเพอใจ มีแต่เขานี่แหล่ะที่โดนห้าม
“แล้วทำไมมันถึงสั่งห้ามล่ะวะ?” เย่เซิงรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่แปลกมาก ๆ และตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถหาคำอธิบายใด ๆ ได้
เย่หวางเหย่นั้นนัมเบอร์วันของต้าฉิน และเป็นจอมยุทธ์นัมเบอร์วันของโลกด้วย เป็นถึงผู้นำที่มีกองทัพนับล้านพร้อมรับคำสั่ง แล้วทำไมไอ้คนที่มันยิ่งใหญ่เบอร์นั้นถึงได้กังวลกะอีแค่ลูกนางสนมของตัวเองคนหนึ่งจะฝึกยุทธ์?
เย่หวางเหย่ยังคงเตือนความจำย้ำแล้วย้ำอีกกับเย่เซิงครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนวรยุทธ์
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่าจะขบคิดขนาดไหนมันก็ดูแปลกสุด ๆ ไปเลยจริง ๆ
ขณะที่เย่เซิงยังคงนั่งคิดเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีชายร่างผอมเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วบอกเขาว่า “คุณชายสิบสอง นายท่านกลับมาแล้วและเรียกเจ้าเข้าพบ”
เย่เซิงตื่นขึ้นจากความคิดมากมายแล้วลุกขึ้นยืนมองชายชราร่างผอมตรงหน้า “ท่านพ่อกลับมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
ชายชราร่างผอมเป็นคนรับใช้เก่าแก่ที่รับใช้เย่หวางเหย่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผู้คนเรียกว่าพ่อบ้านฝู
พ่อบ้านฝูพูดโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ “นายท่านจะทำอะไรมีหรือที่ใครจะคาดเดาได้ คราวนี้ที่ท่านกลับจากกองทัพ คำสั่งแรกของท่านคือเรียกเจ้ากับคุณชายสิบสามเข้าพบ รีบไปเร็วเข้าอย่าให้นายท่านต้องรอนาน”
เย่เซิงไม่กล้าพูดจาหยาบคาย เพราะยังไงชายคนนั้นก็คือเย่หวางเหย่ เป็นพ่อของเขาและเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในหวางฝูาตระกูลเย่แห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทำอะไรชายคนนั้นได้เลย
หลังจากที่จัดระเบียบตัวเองอย่างรวดเร็ว เย่เซิงก็ตามพ่อบ้านฝูไปที่ห้องโถงใหญ่ในเรือนกลาง
หวางฝู่ตระกูลเย่นั้นใหญ่มาก มันใหญ่ขนาดหาภูเขาขนาดย่อมมาวาง มีป่าไผ่ขนาดไม่เล็ก และทะเลสาบขุดเองขนาดใหญ่มากจนสามารถเอาเรือลงไปแล่นได้
แต่สถานที่ที่เย่เซิงสามารถเข้าถึงได้นั้นกลับจำกัดสุด ๆ เขาไป ๆ มา ๆ ได้แค่รอบ ๆ เรือนหลังน้อยโกโรโกโสของตัวเองเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไปยังห้องโถงใหญ่ของเรือนกลางได้แค่ปีละครั้งเพื่อทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษประจำปี และแม้เขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปแล้วก็ตาม แต่สถานที่ในโถงเรือนกลางที่เขาสามารถอยู่ได้ก็ถูกจัดไปไว้ที่มุมเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์ไปเสนอหน้าที่บริเวณส่วนกลางได้
แต่คราวนี้เย่เซิงได้อยู่ตรงกลางห้องแล้ว และถัดจากเขาก็เป็นไอ้คุณชายสิบสามที่กำลังยืนหงุดหงิด บางครั้งมันก็หันมามองเย่เซิงด้วยสีหน้าเกลียดชังไร้ซึ่งความเป็นมิตร แต่มันก็ยังหวาดกลัวเกินกว่าที่จะลงมือกับเย่เซิงอีก
เรือนทั้งหลังว่างเปล่ามีคนแค่สามคนคือ เย่เซิ่ง เย่ชิง และพ่อบ้านฝู
เย่หวางเหย่กำลังเดินทางมา
เย่เซิงยืนรอเงียบ ๆ ไม่มีอาการกระวนกระวายหรือกังวลเลย
แต่ไอ้เย่ชิงนี่สิ มันอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ซักนิด เนื่องจากว่าตัวมันเป็นคนที่ไม่รู้จักอยู่เฉย ๆ มันคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างหยิ่งผยองทำอะไรตามใจ ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองอย่างรวดเร็วทันใจไปแล้ว การจับมันมายืนรอเฉย ๆ นั้นน้ำหน้าอย่างมันไม่มีวันอดรนทนไหวอย่างแน่นอน “พ่อบ้านฝู ท่านพ่ออยู่ที่ไหนรึ?”
พ่อบ้านฝูตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “นายท่านไปคารวะนายหญิงเฒ่าก่อน คุณชายโปรดรอสักครู่”
ดวงตาของไอ้เย่ชิงเป็นประกาย มันพูดออกมาว่า “ท่านย่ารักข้ามากที่สุด ข้าเองก็จะไปคารวะท่านย่าด้วย!”
พ่อบ้านฝูขมวดคิ้วทันทีและตะโกนใส่มัน “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
จู่ ๆ พ่อบ้านเฒ่าก็ตะโกนขึ้นมาทำให้ไอ้เย่ชิงมันสะดุ้งโหยงแล้วจ้องไปที่พ่อบ้านฝูอย่างว่างเปล่า
ส่วนเย่เซิงนั้นเงียบตลอดเวลา แต่กระนั้นในใจเขาก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นไหวอยู่เล็กน้อย เนื่องจากเสียงตะโกนอันเย็นชาของพ่อบ้านฝูมันมาพร้อมพลังปราณ และเสียงนั่นก็กระทบเข้ากับหัวของเขาด้วยเลยรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง
แต่ยังโชคดีที่มันไม่ได้เล็งเป้ามาที่เขาโดยตรงแต่เล็งใส่ไอ้เย่ชิงเป็นหลัก เสียงนี้ทำให้มันซึ่งเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าและเหนือกว่าตัวเขามากยังต้องสะดุ้งตกใจ
“คุณชายอายุสิบสาม นายท่านสั่งให้เจ้าทั้งคู่รออยู่ที่นี่เจ้าก็จงรอเสีย เมื่อคารวะนายหญิงเฒ่าเสร็จแล้วเดี๋ยวท่านก็มา ตัวท่านที่คุ้นเคยกับหวางฝูแห่งนี้อยู่แล้วจะไม่รู้เลยเชียวหรือว่าเมื่อนายท่านโกรธมันจะเกิดอะไรขึ้น?” พ่อบ้านฝูพูดอย่างไร้อารมณ์ขณะที่จ้องตรงไปที่ไอ้เย่ชิง ซึ่งสายตาที่จ้องมองไปนั้นถึงกับทำให้ไอ้เย่ชิงมันขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่แหล่ะ” ไอ้เย่ชิงมันคิดถึงเวลาที่พ่อมันโกรธก็ยอมแพ้แล้วกลับไปยืนที่เดิม
พ่อบ้านฝูจ้องมองไอ้เย่ชิงอย่างเย็นชา แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเย่เซิงยืนตัวตรงอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาก็ดูประหลาดใจ เพราะเขาไม่คิดเลยว่าเย่เซิงจะสงบและมั่นคงได้ขนาดนี้
“เฮ้อ~ ถ้าเกิดบุคลิกของคุณชายสิบสองกับคุณชายสิบสามสลับกันจะดีเพียงใดน้อ~” ไอ้พ่อบ้านฝูมันก็ถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ
ไม่ว่าเย่เซิงจะมั่นคงหรือทำได้ดีเพียงใด แต่แค่ชาติกำเนิดเพียงอย่างเดียวก็ใช้กำหนดได้แล้วว่าเขาจะไม่มีวันแข่งขันอันได้กับไอ้คุณชายสิบสามเย่ชิงได้เลย
แล้วคนทั้งสามก็ยืนรอต่อไปกลางห้องโถงใหญ่เรือนกลางอย่างเงียบ ๆ แต่ว่าไอ้เย่ชิงมันก็ยังมีท่าทีไม่พอใจแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่ดี
จากนั้นท่าทางของมันก็เปลี่ยนเป็นเหยาะแหยะ จากนั้นก็เริ่มขุ่นเคืองเริ่มโกรธขึ้นมาอีกโดยเฉาะกับไอ้พ่อบ้างฝู มันคิดว่าไอ้คนใช่แก่ ๆ นี่กล้าดียังไงมาตะคอกใส่มัน?
‘หึ! ถ้าเจ้าไม่ใช่พ่อบ้านส่วนตัวของพ่อข้าล่ะก็ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ แก่หงำเหงือกขนาดนี้แล้วยังไม่รีบ ๆ ลงไปนอนในโลงอีก อยู่มานานขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมตาย ๆ ไปซักทีวะ?’ ไอ้เย่ชิงแอบสาปแช่งในใจอยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ
ในทางกลับกัน เย่เซิงนั้นหลับตาลงเบา ๆ และเริ่มคิดวิเคราะห์ว่าเย่หวางเหย่จะพูดอะไรเมื่อเขามาถึง
ไม่รู้ว่าเขาจะตำหนิเย่เซิงเหมือนอีนายหญิงเฒ่าหรือไม่?
หรือว่าจะโดนโบยไปคนละห้าสิบไม้เพื่อเป็นการลงโทษ?
หรือว่าจะจัดให้ไอ้เย่ชิงมันเอาไปหนึ่งร้อยไม้แต่เพียงผู้เดียว?
แต่เย่เซิงก็รู้ว่าตัวเลือกสุดท้ายนั้นเป็นไปไม่ได้ชัวร์อยู่แล้ว เพราะครอบครัวของแม่ของไอ้เย่ชิงมันมีอิทธิพลมากเกินไป ดังนั้นเย่หวางเหย่ไม่มีทางลงโทษมันคนเดียวเพื่อเห็นแก่เขาอย่างแน่นอน