เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 271
ตอนที่ 271
“ระวังให้ดี” หลินซวนกล่าวกับเสี่ยวหวง ในตอนนั้นเอง ลูกธนูก็พุ่งผ่านหน้าหลินซวนไปปักยังต้นไม้ยักษ์ที่อยู่เบื้องหลัง
“ใคร?” ประกายเย็นชาวาบผ่านในแววตาของเขา
คนกลุ่มหนึ่งทะยานออกมาจากผืนป่าทั้งสองด้านของเขา คนเหล่านั้นมีดาบยาวในมือและท่าทางดูไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
หลินซวนขมวดคิ้ว ในชั้นที่สี่ แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขารู้จักกับอัจฉริยะทั้งสามพันคน แต่รูปลักษณ์ของรุ่นเยาว์เหล่านั้นเขาก็พอจะจดจำได้บ้าง ทว่า กลุ่มคนเบื้องหน้าในตอนนี้เขากลับมิเคยพบเห็นมาก่อน
“พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่?” หลินซวนถามด้วยความไม่แน่ใจ
ฝ่ายตรงข้ามสองคนต่างจ้องหน้ากันเองก่อนจะหันมามองที่หลินซวนและเอ่ยกับชายที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของคนเหล่านั้น
“ท่านพี่ เจ้าเด็กนี่สมองผิดปกติหรืออย่างไร?”
ผู้นำคนกลุ่มนั้นมิได้กล่าวสิ่งใด เขามองมายังหลินซวนก่อนเอ่ยอย่างภาคภูมิ
“หากเจ้ายังพอมีสมองอยู่บ้าง ส่งแหวนมิติของเจ้ามาแล้วข้าจะไว้ชีวิต”
ก่อนที่พวกมันจะเจอกับหลินซวน พวกมันเจอใครบางคนที่เรียกตัวเองว่าองค์ชายมาก่อน พวกมันกำลังจะปล้น “องค์ชาย” ผู้นั้น ทว่ากลับถูกคนของฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่าชิงปล้นพวกมันจนหมดตัวเสียก่อนจะจากไป ทำให้พวกมันเกรี้ยวกราดยิ่งนักในตอนนี้
หลินซวนถอนหายใจยาวเหยียด
“เหตุใดการจะสนทนากับผู้อื่นจึงได้ยากเย็นถึงเพียงนี้?”
“ข้าคิดว่าพวกเราค่อยถามมันให้แน่ชัดหลังจากที่ทุบตีพวกมันจนน่วมแล้วจะดีกว่า” เสี่ยวหวงพยักหน้าและเอ่ยขึ้น
“เข้าท่า” หลินซวนเห็นด้วย
เห็นหลินซวนเมินเฉยพวกมัน ชายผู้เป็นหัวหน้าอดไม่ได้จะโกรธเคืองขึ้นมา
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าสิบลมหายใจ จงส่งสมบัติมาและรีบไสหัวไปเสีย”
“สามลมหายใจก็เพียงพอ” ผู้คนในกลุ่มนั้นมองมายังเด็กน้อยทั้งสองและเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ก่อนหน้านี้มันไม่รู้ว่าจะต้องระบายโทสะในใจออกทางใด เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองดูอ่อนแอเช่นนี้มันจึงคิดว่าจะทุบตีทั้งคู่ให้หายเจ็บใจ
“เดิมทีข้าก็ให้ทางเลือกที่สบายแก่พวกเจ้าแล้ว เหตุใดจึงยังปฏิเสธเช่นนี้เล่า?” พวกมันคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างชั่วช้า ดาบยาวในมือของมันถูกดึงออกจากฝักพลางลากถูไปกับพื้นดินจนส่งเสียงเสียดรูหู
พวกมันที่เหลือล้อมรอบหลินซวนและเสี่ยวหวงเป็นวงกลม ด้วยกลัวว่าเด็กน้อยทั้งสองจะหลบหนีไปได้
เมื่อเห็นการกระทำของฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ หลินซวนก็หลับตาลง การเห็นหน้าตาอันอัปลักษณ์ของพวกมันที่ร้ายสายตาอันบริสุทธิ์ของเขายิ่งนัก
“ข้าจัดการเอง” หลังจากเอ่ยประโยคนั้น หวงหาวก็ยืนขึ้น
เห็นหวงหาวที่ยืนขึ้น ฝ่ายตรงข้ามกลับตื่นเต้นยิ่งนัก มันปลดปล่อยกลิ่นอายขั้นที่หกของแดนปราณสร้างรากฐานออกมาและหัวเราะราวกับเพียงเท่านี้มันก็บดขยี้อีกฝ่ายได้แล้ว
“เจ้ามิเคยพบเจอยอดฝีมือเช่นข้า ใช่หรือไม่?”
“ตราบเท่าที่เจ้าทำลายการบ่มเพาะของตนเองและลงไปเห่ากับพื้น ข้าอาจยอมไว้ชีวิตเจ้าก็เป็นได้” ศัตรูคนนั้นมีความสุขยิ่งนัก งานอดิเรกที่มันชื่นชอบที่สุดคือการสังหารผู้บ่มเพาะซึ่งอ่อนแอกว่าตนเอง
หวงหาวดูเป็นเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบหนาว ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ควรจะอยู่ในขั้นที่หนึ่งของแดนสร้างรากฐานเท่านั้น นั่นนับว่าเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่มันจะได้ทรมานอีกฝ่าย
“เจ้านี่พูดมากเสียจริง!”
ร่างของเสี่ยวหวงหายไปในชั่วพริบตา เสียงระเบิดดังขึ้นจากจุดที่เขาเคยยืนอยู่ ก่อนที่ศัตรูจะทันได้รู้ว่าเขาหายตัวไปได้อย่างไร ร่างของมันก็นอนเหยียบยาวอยู่บนพื้นด้วยดวงตาเบิกโพลง
เมื่อหวงหาวเห็นเช่นนั้น เขาก็ปรบมือก่อนจะพูดว่า
“เจ้านี่เก่งกาจเสียจริงๆ”
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน หัวหน้าของพวกมันที่เห็นว่าลูกน้องของคนเองยังมิอาจยืนขึ้นได้ก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง
“เลิกเล่นได้แล้ว ลุกขึ้นมาจัดการมันเสียที”
ชายผู้นั้นที่นอนราบอยู่กับผืนดินยังคงไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ เมื่อพวกมันคนหนึ่งตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และจ้องมองพวกของคนเองให้ดี มันก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจพลางทรุดนั่งลงบนพื้น
“เขา...ตายแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหัวหน้าพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปโดนฉับพลัน หลังจากยืนยันได้ว่าลูกน้องของตนตายแล้วจริงๆ มันก็มิอาจยั้งความโมโหไว้ได้
“เจ้ากล้าสังหารคนของข้า? รนหาที่ตาย!”
“จัดการพวกมัน!”
ชายผู้เป็นหัวหน้ายกดาบในมือขึ้น และลูกน้องทั้งหมดของมันก็พุ่งเข้าใส่เด็กน้อยทั้งสองคนทันที
ทว่า ในตอนนั้นเอง พวกมันกลับล้มลงบนพื้นและกรีดร้องออกมา
หัวหน้าของพวกมันนิ่งค้างไปชั่วขณะ เสี่ยวหวงเพียงมองฝ่ายตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม โดยที่ตัวมันเองมิสามารถมองเห็นได้ด้วยซ้ำว่าหวงหาวโจมตีคนของมันเช่นไร
และแน่นอนว่าเสี่ยวหวงย่อมไม่ปล่อยหัวหน้าของพวกมันให้รอดมือไปได้ เขาชูกำปั้นขึ้นและทุบตีมันเสียจนต้องคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
“เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?” หลินซวนมองไปยังชายที่นอนโอดครวญเบื้องหน้าของตนและถามอย่างใจเย็น
ด้วยกลัวว่าหลินซวนจะทุบตีมันอีก ชายผู้นั้นจึงเอามือปิดหน้าของตนและรีบตอบอย่างเร่งร้อน
“ข้ามิใช่ ข้ามิใช่!”
“เช่นนั้นเจ้ารู้จักข้าหรือไม่?” หลินซวนถามอีกครั้ง ตราบเท่าที่เป็นรุ่นเยาว์ซึ่งผ่านขึ้นมายังชั้นที่ห้านี้ได้ อย่างน้อยย่อมต้องเคยเจอเขาในชั้นที่สี่ทั้งสิ้น
ฝ่ายตรงข้ามลอบมองหลินซวนก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
หลินซวนและเสี่ยวหวงต่างมองหน้ากันและอดมิได้ที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย พวกเขามองไปยังชายผู้เป็นหัวหน้าอีกครั้ง
“แล้วเจ้าเข้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นความสงสัยที่ฉายชัดอยู่บนในหน้าของเด็กน้อยทั้งสอง มันก็รีบเอ่ย
“พวกเราเข้ามายังหอสวรรค์จุติจากทางเหนือของแดนลึกลับ ทุกครั้งที่หอสวรรค์จุติเปิดขึ้น จะมีทางเข้ามากกว่าหนึ่งเส้นทางเสมอ”
ในชั้นก่อนหน้า พวกเขาย่อมไม่เคยพานพบกัน แต่การต่อสู้สุดท้ายที่ชั้นที่แปดนั้น คนทั้งหมดที่เข้ามาจากต่างทางเข้าย่อมได้พบเจอกันในที่สุด
“อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ที่หอสวรรค์จุติเปิดขึ้น ทั้งสี่ชั้นที่เหลือกลับผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว สิ่งที่ไม่คาดคิดบังเกิดขึ้น จึงทำให้พวกเราพบเจอกันโดยเร็วกว่าปกติ”
หลินซวนประหลาดใจเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงมิเคยพบเห็นคนเหล่านี้มาก่อน
“ไสหัวไปซะ” เมื่อพวกเขาถามคำถามที่ต้องการจนหมดก็ไม่มีเหตุใดให้ต้องรั้งตัวศัตรูไว้อีก หลินซวนเองก็มิใช่คนที่ชื่นชอบการเข่นฆ่าผู้อื่น เขาเพียงบอกให้พวกมันทิ้งแหวนมิติเอาไว้และปล่อยให้พวกมันจากไปอย่างง่ายดาย
หลังจากพวกมันทั้งหมดจากไปแล้ว หลินซวนก็พูดคุยกับหวงหาว
“ดูเหมือนว่าพวกเราจำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งดวงจันทร์ดวงสุดท้ายนั้นปรากฏอยู่ในให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีเพียงการทำแบบนี้เท่านั้นพวกเราจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด”
อย่างไรก็ตาม การพูดนั้นง่ายกว่าลงมือกระทำมากนัก
ในครั้งที่ เมื่อชั้นที่เหลือทั้งสี่ผสานรวมกัน ชั้นถัดไปก็กลายเป็นชั้นที่เก้าของหอคอย
ทว่า ตั้งแต่ครั้นบรรพกาล มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถบรรลุถึงขั้นที่เก้านี้ได้
หลังจากนั้น พวกเขาก็พบเจอกับเหล่าผู้บ่มเพาะที่มาจากทางเข้าอื่นของหอสวรรค์จุติเป็นจำนวนมาก พวกมันล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าหลินซวนคือใดและตั้งใจจะปล้นเขา แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นฝ่ายที่ถูกหลินซวนปล้นจนหมดตัว
“พวกคนจากราชวงศ์อมตะนี่ราวกับแมลงสาบซึ่งไม่ยอมตายจริงๆ ไม่ว่าจะสังหารไปมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะปรากฏตัวขึ้นมากเท่านั้น” นี่ทำให้หลินซวนหงุดหงิดไม่น้อย เหตุใดราชวงศ์อมตะจึงได้มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์มากมายนัก?
“ก่อนหน้านี้ มีบางคนเล่ามาว่าในหอคอยชั้นนี้มีส่วนที่ลึกที่สุดซึ่งเป็นความลับที่ยังไม่มีผู้ใดหาเจอ ดูเหมือนว่าที่แห่งนั้นจะเป็นทางลัดสู่ชั้นถัดไป” เสี่ยวหวงเคี้ยวผลไม้วิญญาณในมือพลางเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
หลินซวนพยักหน้าและยังคงเดินทางไปยังชั้นที่แปดต่อไป
หอคอยในชั้นที่ห้าถึงแปดนี้เชื่อมต่อกัน สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดมีเพียงพื้นที่ซึ่งแบ่งออกเป็นชั้นนอกและชั้นในของหอคอยในชั้นนี้เท่านั้น
ทางด้านเป่ยเฉินหลานและคนอื่นๆ กลับโชคดียิ่งกว่าหลินซวน พวกเขาถูกส่งตรงไปยังชั้นที่แปดทันทีและกำลังมองหาทางเข้าไปยังชั้นที่เก้าอยู่
หลังจากอาศัยอยู่ในชั้นนี้มาเป็นเวลานาน พวกเขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก เพียงรอดชีวิตให้ได้ก็นับว่าเป็นชัยชนะครั้งสำคัญแล้ว
“ดูนั่น มีร่องรอยเลือดอยู่ตรงนั้น” เสี่ยวหวงชี้นิ้วไปยังรอยโลหิตบนพื้นและตะโกนบอกหลินซวน
หลินซวนมองไปยังร่องรอยที่ว่าซึ่งยังคงสดใหม่ก่อนจะเอ่ย
“ดูเหมือนว่าจะมีการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ไปดูกันเถิด”
รอยเลือดนี้ลากเป็นทางยาวเข้าไปยังป่าใหญ่เบื้องหน้า ต้นไม้มากมายบดบังทัศนวิสัยของเขาจนหมดสิ้น
“เสียงอะไรน่ะ?” หลินซวนหยุดอย่างกะทันหันและมองไปรอบด้าน