วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0059
บทที่ 22 ทัศนคติที่นักผจญภัยมีต่อยุคสมัย (2)
* * *
ฉันฝากกระเป๋าไว้กับเสือขาว และมันก็วิ่งตรงไปทางตะวันตกทันที
งานหลักต้องทำที่รากภูเขาเท่านั้น
แม้จะคุยกันไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ยังมีบางประเด็นที่คาใจฉัน
“เซลฟี”
「น้อมรับบัญชา」
“เสือขาวตัวนี้จะตายไหม”
「มันคือส่วนหนึ่งของพวกเรา และไม่ใช่แค่มัน ทุกสิ่งที่เราสร้างขึ้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา นั่นคือเหตุผลที่พวกมันออกจากอาณาเขตไม่ได้ แต่จะไม่มีวันตาย แค่กลับมารวมกับพวกเราอีกครั้ง」
“เข้าใจแล้ว น่าสนใจมาก”
「สิ่งมีชีวิตตัวนั้นจะเกิดใหม่ กลายเป็นอาชาที่ท่านโปรดปราน และเป็นอิสระจากเรา」
“เยี่ยมเลย”
ซอจีอาที่มองจากด้านหลัง ตัดสินใจเปิดปาก
“เจ้ามีความรู้สึกแบบนี้ด้วยหรือ”
“ฉันยังเป็นมนุษย์อยู่นะ มีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ต้องทำ กับสิ่งที่ชอบทำ”
ซอจีอาเผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างน่าประหลาด
“แปลกมาก จากที่ข้าเคยได้ยิน นักล่าไม่เคย… ช่างเถอะ”
ราวกับไม่สำคัญ หญิงสาวส่ายศีรษะ
ตอนนี้เบสแคมป์กลับมาสงบสุขอีกครั้ง อันที่จริงก็ไม่ได้วุ่นวายตั้งแต่แรก การบอกว่ากลับมาสงบสุขจึงอาจไม่ถูกต้องนัก
ตลอดสองวันถัดมา ฉันเตรียมตัวสำหรับแผนการถัดไป นั่นคือการค้นหาสมบัติทองคำชิ้นที่สาม
สิ่งสำคัญที่สุดคือระยะทาง ฉันพยายามนำแผนที่มาเทียบกับจุดที่เส้นตัดกัน
“ทางเหนือ…”
สมบัติอยู่ทางเหนือ ด้านนอกขอบเขตแผนที่
น่าจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก การเตรียมตัวจึงนานกว่าปรกติ ฉันคิดว่าควรข้ามประตูมิติกลับไปที่โซล
หลังจากโทรเรียกชาโซฮี ฉันใช้เวลารออยู่สักพัก
「ล้มล้างระบอบการผูกขาดทางการเมืองและเศรษฐกิจ」
ฉันเห็นกลุ่มผู้ประท้วงที่ยืนถือป้ายบนจัตุรัสสถานี
“ไม่เพียงเสียงระฆังลึกลับจากต่างโลก จะดังไปทั่วทั้งโลกมนุษย์ หลังจากนั้นฝูงสัตว์ประหลาดยังบุกโจมตีเบสแคมป์ทันที แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ทั้ง OWIC และรัฐบาลกลับไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล”
“พวกเขากำลังปกปิดสิ่งใดอยู่กันแน่”
“ต่างโลกปลอดภัยจริงหรือ พวกเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไรกังวลจริงหรือ”
ฉันยืนมองพวกเขาจากมุมหนึ่ง พูดตามตรง นี่เป็นวิวที่ไม่เลว
จองจีฮุนเคยเล่าให้ฟังว่า บริษัทพยายามอธิบายสถานการณ์ไปแล้ว
ทั้งเสียงระฆังและไวลด์ฮันต์ไม่เกี่ยวกับ OWIC เลยสักนิด
ช่างน่าสงสาร ไม่ว่าบริษัทจะเป็นพวกชอบหมกเม็ดมากแค่ไหน แต่ก็ต้องมีเรื่องที่ถูกปรักปรำลอยๆ อยู่เสมอ
“หวัดดี”
ขณะฉันครุ่นคิด ชาโซฮีมาถึงพอดี
“หวัดดี…”
“ไม่ได้เห็นคนอย่างชาโซฮีใส่ชุดนอกเครื่องแบบมานานแล้ว… ทำไมถึงดูอ่อนเพลียนัก”
“เมื่อคืนต้องอยู่ยาวทั้งคืน… ต่างโลกกำลังวุ่นวาย ฉันต้องค้นคว้าหลายเรื่อง กว่าจะเสร็จก็เช้ามืด…”
ภาพที่รอยคล้ำใต้ตาลามมาถึงโหนกแก้ม ดูน่าสงสารไม่น้อย
ชาโซฮีพยายามตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ จากนั้นก็กลับไปมีแววตาแบบเดิม
“ช่างเถอะ ถึงจะเป็นวันหยุด แต่ฉันก็ไม่ควรทำตัวว่าง นายเองก็เหมือนกัน ฉันไม่ได้เห็นนายถอดชุดนักสำรวจมานานแค่ไหนแล้ว พวกเราต่างก็ทำงานหนักทั้งคู่นั่นแหละ”
“เคยบอกไปแล้วไง ฉันกำลังเล่นสนุก”
“…น่าอิจฉาชะมัด”
เมื่อเห็นชาโซฮีกลับไปห่อเหี่ยวหลังจากร่าเริงได้แค่สิบวินาที ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
วันนี้มีแผนจะชอปปิ้งในกรุงโซล ประกอบกับเรื่องที่ชาโซฮีเคยกำชับว่า ถ้ากลับมาต้องโทรหาทันที ฉันจึงไม่อยากผิดสัญญา และคิดว่าการมีเพื่อนเดินชอปปิ้งก็ไม่เลวนัก
“นายจะซื้ออะไร”
“เสื้อผ้าใส่สบายหลายๆ ชุด อาหาร แล้วก็… จ้างพ่อเธอทำรองเท้าบูตอีกสักสองคู่ได้ไหม”
“อืม… ก็ได้นะ แต่อาจจะใช้เวลานาน คิวงานพ่อฉันยาวไปถึงกลางปีหน้า”
“อ้อ”
คราวก่อนฉันใช้สิทธิพิเศษไปแล้ว ครั้งนี้จึงไม่อยากรบกวน
ฉันคิดว่าควรหาซื้อรองเท้าด้วยตัวเองไปก่อน ดีกว่าไม่สำรองไว้เลย
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะสั่งจากต่างประเทศ… ลิลี่เองก็ต้องมีเสื้อผ้าเพิ่ม แต่ฉันเลือกไม่เก่ง”
“ให้ฉันคนนี้จัดการเอง!”
ชาโซฮีร่าเริงขึ้นเล็กน้อยหลังจากพูดเรื่องเสื้อผ้าผู้หญิง
“ไปกันเถอะ”
ขณะเตรียมเดินเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ฉันเผลอสบตากับนักข่าวที่มาทำข่าวกลุ่มผู้ประท้วง
และนับแต่นั้น บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที
“…”
นักข่าวเดินเข้ามาใกล้
และ
“ไม่ทราบว่าใช่คุณคังซอนฮูไหมครับ?”
เมื่อคำดังกล่าวถูกเปล่งออกมา ฉันเริ่มเข้าใจบรรยากาศประหลาดๆ ที่กำลังรู้สึกในตอนนี้
ทันทีที่นักข่าวคนอื่นเห็นฉัน พวกเขาเริ่มตะโกนคุยกัน
“นั่นคังซอนฮูไม่ใช่หรือ”
“น่าจะใช่ เขากลับมาที่โซลทำไม”
“…ฉันลองโทรถามเพื่อนที่สถานีแล้ว คังซอนฮูข้ามประตูมิติกลับมาจริงๆ”
“ไม่ผิดแน่! ตามเขาไป!”
หนึ่ง สอง สาม สี่
เมื่อนักข่าวมารวมตัวกันมากขึ้น เป็นธรรมดาที่สายตาของผู้คนจะจับจ้องมาทางฉัน
…นี่มันเรื่องอะไร?
“สวัสดีครับคุณคังซอนฮู! ผมนักข่าวชเวจูยอนจากออดิโอบัค ขอเวลาสัมภาษณ์สักครู่ได้ไหมครับ…”
“ได้ยินว่าคุณคือผู้ที่ออกมาเตือนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ‘ไวลด์ฮันต์’ ไม่ทราบว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันจะเกิดขึ้นครับ”
“คุณปกป้องหมู่บ้านเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ ใช่ไหมครับ? เราได้ยินว่าคุณไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจาก OWIC”
“…นี่มันเรื่องอะไร?”
ตรงกันข้าม ชาโซฮีไม่ตื่นตระหนักเท่าฉัน
ราวกับเธอรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
ชาโซฮีจ้องฉันด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“อยาก? หรือไม่อยาก”
“อยากอะไร”
“ได้รับความสนใจ”
“…”
คำตอบของฉันไม่ซับซ้อน
“ไม่แน่นอน ไม่เคยคิด”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ!”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ชาโซฮีคว้าแขนฉันและเริ่มวิ่ง นอกจากนั้นยังหยิบหน้ากากจากกระเป๋ายื่นให้ฉัน ส่วนฉันก็กดหมวกลงต่ำกว่าเดิม
ในที่สุดพวกเราก็เข้ามาในสถานีรถไฟใต้ดิน หลังจากยืนยันว่าสถานการณ์สงบ ฉันรีบถามชาโซฮี
“เมื่อครู่มันอะไร ทำไมพวกเขาต้องวุ่นวายกับเรา?”
“นายไม่ได้รู้เรื่องอยู่แล้วหรอกหรือ? เห็นไปยืนใจกลางจัตุรัส นึกว่าจะรู้แล้ว”
ชาโซฮียิ้มขณะพักหายใจ พิจารณาจากสีหน้า เธอกำลังสนุก
ถ้ากำลังสนุก หมายความว่าเธอเข้าใจสถานการณ์ในระดับหนึ่ง
ชาโซฮียื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน
บนหน้าจอมีวิดีโอยูทูปกำลังเล่นอยู่
“สวัสดีครับ! ผมคิมแต๊งแต๊งจากแต๊งแต๊งทีวี! วันนี้ผมจะ…”
จำได้แล้ว
คิมแต๊งแต๊ง
ยูทูเบอร์บ้าบิ่นที่มาทำคอนเทนต์ไวลด์ฮันต์เมื่อวาน
“…”
ตอนแรกฉันไม่ได้สนใจสักเท่าไร เพราะไม่มีเหตุผลให้ต้องสนใจ แล้วอีกอย่าง หมอนี่ก็ไม่ใช่ยูทูเบอร์คนเดียวที่มาทำรายการ
เท่าที่จำได้ เกือบทั้งหมดหนีกลับไปก่อนที่ไวลด์ฮันต์จะเริ่มเสียอีก
แต่ดูเหมือนว่าตาคิมแต๊งแต๊งจะทำอุปกรณ์ถ่ายทอดสดตกขณะวิ่งหนี
เหตุการณ์ไวลด์ฮันต์จึงยังถูกฉายแบบไลฟ์สดต่อเนื่อง
โชคยังดีที่ถ่ายไม่ติดฉัน
└ ไม่จริงน่า… เบสแคมป์ยังปลอดภัย?
└ ไม่ใช่ว่าการสำรวจต่างโลกจากประตูมิติกรุงโซลพังไปหมดแล้วหรือ
└ ไม่เลย คังซอนฮูป้องกันไว้ได้! เบสแคมป์ยังปลอดภัยดี ฉันยังแวะไปกินโฮต๊อกอยู่เลย อร่อยชะมัด
└ คังซอนฮูอีกแล้ว? ฮะฮะ!
└ เขาหยุดมันได้ยังไง? จินตนาการไม่ออกเลย
└ จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ เสือขาวตัวหนึ่งช่วยคังซอนฮูต่อสู้… ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีใครได้เห็นกับตาหรอกนะ
“ทำไมกล้องสมัยนี้ชัดจัง? ผ่านไปสองปี โลกเปลี่ยนไปเยอะเลยแฮะ…”
“นายดังใหญ่แล้ว ชาวต่างชาติก็เริ่มรู้จักนายมากขึ้นแล้วนะ พ่อดรูอิด”
“ดู… อะไรนะ?”
ชาโซฮีหัวเราะร่วน ก่อนจะเปิดกระทู้ในชุมชนต่างโลกให้อ่าน
[เหตุผลที่ฮาวนด์ต่างชาติสงสัยว่าคังซอนฮูคือดรูอิด.tmi]
[ใกล้กับประตูมิติแห่งหนึ่งในยุโรป มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าไปสำรวจป่าเพราะภายในนั้นมีเอลฟ์อาศัยอยู่ และจากการเฝ้าสังเกต มนุษย์ได้ทราบว่าเอลฟ์ใช้สารพัดวิธีในการควบคุมธรรมชาติ พวกเขาถูกเรียกว่าดรูอิดเพื่อความสะดวก
สิ่งที่คังซอนฮูเคยทำมาจนถึงตอนนี้ มีความคล้ายคลึงกับดรูอิดมาก]
└ แล้วบาเรียกระจกที่ใช้คลุมหมู่บ้านล่ะ? เกี่ยวข้องกับดรูอิดยังไง
└ ไม่เกี่ยวข้องกัน เขาน่าจะได้มันมาจากการสำรวจครั้งล่าสุด มีข่าวลือว่าเขาสำรวจหมู่บ้านทางใต้มาไม่ใช่หรือ
└ นั่นไม่ใช่การเดินทางที่ยาวนานเลย ถ้ามีสมบัติอยู่แถวนั้นจริง OWIC ก็คงได้มาตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว
└ OWIC อาจจะยกให้คังซอนฮูก็ได้
└ ไม่สมเหตุสมผลเลย ทำไม OWIC ต้องทำดีกับคังซอนฮูเป็นพิเศษ?
└ ยังต้องถามด้วยหรือ ดูจากสิ่งที่คังซอนฮูทำมาตลอด เขามีค่ามากกว่าฮาวนด์ร้อยคนรวมกันเสียอีก
└ เพิ่งปรากฏตัวได้ไม่กี่เดือนเองใช่ไหม? ก่อนหน้านั้นไปอยู่ไหนมา?
ฉันไม่ได้สนใจข่าวลือบนโลกมาสักพักแล้ว
ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องแบบนี้ เพราะในระยะหลัง ความสนใจของฉันหมกมุ่นอยู่แต่กับต่างโลก
“…”
“พ่อดรูอิด ฮัลโหล?”
“…จะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน”
“คงไม่นาน ถ้าผู้คนเลิกสนใจ พวกนักข่าวก็คงเลิกตามรังควาน”
ถ้าเป็นแบบนั้นยังพอรับได้
และการได้รับความสนใจอยู่บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เสมอไป
“…ก่อนอื่น ตอนนี้ต้องมีสมาธิกับเป้าหมาย”
ชาโซฮีเอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่ด้านข้าง
* * *
เมื่อกลับถึงกระท่อม ซอจีอายังคงรออยู่ที่นั่น
“ทำไมยังไม่กลับไปอีก”
“ในกรุงโซลค่อนข้างวุ่นวาย ฉันชอบอยู่ที่นี่มากกว่า ปลอดคนและปลอดภัย”
เฮดโฟนหูแมวของซอจีอายังคงดึงดูดสายตาทุกครั้งที่จ้องเธอ ได้ยินว่าเธอโด่งดังเพราะเอกลักษณ์การแต่งตัว ดูเหมือนว่าจะมีความจริงผสมอยู่
แต่อันที่จริง ซอจีอาบอกว่าเฮดโฟนเป็นอุปกรณ์สำหรับเบี่ยงเบนความสนใจ ผู้คนจะได้พูดถึงสิ่งที่เธอทำน้อยลง และหันมาโฟกัสกับหูฟังแทน
ก็ฟังขึ้นอยู่ แต่ฉันไม่เชื่อว่านั่นเป็นความจริงทั้งหมด บางทีอาจเป็นรสนิยมของเธอจริงๆ
เรื่องนั้นช่างมันก่อน ประเด็นสำคัญตอนนี้คือการที่รอบๆ กระท่อมของฉัน ถูกรายล้อมด้วยคณะจาริกแสวงบุญ
ฉันเดินเข้าไปใกล้พวกเขาและกวาดตามอง พบว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำ ดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
“พวกเขากำลังทำอะไร”
“อวยพร… หลังจากนี้ ขบวนภูตผีจะมาเยือนดินแดนของเราได้ยากขึ้น”
ขั้นตอนการท่องบทสวดพลางพรมสิ่งที่น่าจะเป็นน้ำมนต์ ดูแล้วต่างจากพิธีกรรมของโลกไม่มากนัก
นอกจากนั้น ฉันยังชื่นชอบที่จะได้เห็นวัฒนธรรมของชาวต่างโลกด้วยตาตัวเอง
ไม่นานพิธีกรรมก็จบลง ตัวแทนคณะจาริกแสวงบุญเดินมาหาฉันและจ้องด้วยดวงตาอวกาศอันลุ่มลึก
จริงอยู่ที่ฉันรู้สึกอึดอัด แต่นั่นเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ จึงพูดอะไรมากไม่ได้
“ดินแดนแห่งนี้จะปลอดภัยจากขบวนภูตผีไปอีกสักพัก อาจรับประกันไม่ได้ว่าพวกมันจะไม่ย้อนกลับมาอีก แต่พวกเราทำได้ดีที่สุดแค่นี้”
หงึก
“ขอบคุณที่คอยห่วงใยพวกเรา”
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ฉันสัมผัสได้ว่านั่นคือเจตนาดี
ตามปรกติแล้ว หากพูดถึงศาสนจักรในโลกแฟนตาซี พวกมันมักมีด้านมืดที่น่ารังเกียจ แต่คนเหล่านี้มีจิตใจและทัศนคติดีงามแน่นอน
“แค่แจ้งให้รับรู้ถึงอันตรายล่วงหน้าก็เป็นบุญคุณมากแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราคงมิอาจรับมือได้อย่างไร้รอยขีดข่วน”
“ขณะเกิดเหตุ พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าไปซ่อนตัว จึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ แต่ค่อนข้างประหลาดใจที่พวกเจ้าสามารถยับยั้งขบวนภูตผีได้ คงมีใครสักคนที่นี่แข็งแกร่งระดับมหาจอมเวทหลวง… โลกช่างกว้างใหญ่นัก”
พวกเขาไม่ได้ถามว่าฉันเป็นเผ่าพันธุ์อะไร หรือทำนองว่า ‘มนุษย์พูดภาษารูนได้จริงหรือ’
หัวหน้าคณะหลับตาลงพร้อมกับยิ้ม
ได้ยินว่า เผ่าพันธุ์ลูกหลานดวงดาวทั้งหมดได้รับความรักจากเหล่าเทพ
เช่นนั้นแล้ว พวกเขาทำดีไปเพื่ออะไร? แม้จะสงสัย แต่ฉันตัดสินใจไม่ถาม
คำถามของฉันคืออันนี้
“ได้ยินมาว่า คณะแสวงบุญของศาสนจักรเทวราชามาจากทางเหนือ?”
“ถูกต้อง นั่นเพราะมหาวิหารหลักของพวกเราตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะทางทิศเหนือ นักพยากรณ์ที่พวกเราแสนภาคภูมิใจก็อยู่ที่นั่นด้วย”
สำนักงานใหญ่ของศาสนจักรเทวราชาสินะ
ฟังดูเหมือนสถานที่ซ่อนสมบัติทองคำชิ้นถัดไปเลยไม่ใช่หรือ
“ฉันมีธุระแถวนั้นพอดี ถ้าเป็นไปได้…”
“นั่นเป็นไปไม่ได้”
อีกฝ่ายมอบคำตอบที่ไม่คาดคิด
“ก่อนถึงทุ่งหิมะจะมีทุ่งลาวาขนาดมหึมาขวางกั้น… แม้จะลึกแค่ข้อเท้า แต่กว้างเท่าเส้นขอบฟ้า”
“แล้วคณะแสวงบุญผ่านมาได้ยังไง”
“พวกเราไม่ได้เดินตรงมาจากทิศเหนือ แต่เป็นการตระเวนไปรอบๆ ทวีป”
เข้าใจแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเดินทางไปถึงทุ่งหิมะได้”
“ถ้าใช้เส้นทางที่ง่ายที่สุด… ถ้ามียอดอาชา ก็น่าจะไปถึงได้ภายในสองเดือน ขึ้นอยู่กับวิธีในการฝ่าฟันภูเขาหิมะ”
“…มีโอกาสไปถึงภายในเดือนครึ่งได้สินะ”
หัวหน้าคณะแสวงบุญหัวเราะแห้ง
คล้ายกับคิดว่าฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“ความตั้งใจของเจ้าคงสูญเปล่า ไม่มีใครสามารถข้ามทุ่งลาวาได้ เพราะที่นั่นไม่มีหินให้เหยียบข้ามไป…”
แต่ฉันคิดว่าตัวเองทำได้
ตอนนี้ฉันไม่ได้มองไปทางหัวหน้าคณะแสวงบุญ แต่เป็นการมองข้ามไหล่ไปยังด้านหลัง
เซลฟีมักทำงานเสร็จเร็วกว่ากำหนดเสมอ
ไม่ว่าจะตอนสร้างแผนที่ หรือตอนเสือขาวในคราวนี้
คณะแสวงบุญหันไปมองตามทิศทางสายตาฉัน จึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน
“นั่นมัน…”
คงเป็นสีหน้าแบบเดียวกับฉัน ซอจีอา และลิลี่
“ที่รักจะขี่มันจริงๆ หรือ”
ม้าสีดำตัวหนึ่งกำลังวิ่งตรงมา
แต่นิยามแค่ ‘ดำสนิท’ คงไม่เพียงพอ เพราะมันดูเหมือนกับการรวมตัวของเงามากกว่า
ดวงตาส่องแสงสีแดง
ตามข้อเท้าและแผงขน เปลวไฟสีฟ้ากำลังลุกโชนร้อนแรง
“ฮี่—!”
เด็กคนนั้นวิ่งมาหาฉันพร้อมกับร้องเสียงดัง ราวกับจำหน้าฉันได้
ไม่สิ ที่สำคัญกว่านั้น
ฉันจะขี่มันได้จริงๆ หรือ
“…คงมีวิธีขี่มันอยู่สินะ”
「ใช่」
ฉันตัดสินใจที่จะเชื่อว่า คำตอบของเซลฟีมีความหมายในเชิงบวก
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel