ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 5 เก้ากระทิงสองพยัคฆ์
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 5 เก้ากระทิงสองพยัคฆ์
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบแต่อารมณ์ของเขากลับพลุ่งพล่านอยู่ภายใน นั่นทำให้เขาแทบไม่สามารถข่มตาหลับจนถึงกลางดึก แต่เมื่อหัวใจที่ตึงเครียดของเขาเริ่มผ่อนคลาย ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ยิ่งกว่าการทำงานอยู่ในทุ่งนาตลอดทั้งวันก็พุ่งเข้าโจมตีเขาและทำให้เขาผล็อยหลับไปในที่สุด
คืนนั้นเขาฝันว่าเผชิญหน้ากับศัตรูนับพันนับหมื่น เขาเข่นฆ่าพวกมันจนภูเขาศพบดบังดวงอาทิตย์ท่ามกลางบ่อเลือด
เมื่อเขาตื่นขึ้น ความฝันยังอ้อยอิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะค่อนๆเลือนหายไปจากความทรงจำของเขา แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่าง ตอนนี้มันค่อนข้างสายแล้ว
ความตายของเจ้าหัวล้านหลิวราวกับหยดน้ำที่ตกลงในกระทะน้ำมันเดือด มันทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่บ้าน อันธพาลผู้นี้เคยสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านมาตลอด แต่ตอนนี้ตัวตนดังกล่าวตายไปแล้ว โดยพื้นฐานแล้วชาวบ้านทั้งหมดต้องการปรบมือและโห่ร้องด้วยความยินดี อย่างไรก็ตามพวกเขายังสงสัยว่าใครฆ่าเจ้าหัวล้านหลิว มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังอันธพาลผู้นี้ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะจัดการเขา ไม่มีความลับในหมู่บ้านเล็กๆ ทันทีที่ชาวบ้านนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงบรรพชนเมื่อวันก่อนรวมถึงการไม่ปรากฏตัวของคนผู้หนึ่ง พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจกับการคาดเดาของตนเองมากขึ้น
“หลี่เอ้อเป็นคนทำ!”
“เขาสงบเสงี่ยมมาตลอดแต่แท้จริงแล้วเขากลับมีความกล้าถึงเพียงนี้”
“เขาน่าจะหนีไปแล้ว”
เสียงซุบซิบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ใบหน้าของคู่สามีภรรยาแซ่หลี่กลายเป็นซีดเผือด การแสดงออกของพ่อบ้านหลิวและหัวหน้าหมู่บ้านหลี่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด กลุ่มอันธพาลหวาดกลัวจนเข่าอ่อน หากพวกเขาเป็นคนที่เดินออกมาเมื่อคืนนี้ บางทีคนที่นอนอยู่ตรงนั้นอาจเป็นพวกเขา?
ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น “หลี่เอ้อมาแล้ว!”
ฝูงชนเปิดทางออกโดยพลัน หลี่เอ้อเดินเข้ามาภายใต้สายตาของทุกคน เขาเดินไปที่ศพของเจ้าหัวล้านหลิว เมื่อคืน เนื่องจากความมืด เขาจึงมองไม่ชัด เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาค้นพบว่าเจ้าหัวล้านหลิวตายอย่างน่าสยดสยอง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใดๆออกมาและเพียงกล่าวว่า “ตายไปได้ก็ดี” จากนั้นเขาก็กวาดตาไปรอบๆ
ตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าหลี่ฉิงซานกลายเป็นคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่รู้จักในชั่วข้ามคืน เขาดูค่อนข้างน่ากลัว ทุกคนรู้สึกหนาวเย็นเพียงเมื่อสายตาของหลี่ฉิงซานกวาดผ่าน สำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงหัวใจของพวกเขาแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก
ในที่สุดหัวหน้าหมู่บ้านก็เปิดปากกล่าว “มัดหลี่เอ้อและนำเขาไปที่ห้องโถงบรรพชน”
หมู่บ้านกระทิงหมอบอยู่ไกลจากตัวเมืองมากเกินไป ดังนั้นเหตุการณ์อาชญากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจึงจะถูกตัดสินโดยกลุ่มผู้อาวุโส การจับตัวคนร้ายต้องทำกันเอง พวกเขาไม่สามารถรอให้เจ้าหน้าที่เดินทางไกลข้ามภูเขาและแม่น้ำมาที่นี่เพื่อจับกุมบางคน นั่นเป็นเหตุผลที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่เคยติดต่อกับทางการ
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ใครกล้าจับข้า!”
แม้เขาจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือแต่เขาก็ยังดูน่ากลัว
ไม่มีชาวบ้านคนใดก้าวเท้าออกไป ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาหวาดกลัวหลี่ฉิงซาน แต่ทุกคนยังมีสำนึกถูกผิด พวกเขามีความคิดที่เรียบง่ายเช่น ‘หัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนเลวและรังแกคนดี แล้วเจ้ายังกล้าสั่งพวกเราให้จับเขาอีกงั้นหรือ? พวกเราต่างเฝ้ามองหลี่เอ้อเติบโตขึ้นมา เขากระทั่งเรียกเจ้าว่าท่านปู่ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักดีชั่ว เจ้าหัวล้านหลิวสมควรตายแล้ว หลี่เอ้อกำจัดภัยคุกคามให้กับพวกเรา!’
“เจ้าหัวล้านหลิวดื่มมากเกินไปและสะดุดล้มจนตายไปเอง เรื่องนี้เกี่ยวกับหลี่เอ้ออย่างไร?” คนที่กล่าวประโยคนี้ออกมาคือจางอู๋เก้อที่เคยมีปัญหากับเจ้าหัวล้านหลิว ย้อนกลับไปเจ้าหัวล้านหลิวพยายามข่มเหงภรรยาของเขาขณะที่เขาออกไปทำงานในทุ่งนา เวลานั้นเขาต้องการสู้ตายกับเจ้าหัวล้านหลิวแต่ถูกหยุดโดยคำวิงวอนที่ขมขื่นของภรรยา ตอนนี้เมื่อเขาเห็นศพของเจ้าหัวล้านหลิว เขาจึงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
บางคนเร่งกล่าวเสริม “ถูกต้อง เขาสะดุดล้มจนตายไปเอง นี่เป็นการแก้แค้นของสวรรค์!”
เกิดฉันทมติเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเจ้าหัวล้านหลิวขึ้นอย่างลับๆโดยไม่ได้นัดหมายจากชาวบ้าน ทุกคนบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ พวกเขาเพิกเฉยต่อรูบนร่างกายของเจ้าหัวล้านหลิวไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้นสายตาที่พวกเขามองหลี่ฉิงซานในเวลานี้ยังแฝงไว้ด้วยความชื่นชมและความสำนึกขอบคุณ
หลี่ฉิงซานรู้สึกสั่นไหวอยู่ภายใน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเจตจำนงของผู้คน
หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกว่าหากเหตุการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป อำนาจในหมู่บ้านของเขาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือเขากลัวการแก้แค้นของหลี่ฉิงซาน หากเขารู้ว่าเด็กหนุ่มดุร้ายถึงเพียงนี้ เขาจะไม่พูดปดเพื่อแลกกับเศษเงินเพียงสองสามเหรียญ ปัจจุบันไม่มีชาวบ้านคนใดฟังคำสั่งเขาขณะที่ผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆของเขาแอบหนีไปแล้ว!
เขาทำได้เพียงชำเลืองมองพ่อบ้านหลิวเท่านั้น อย่างไรก็ตามฝ่ายหลังกลับแสร้งมองไม่เห็น
หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกว่าคู่สามีภรรยาแซ่หลี่เป็นตัวการใหญ่เรื่องการขายที่ดิน เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เหตุใดเขาต้องเป็นคนเผชิญหน้ากับฆาตกรที่โหดเหี้ยมเพราะเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หากเขาทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ
ทั้งหมดทำให้ท่าทีของเขาอ่อนลง
“ผีสิง! เขาถูกผีสิง! ข้าเคยบอกแล้ว ข้าเคยพูดไว้แล้ว!” เป็นเพียงเวลานี้ที่หมอผีชี้นิ้วไปที่หลี่ฉิงซานและกรีดร้อง
การแสดงออกของชาวบ้านเปลี่ยนไปทันที ทุกคนเริ่มถอยห่างจากหลี่ฉิงซานโดยไม่รู้ตัว
หลี่ฉิงซานเดินเข้าไปหาหมอผีและเตะนางล้มลง “ยายแก่ เจ้าจะใส่ร้ายข้าอีกนานแค่ไหน? หากเจ้ายังกล้าพูดไร้สาระ ข้าจะฉีกปากเจ้า!”
หมอผีหุบปากลงทันที นางไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาแต่สายตายังเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หลี่ฉิงซานสงบนิ่งและไม่หวาดหวั่น “หากเจ้ามีพลังเหนือธรรมชาติจริง ให้เทพเจ้าหรือภูตผีของเจ้ามาหาข้า แล้วมาดูกันว่าข้าจะกลัวหรือไม่?”
หลังกล่าวจบคำ เขาเชิดหน้าและเดินจากไปทันที เมื่อไปถึงสถานที่ไร้ผู้คน เขาก็หยุดแสดงท่าทีสง่างาม หัวใจของเขาเต้นแรงแต่เขารู้ว่าตนเองทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
หากเขาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเพราะความหวาดกลัวและปล่อยให้หัวหน้าหมู่บ้านระดมคนออกมาจับกุมเขา ผู้คนจะมาหาเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เขาไม่สามารถรับมือชายฉกรรจ์สองสามคนได้พร้อมกันโดยไม่ต้องกล่าวถึงชาวบ้านจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนและชี้นำมวลชน
เมื่อเขากลับถึงบ้าน วัวดำที่รออยู่มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หลี่ฉิงซานสังเกตเห็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด เขาโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะเงยหน้าขึ้นและถามด้วยรอยยิ้ม “พี่วัว ท่านต้องการทำพิธีรับศิษย์อย่างเป็นทางการหรือไม่?”
วัวดำกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าให้เนื้อและสุรากับเจ้าไปแล้วงั้นหรือ? เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก?”
หลี่ฉิงซานยักไหล่ “เช่นนั้นข้าจะเก็บหญ้าอ่อนๆมาให้ท่านดีหรือไม่?”
สายตาของวัวดำกลายเป็นมืดครึ้ม “หยุดล้อเล่น! เจ้ามีจิตสังหาร นั่นคือเหตุผลที่ข้าตัดสินใจสอนศิลปะการฆ่าให้เจ้า ในอนาคต เจ้าต้องต่อสู้กับผู้คนอีกมากมาย เจ้าจะไม่มีช่องเวลาที่สงบสุขอีกต่อไป หากเจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอ เจ้าจะจบลงด้วยการถูกฆ่า เจ้าจะตายโดยไม่สามารถแม้แต่โอดครวญ”
“ไม่ว่าที่ใด ผู้อ่อนแอก็จะตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งเสมอ ข้าจะไม่โอดครวญและไม่เสียใจ!” หลี่ฉิงซานประกาศเสียงดัง
วัวดำกล่าวต่อ “ไม่เสียใจ พูดได้ดี เมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะสอนหมัดปีศาจวัวให้เจ้า เมื่อเจ้ามีความแข็งแกร่งของวัวหนึ่งตัวและสร้างรากฐานเรียบร้อยแล้ว ข้าจะสอนหมัดปีศาจพยัคฆ์ให้เจ้าเพื่อชำระไขกระดูก ด้วยการหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกัน เจ้าจะได้รับพลังเหนือธรรมชาติ เก้ากระทิงสองพยัคฆ์ เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก!”
“เก้ากระทิงสองพยัคฆ์?” เมื่อหลี่ฉิงซานได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก เขารู้สึกว่ามันไม่มีสิ่งใดพิเศษ พวกมันเป็นเพียงปศุสัตว์และสัตว์ป่าที่ธรรมดาที่สุด แล้วสิ่งนี้จะทำให้เขาสามารถท่องเที่ยวไปทั่วโลกได้จริงๆงั้นหรือ?
อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิด เขาก็รู้สึกตกใจ เขาเลี้ยงวัวดำตัวนี้มานานกว่าหนึ่งทศวรรษ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความแข็งแกร่งของมันเป็นอย่างดี วัวหนึ่งตัวมีพละกำลังเท่ากับมนุษย์สิบคน ตราบเท่าที่เขามีความแข็งแกร่งของวัวหนึ่งตัว เมื่อเขาสวมเกราะและถืออาวุธ เขาจะสามารถพุ่งเข้าสู่สนามรบและกลายเป็นแม่ทัพปีศาจผู้บ้าคลั่ง
ไม่มีสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับกระทิงหรือพยัคฆ์ แต่หากรวมความแข็งแกร่งของพวกมันไว้ในตัวของคนผู้หนึ่ง ทุกการกระทำของคนผู้นั้นจะมีพลังอำนาจหลายพันกิโลกรัม แล้วใครจะหยุดเขาได้?
“ตั้งแต่มันเป็นพลังเหนือธรรมชาติ เหตุใดมันจึงมีคำว่าปีศาจวัวและปีศาจพยัคฆ์?”
“ทักษะนี้ได้รับการสืบทอดมาจากยุคบรรพกาล ปัจจุบันมันหายสาบสูญไปแล้ว”
หลี่ฉิงซานรู้สึกตื่นเต้นเมื่อพี่วัวกล่าวถึงยุคบรรพกาล จากความรู้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นเม็ดยา ตำรา หรือสมบัติล้ำค่าต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคำว่ายุคบรรพกาล พวกมันล้วนล้ำค่าและหายาก
อย่างไรก็ตามคำอธิบายต่อไปของวัวดำกลับทำให้เขาผิดหวัง เนื่องจากมันใช้งานยากเกินไป ดังนั้นมันจึงถูกละทิ้งและหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ มันถูกแทนที่ด้วยทักษะอื่นๆที่สร้างขึ้นโดยอัจฉริยะยุคหลัง กล่าวอีกนัยก็คือมันตกยุคไปแล้ว!
นักปราชญ์ในยุคโบราณอาจน่าประทับใจ แต่คนที่มาภายหลังจะเหยียบไหล่ของพวกเขาและก้าวสูงขึ้นไปเสมอ
“ผู้บ่มเพาะในปัจจุบันมักมุ่งเน้นไปที่พลังปราณและละเลยการฝึกฝนร่างกาย พวกเขากระทั่งดูถูกมัน”
“ฮ่าฮ่า แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องผิดหวัง ทักษะที่ข้าจะสอนเจ้าไม่ใช่ทักษะดั่งเดิม มันได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นโดยปีศาจที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็นสาเหตุที่มันมีคำว่าปีศาจวัวและปีศาจพยัคฆ์ ปีศาจวัวปรับแต่งร่างกาย ขณะที่ปีศาจพยัคฆ์ชำระไขกระดูก เจ้าจะเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะของปีศาจ ดังคำกล่าวที่ว่าฝ่ายธรรมะเดินได้ก้าวเดียวขณะที่ฝ่ายปีศาจพุ่งทะยานไปสิบก้าว มันทรงพลังกว่ามาก”
“มันมีผลข้างเคียงหรือไม่หากมนุษย์ฝึกทักษะนี้?”
“ข้าไม่รู้เพราะไม่เคยมีมนุษย์คนใดฝึกมันมาก่อน บางทีเจ้าอาจกลายเป็นปีศาจหรือสัตว์ประหลาด”
วัวดำตอบอย่างไม่ใส่ใจนักแต่หลี่ฉิงซานกลับรู้สึกขมขื่น หากมันเป็นเพียงทักษะที่หายสาบสูญ มันยังไม่เป็นไร อย่างมากเขาก็จะเป็นคนประหลาดที่ถูกผู้บ่มเพาะคนอื่นๆหัวเราะเยาะ อย่างไรก็ตามการฝึกฝนทักษะนี้อาจทำให้เขากลายเป็นปีศาจหรือสัตว์ประหลาด เขาอาจถูกพิพากษาจากบางคน!
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะจู้จี้จุกจิก หลังจากไตร่ตรอง หลี่ฉิงซานสูดหายใจลึกก่อนจะเปิดปากกล่าว “พี่วัว โปรดสอนทักษะนี้ให้ข้าด้วย!”
หากคนผู้หนึ่งมีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตน แม้คนผู้นั้นจะรู้ว่ามันเป็นข้อเสนอของปีศาจ พวกเขาก็จะยอมรับมัน!
วัวดำอธิบายเคล็ดวิชาหมัดปีศาจวัวอย่างละเอียดขณะที่หลี่ฉิงซานเริ่มฝึกมันทันที เขาพยายามเคลื่อนไหวร่างกายไปตามคำชี้แนะของวัวดำจากท่าหนึ่งสู่อีกท่าหนึ่ง
ภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า เด็กหนุ่มร่ายรำอยู่ใต้ร่มไม้ขณะที่วัวชรานอนหมอบอยู่ด้านข้างอย่างสะดวกสบายและให้คำชี้แนะเป็นครั้งคราว
แม้วัวดำจะไม่ได้แสดงตัวอย่างให้ดู แต่ทุกประโยคของมันทำให้หลี่ฉิงซานเข้าใจทันที
วัวดำไม่แสดงออกแต่มันพอใจกับความสามารถในการทำความเข้าใจของศิษย์ผู้นี้ เขาสมกับเป็นผู้มีภูมิปัญญาโดยกำเนิดอย่างแท้จริง คนเช่นนี้จะไม่อยู่ในความมืดนานนัก โชคร้ายที่เขาเกิดมาในหมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาที่ห่างไกลความเจริญ เขาเป็นเหมือนมังกรในน้ำตื้นหรือพยัคฆ์ในทุ่งหญ้า
หากเขาเกิดในเมืองใหญ่ ด้วยพรสวรรค์ดังกล่าว เขาคงกลายเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดไปแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้วัวดำจึงได้รับเพชรเม็ดงามที่ยังไม่ถูกเจียรนัยเม็ดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่ามันเพียงต้องเลี้ยงดูให้เขาเติบโตขึ้นเป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นมิใช่หรือ?