ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 2 กินเนื้อ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 2 กินเนื้อ
แปลโดย iPAT
“มันหายไป” หลี่ฉิงชางตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดราวกับคนที่ถูกดึงกลับจากโลกแห่งความฝันอันงดงามสู่โลกแห่งความจริงที่โหดร้าย
“เช่นนั้นก็ไปหามัน! หากเจ้าทำวัวของครอบครัวหาย พี่ใหญ่ของเจ้าจะตีเจ้าจนตาย! นี่เหมือนการเอาเงินไปทิ้ง หากวัวหาย เจ้าก็ต้องหายไปพร้อมกัน!”
“มันเป็นวัวของข้า!” หลี่ฉิงซานสาวเท้าออกจากบ้าน หากเขายังอยู่ต่อ เขาอาจทุบตีหญิงผู้นี้ แต่หากเขาทำเช่นนั้น เขาจะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป เขายังไม่มีที่พึ่งพาอื่น ดังคำกล่าวที่ว่าขอทานไม่มีสิทธิเลือกอาหาร
เขากลับไปถึงคอกวัวในยามพลบค่ำด้วยความเหนื่อยล้า เขากวาดตามองคอกวัวที่ว่างเปล่าและปล่อยให้ความมืดค่อยๆกลืนกินเขาเข้าไป
โดยปกติ นอกจากทำงานบ้านและดูแลวัวตัวนี้ เขาก็จะนำวัวออกไปทำงานเพื่อหาค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ
เมื่อวัวไม่อยู่ เขาจึงต้องทำงานทั้งหมดด้วยร่างกายของตนเอง มันเป็นงานที่กระทั่งผู้ใหญ่ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยโดยไม่ต้องกล่าวถึงเด็กที่ไม่แม้แต่จะได้กินอาหารเช่นเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับคำดุด่าและการดูหมิ่นจากเจ้าของที่ดิน ความเหนื่อยล้าทางร่างกายก็กลายเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ เขาทิ้งตัวลงบนกองฟางและหยุดคิดฟุ้งซ่านแต่ท้องของเขากลับเริ่มส่งเสียงประท้วง
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แม้คนผู้หนึ่งจะมีความทะเยอทะยานสูงล้ำเพียงใด พวกเขาก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกสูญสิ้นเรี่ยวแรงและเหลือเพียงสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ขณะที่หลี่ฉิงซานกำลังจะผล็อยหลับ เสียงกระแทกพื้นก็ดังขึ้น เขาเปิดเปลือกตาเพื่อมองเห็นเงาสีขาวคู่หนึ่ง นั่นทำให้เขากระโดดขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจ เมื่อเขาสามารถสงบจิตใจลง เขาก็พบว่ามันเป็นหมูป่าเขี้ยวยาวตัวหนึ่งที่พึ่งตายเมื่อไม่นานมานี้
วัวดำนั่งกึ่งหมอบอยู่ด้านหน้ารางน้ำ มันมองหลี่ฉิงซานและหัวเราะ การแสดงออกของมันทำให้เขาเกิดความเข้าใจในระดับหนึ่ง
ยามค่ำ ในบ้าน พี่สะใภ้กำลังบ่นเรื่องของหลี่ฉิงซานกับสามีของนาง “เจ้าเด็กเหลือขอนั่น มันทำวัวหาย ไม่ เจ้านั่นต้องแอบเอามันไปขายอย่างลับๆ เราต้องแบ่งทรัพย์สินและแยกทางกับเขา มิฉะนั้นเขาจะทำให้เราล่มจม!”
พี่ชายของหลี่ฉิงซานอายุสามสิบปี เขามีร่างกายสูงใหญ่และเป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแง่ของความไร้เหตุผลและอวดดี แต่ต่อหน้าภรรยา เขากลับสุภาพมาก “หากเราแบ่งทรัพย์สิน ที่ดินจะถูกจัดสรรให้เขา ตอนนี้เราใช้ข้ออ้างที่ว่าเขายังเด็กและไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมัน ด้วยเหตุนี้หัวหน้าหมู่บ้านจึงยังไม่ส่งมอบที่ดินให้หลี่เอ้อ แต่หากเราต้องการแยกครอบครัว พวกเขาจะบังคับให้เราแบ่งมรดก”
“ไม่ใช่ว่าพ่อบ้านหลิวต้องการที่ดินผืนนั้นงั้นหรือ? เราเพียงขายมันให้เขา หากเจ้าเด็กเลวนั่นกล้าไปขอมันจากเขาก็ให้มันไป!”
“แต่หากเขาไม่เห็นด้วยกับการขาย?”
“ให้มันอดข้าวสามวัน! เช่นนี้เจ้ายังกังวลว่าเจ้าเด็กนั่นจะปฏิเสธอีกงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นกลิ่นบางอย่างก็พุ่งเข้าปะทะจมูกของสะใภ้แซ่หลี่อย่างกะทันหัน “กลิ่นนี้?”
“หอมมาก! ดูเหมือนบางคนกำลังใช้เนื้อทำอาหาร!”
“นี่ไม่ใช่วันปีใหม่หรืองานเทศกาล เหตุใดบางคนจึงนำเนื้อมาทำอาหาร? ดูเหมือนมันจะอยู่ใกล้ๆ”
ทั้งสองตามกลิ่นอาหารไปจนถึงคอกวัวและสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือหม้อขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนกองไฟ น้ำแกงในหม้อกำลังเดือดพล่าน กลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ
แสงจากกองไฟลุกโชนอยู่ท่ามกลางความมืดขณะที่เงาของหลี่ฉิงซานทอดตัวยาวอยู่บนกำแพง
พี่สะใภ้กลืนน้ำลายก่อนกล่าว “เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าไปขโมยเนื้อมาจากที่ใด?”
นางไม่เพียงเป็นคนเกียจคร้านแต่ยังโลภมากอีกด้าย นางมองน้ำแกงในหม้อและลืมเรื่องที่หลี่ฉิงซานเคยทำให้นางขุ่นเคืองไปจนหมดสิ้น
หลี่ต้ามีสายตาเฉียบคมมากกว่า เขาเห็นหลี่ฉิงซานนั่งทับบางสิ่ง “หมูป่า!”
หมูป่าถือเป็นสัตว์ร้ายที่อันตรายมาก หนังของมันหนา ร่างกายของมันแข็งแกร่ง เขี้ยวของมันก็แหลมคม เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันบาดเจ็บด้วยคมมีด นายพรานทั่วไปมักหลีกเลี่ยงพวกมันราวกับโรคระบาด ดังนั้นการจับหมูป่าตัวหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
“เมื่อข้าออกไปตามหาพี่วัว ข้าพบหมูป่าตัวนี้ที่เชิงเขา มันได้รับบาดเจ็บ บางทีมันอาจถูกไล่ล่าโดยนายพรานบางคน”
หลี่ฉิงซานเตรียมข้ออ้างไว้แล้ว เขาต้องรักษาความลับของพี่วัวเอาไว้ มิฉะนั้นหากข่าวลือเกี่ยวกับปีศาจวัวกระจายออกไป บางทีอาจมีเทพสวรรค์มาเคาะประตูหน้าบ้านเขา
หลี่ต้าเชื่อเพียงครึ่งเดียว แต่เขายังเผยรอยยิ้ม “น้องเล็ก เจ้าเป็นคนโง่ที่โชคดีนัก ให้ข้าลากหมูป่าตัวนี้ไปขายที่ตลาด มันจะต้องได้ราคาดีมาก แล้วเราจะเก็บเงินเอาไว้หาภรรยาให้เจ้า”
ในเวลาเดียวกันหลี่ต้าก็คิดกับตนเองเมื่อเขามองเห็นวัวดำ ‘น้องชายของข้า ตอนนี้ข้าจะไม่รีบไล่เจ้าออกไป ไม่ใช่ว่าวัวตัวนั้นยังสามารถทำงานงั้นหรือ?’
เมื่อเห็นเห็นพี่สะใภ้เริ่มจับทัพพีและแสดงท่าทีว่าต้องการลิ้มลอง อารมณ์ของหลี่ฉิงซานแย่ลงทันที เขาตบมือพี่สะใภ้ “อย่ายุ่ง!”
พี่สะใภ้จับมือของตนและล่าถอยออกไปด้วยความโศกเศร้า “ดูน้องชายของเจ้า ข้าบอกแล้วว่าเขาข่มขู่และรังแกข้าตอนที่เจ้าไม่อยู่ ตอนนี้เจ้าเห็นกับตาตัวเองแล้วใช่ไหม!?”
‘ข่มขู่งั้นหรือ? รังแกงั้นหรือ?’ หลี่ฉิงซานรู้สึกอยากจะอาเจียนกับถ้อยคำไร้สาระของนาง ‘อย่างน้อยหากเจ้าเป็นหญิงงาม ข้าจะไม่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้!’
ใบหน้าของหลี่ต้ากลายเป็นมืดครึ้ม “นี่คือสิ่งที่เจ้าทำกับพี่สะใภ้ของเจ้างั้นหรือ?”
หลี่ฉิงซานก้มหน้าลง “ข้ามีแผนการสำหรับเนื้อหมูป่าเหล่านี้แล้ว ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ถึงเวลาที่ข้าจะออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว”
นี่คือสิ่งที่เขากำลังคิดระหว่างปรุงอาหาร เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป
หลี่ต้าไม่คิดว่าน้องชายของเขาจะกล่าวเรื่องนี้ออกมาก่อน เขาตกใจและโกรธมาก เขาเป็นคนที่ไม่สามารถเก็บความโกรธเอาไว้ในใจ ดังนั้นเขาจึงกำหมัดเดินเข้าไปหาหลี่ฉิงซานและวางแผนที่จะทุบตีน้องชายผู้นี้ สำหรับเนื้อหมูป่า เขาจะจัดการมันหลังจากนั้น
หลี่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ เขายืนขึ้นด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึมแต่ภายในยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ร่างกายของเขาเป็นเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่ เขาทำงานมาตลอดทั้งวันโดยไม่ได้กินอาหาร แล้วเขาจะเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์เช่นหลี่ต้าได้อย่างไร เขาชำเลืองมองวัวดำ แต่มันทำตัวราวกับเป็นผู้ชมการแสดงและไม่มีเจตนาที่จะให้ความช่วยเหลือ
หลี่ฉิงซานรู้สึกขมขื่นอยู่ภายในขณะเตรียมตัวถูกทุบตี
อย่างไรก็ตามหลี่ต้ากลับหยุดเคลื่อนไหวและมองไปที่มือขวาของหลี่ฉิงซาน
มือที่หยาบกร้านถือมีดโกโรโกโสเล่มหนึ่งเอาไว้
นี่คือมีดที่หลี่ฉิงซานซื้อมาจากตลาดด้วยเงินออมที่เขาพยายามเก็บรวบรวมมานานหลายปี มันมีประโยชน์หลายอย่าง ก่อนหน้านี้เขายังใช้มันแล่เนื้อหมูป่า
หลี่ฉิงซานเข้าใจทันทีว่าพี่ชายของเขารู้สึกประหม่า หลี่ต้าไม่ได้กลัวเขาแต่เป็นมีดเล่มเล็กที่อยู่ในมือของเขา ก่อนเกิดเหตุการณ์นี้เขาไม่เคยคิดว่ามีดคุณภาพต่ำที่เขาซื้อมาจะมีอำนาจมากพอที่จะหยุดคนผู้หนึ่ง
ในชีวิตก่อนหน้า หลี่ฉิงซานเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป เขาเคยมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนมาบ้าง แต่กระทั่งเขาจะรวมประสบการณ์จากทั้งสองชีวิต เขาก็ไม่เคยใช้อาวุธต่อสู้กับใครมาก่อน
เมื่อหลี่ฉิงซานตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาก็ยกมีดสั้นขึ้นมาและแสดงท่าทีเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังแยกเขี้ยวข่มขู่ศัตรูของมันแม้เขาจะรู้สึกหวาดกลัวที่จะใช้มันจริงๆก็ตาม
หลี่ต้าก้าวถอยหลังทันที พี่สะใภ้ไม่กล้ายุแยงอีก ทั้งสองค่อยๆถอยออกจากคอกวัวด้วยความผิดหวัง พวกเขาตะโกนสาปแช่งหลี่ฉิงซานอยู่ด้านนอกก่อนจะกลับบ้านเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการใหญ่ของพวกเขา
หลี่ฉิงซานไม่แยแสคนทั้งสอง เขากระทั่งลืมกลิ่นหอมของเนื้อ สิ่งที่เขาให้ความสนใจมีเพียงมีดสั้นที่อยู่ในมือเท่านั้น เขามองมีดสั้นเล่มนี้ด้วยความงุงงงขณะที่ใบหน้าอันพร่าเลือนของเขาสะท้อนอยู่บนคมมีด ขยะราคาถูกที่เขาซื้อมาโดยไม่ได้คิดมากทำให้เขารอดพ้นจากการถูกทำร้ายร่างกาย มันปกป้องเขาจากการถูกดูหมิ่นและปกป้องสมบัติของเขา!
แม้พลังอำนาจของอาวุธจะเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ตอนนี้เขาได้เรื่องรู้สิ่งนี้ด้วยตนเองและรู้สึกกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
วัวดำเฝ้ามองเขาด้วยรอยยิ้ม
แสงไฟฉายเงาขนาดใหญ่ของเด็กหนุ่มที่ถือมีดไว้ในมือบนกำแพง ตอนนี้หลี่ฉิงซานเข้าใจคุณค่าของพลังอำนาจอย่างชัดเจนแล้ว
หลังจากไม่นาน เขาก็นั่งลงและเกาแก้มด้วยอารมณ์ขำขันขณะเฝ้ามองหม้ออาหาร “ข้าต้องใช้เวลาตุ๋นเนื้ออีกนานเท่าใด?”
เขาเป็นคนที่ชอบกินเนื้อมาตลอด แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาทุกอย่างยากลำบากสำหรับเขาจริงๆ ในช่วงเวลาที่พ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ เขายังได้กินเนื้อเป็นครั้งคราวในวันปีใหม่หรืองานเทศกาล แต่เมื่อทั้งสองจากไป เขาก็ทำได้เพียงลืมมันไปซะ เนื้อที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นยังไม่เพียงพอที่จะเลี้ยภรรยาของหลี่ต้าคนเดียว
แม้เม็ดยาอมตะจะวางอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ มันก็ไม่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากไปกว่าเนื้อที่อยู่ในหม้อ
หมู่ป่ามีร่างกายขนาดค่อนข้างใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งคืนเพื่อต้มมันให้สุก
เปลวไฟที่ลุกไหม้ กลิ่นหอมที่ลอยอบอวล เสียงของน้ำเดือด และเด็กหนุ่มน้ำลายสอเป็นฉากที่ดูเรียบง่ายแต่มีความน่าหลงใหลของยุคโบราณแม้มันจะไม่น่าพิสมัยเหมือนในนิยายหรือบทกวีก็ตาม
ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีเกลือแม้แต่เม็ดเดียวโดยไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องปรุงอื่นใด อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานยังกลืนมันลงไปอย่างรวดเร็ว เนื้อหลายกิโลกรัมถูกยัดเข้าไปในกระเพาะอาหารของเขา สุดท้ายแม้แต่น้ำแกงสักหยดก็ไม่หลงเหลือ
หากบางคนถามเขาตอนนี้ว่าความสุขคืออะไร เขาไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่ามันคือเนื้อตุ๋นหม้อนี้