MDB ตอนที่ 178 การเปิดห้องโถงเยี่ยมชมครั้งที่สาม
“ผีเด็ก หลายปีมานี้ พวกเราแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะการร่วมเลือด ชีวิตของพวกเราสั้นลงทุกวัน พวกเราทุกคนล้วนมีศัตรูมากมายและไม่ว่าระดับการฝึกฝนของเจ้าจะดีแค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถรับมือพวกเขาได้โดยลำพัง
เจ้าอาจจะไม่รู้แต่เฒ่าเต่าและข้าปกป้องเจ้าจากภัยพิบัติมากมายในขณะนี้ เจ้าจะใจร้ายและเฝ้าดูพวกข้าตายลงอย่างช้า ๆ อย่างงั้นหรือ?”
น้ำเสียงของชายโลงศพเต็มได้ด้วยการอ้อนวอน
มาดามผีเด็กยังนิ่งเงียบ ชายโลงศพไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน เขาได้แต่ยืนดูเฝ้ารออย่างมีความหวัง
ในที่สุด ชายโลงศพก็ถอนหายใจก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ขณะที่เขากำลังจะจากไป ในที่สุดมาดามผีเด็กก็พูดว่า “โลงผุ รอที่นี่ก่อน เมื่อประตูเปิด ข้าจะรอดูว่าข้าสามารถพาเจ้าไปด้วยได้หรือไม่?”
ชายโลงศพตกตะลึง
เขาประหลาดใจและยินดีเพราะมาดามผีเด็กเต็มใจช่วยเขา ความจริงที่ว่าเธอเรียกเขาว่า 'โลงผุ' ทำให้ชายโลงศพมั่นใจว่าเธอยังจำวันดี ๆ ของพวกเขาได้และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
เช่นเดียวกับมาดามผีเด็ก เพื่อช่วยสัตว์วิเศษของเขา ชายโลงศพสามารถรักษาชีวิตมันไว้ได้โดยการร่วมเลือด แต่นี่เป็นการฆ่าตัวตายอย่างช้า ๆ ซึ่งจะทำให้เขาพบกับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้น เมื่อเขาตระหนักว่ามาดามผีเด็กได้ตัดการร่วมเลือดแล้วแต่สัตว์เลี้ยงของเธอยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงรู้ว่าเธอได้พบวิธีแก้ปัญหาแล้ว
พวกเขาค้นหามาเนิ่นนาน ตอนนี้มีแสงแห่งความหวังแล้ว เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ชายโลงศพรู้สึกสับสนแทน
‘ประตู?’
‘ประตูอะไร?’
“ผีเด็ก ประตูที่เจ้าพูดถึงคือ…” ชายโลงศพถามอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะพูดจบ ผีเด็กได้ขัดจังหวะเขา
“อย่าถามอะไรให้มันมากความ ข้าเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรและข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะพาเจ้าไปที่นั่นได้ด้วยหรือเปล่า!?”
ชายโลงศพจึงหยุดถาม เขาเพียงมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย
ตามคำกล่าวของมาดามผีเด็กประตูควรจะเปิดอยู่แถว ๆ นี้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มารออยู่ที่นี่
แต่ไม่มีประตูที่นี่
“จริงสิ ข้าขอเลือดของเจ้าและซอมบี้คธูลูของเจ้าหน่อย” มาดามผีเด็กกล่าว
แม้จะสับสนแต่ชายโลงศพก็ยังเอาเลือดของเขาไปใส่ในชามกระเบื้อง
“ด้วยการร่วมเลือด เลือดของข้ากลายเป็นหนึ่งเดียวกับซอมบี้คธูลูของข้า เลือดเพียงเท่านี้พอหรือไม่?” ชายโลงศพกล่าว
มาดามผีเด็กพยักหน้า “ถ้าเจ้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าช่วยรอข้าที่นี่ ข้าจะช่วยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เจ้าเอง”
“ถามใคร?” ชายโลงศพสังเกตเห็นความสำคัญ
เขามั่นใจว่าคนที่ผู้ถามต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ช่วยผีเด็กก่อนหน้านี้
“ภัณฑารักษ์!” ทันทีที่มาดามผีเด็กพูด เธอก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความผันผวนต่อหน้าเธอ ทันใดนั้น ประตูมิติก็เปิดขึ้นจากอากาศ
อย่างไรก็ตาม ประตูนี้มีความเสถียรมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับครั้งสุดท้าย เธอรู้สึกว่าไม่มีการดึงจากประตูมิติเช่นกัน
มาดามผีเด็กลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอดูตื่นเต้นมาก
“ภัณฑารักษ์?” ชายโลงศพดูตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขามองไม่เห็นประตูมิติ
มาดามผีเด็กก็สังเกตเห็นข้อเท็จจริงนี้เช่นกัน
“เจ้าไม่เห็นอะไรเลยหรือ?” มาดามผีเด็กถาม
ชายโลงศพตกใจถามกลับ “ข้าควรเห็นอะไร!?”
"ไม่เป็นไร..." มาดามผีเด็กไม่ได้อธิบาย บางทีมีเพียงเธอที่มีป้ายผู้เยี่ยมชมเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในห้องโถงเยี่ยมชมอันลึกลับได้
คนอื่นมองไม่เห็นด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่สามารถแอบเข้าไปได้
เมื่อมองย้อนกลับไป ความคิดที่จะนำชายโลงศพไปกับเธอนั้นไร้เดียงสาเกินไป เธอควรจะเลิกล้มความคิดนั้นไปเสียก่อน
เมื่อรู้ว่าเธอต้องเข้าไปโดยเร็วที่สุด มาดามผีเด็กร่ายคาถา จากนั้น กล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรและชามที่มีเลือดของชายโลงศพได้ลอยเข้าไปในประตูมิติ
ก่อนที่เธอจะเข้าไป เธอหันมาบอกกับชายโลงศพว่า “อย่าเพิ่งไปไหน รอข้าอยู่ที่นี่”
พูดจบเธอก็เดินเข้าไปในประตูมิติ
ในขณะเดียวกัน จากมุมมองของชายโลงศพ มาดามผีเด็กได้หายตัวไปในอากาศ
มันไม่ใช่ภาพลวงตาหรือคาถาที่มองไม่เห็น เธอหายไปพร้อมกับรัศมีของเธออย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับคาถาย้ายของ
ชายโลงศพมึนงง
แม้จะอยู่มาร้อยปีและมีประสบการณ์มากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
“ภัณฑารักษ์ น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ!”
...
ณ ห้องโถงเยี่ยมชม
ผู้มาเยือนเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียเวลา รวมทั้งผู้เยี่ยมชมหมายเลข 8 ชายชราที่เรียกตัวเองว่าเฒ่าเทียน
หลังจากกวาดตามองแล้ว เหอฉิงก็ทักทายอีกาทมิฬ เจียงจื่อฉี และเย่หยู่โจว มีไม่กี่คนที่เธอรู้สึกคุ้นเคย
สำหรับเฒ่าเทียน เหอฉิงไม่ชอบเขาเพราะอารมณ์ที่แปรปรวนของเขาและเธอไม่กล้าที่จะยั่วยุผู้เยี่ยมชมหมายเลข 9 มาดามผีเด็ก
เธอรู้สึกหวาดกลัวจากการมองดูเธอ ดังนั้นเหอฉิงจึงเลือกที่จะไม่โต้ตอบกับเธอหากไม่จำเป็นจริง ๆ
“ภัณฑารักษ์ยังไม่มาอีกหรือ!?” เหอฉิงอุทานออกมา เมื่อสังเกตเห็นประตูเหล็กที่ปิดสนิท
เธอกำขวดแก้วในมือแน่น เห็นได้ชัดว่ากังวลมาก
“ช่างเป็นบุคคลที่แปลกประหลาดเสียจริง ภัณฑารักษ์คนนี้! ข้าพยายามสืบหาเขาหลังจากที่กลับไปครั้งที่แล้ว แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ชื่อว่าภัณฑารักษ์เลย” เฒ่าเทียนแสดงความคิดเห็นทันที
เขาแตกต่างจากตอนที่เขามาที่นี่ครั้งล่าสุด เฒ่าเทียนไม่หยิ่งยะโสเหมือนในตอนแรกอีกต่อไป
เขาไม่ใช่คนโง่ทั้งที่รู้ว่าคนเหล่านี้มีความสามารถเพียงใด
โดยเฉพาะภัณฑารักษ์ หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เฒ่าเทียนก็ตระหนักได้ว่าตัวตนของชายผู้นี้น่ากลัวเพียงใด เขายังได้สืบสวนมาดามผีเด็กและรู้ว่าเธอน่ากลัวมากแค่ไหน เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในชุมชนใต้ดิน คนที่เขาไม่ควรยั่วยุ
อย่างไรก็ตาม ด้วยสติปัญญาของเฒ่าเทียน เขาตระหนักได้ทันทีว่าเป็นโอกาส
และนั่นคือโอกาสอะไร?
โอกาสในการขยายเครือข่ายของเขา
ผู้มาเยี่ยมเยือนทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นหากเขาได้รู้จักพวกเขา ย่อมเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน
ดังนั้น เฒ่าเทียนจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขา เขาแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนและเริ่มการสนทนา เขาหวังว่าเมื่อเริ่มพูดคุย ทุกคนจะคล้อยตามเขาและเริ่มทำความรู้จักกันในที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบรับเขา
มันช่างน่าอึดอัดใจ
เย่หยู่โจวเหลือบมองไปที่มาดามผีเด็กแล้วก็อีกาทมิฬ
ทั้งสองคนเป็นผู้เยี่ยมชมที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องโถงเยี่ยมชมนอกเหนือจากตัวเขาเอง มาดามผีเด็กมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในชุมชนใต้ดินของเธอ แม้ว่าจะดูไม่ดีนักก็ตาม
'อยู่ให้ห่างจากพวกเขาดีกว่า' เย่หยู่โจวคิด
คราวนี้ ดูเหมือนทุกคนจะขออะไรบางอย่างจากภัณฑารักษ์ โดยเฉพาะเย่หยู่โจว แม้ว่าเขาจะได้รับรายงานการประเมินพร้อมคำแนะนำสำหรับการวิวัฒนาการมังกรทะยายเมฆาของเขา แต่ก็มีบางส่วนที่เขาไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากภัณฑารักษ์
คนที่มีความคิดแบบเดียวกันคืออีกาทมิฬ เขาเองก็ต้องการเลื่อนระดับสัตว์วิเศษของเขา จากระดับสี่เป็นระดับห้า ดังนั้นเขาจึงมีคำถามมากมายพอ ๆ กัน
มีเพียงเจียงจื่อฉีเท่านั้นที่ดูเหมือนจะสบายใจในหมู่พวกเขา เขาไม่ได้วิตกกังวลแม้แต่น้อยและเป็นคนใจเย็นที่สุดในบรรดาผู้เยี่ยมชมทั้งหมด
จากนั้นเหอฉิงก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง
คราวนี้ไม่มีผู้เยี่ยมชมใหม่
มีเพียงผู้เยี่ยมชมจากการเปิดครั้งแรกและครั้งที่สองเท่านั้นที่มาที่นี่ แต่เธอไม่ได้คิดมาก นี่อาจเป็นการจัดเตรียมของภัณฑารักษ์
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูเหล็กก็ถูกผลักเปิดออก
ทุกคนเงยขึ้นทันทีและโค้งคำนับเพื่อทักทาย
ภัณฑารักษ์เดินเข้ามา
หลินจินอยู่ในรูปลักษณ์เดียวกันกับเมื่อก่อน เขาสวมหน้ากากและมีออร่าครอบงำ
หลินจินรู้สึกตื่นเต้นพอ ๆ กับผู้เยี่ยมชมโดยไม่รู้ตัว
เขาตั้งตารอสองสิ่ง หนึ่งคือการดูว่าผู้เยี่ยมชมของเขาได้รวบรวมสมบัติที่เขาร้องขอมาหรือไม่ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกระบวนการวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบของเสี่ยวฮั่ว
และสอง มันถึงเวลาที่เขาจะได้เอาคืนเฒ่าเย่
เนื่องจากชายคนนั้นได้จงใจเล่นงานเขาในสมาพันธ์นักบวช เขาจึงตั้งใจใช้โอกาสสอนบทเรียนให้เขา
ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากระบายความหงุดหงิด
หลินจินเหลือบมองไปรอบ ๆ และตระหนักว่าไม่มีผู้เยี่ยมชมรายใหม่เช่นกัน เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ห้องโถงเยี่ยมชมจะนำผู้เยี่ยมชมรายใหม่มาให้
“ภัณฑารักษ์ ในที่สุด ท่านก็มาแล้ว” เป็นอีกครั้งที่เหอฉิงเป็นคนพูดก่อน
เธอเป็นแขกคนแรกของห้องโถงเยี่ยมชมและมีท่าทางร่าเริง เนื่องจากเธอมีเรื่องด่วน เหอฉิงก็ค่อนข้างใจร้อนเช่นกัน
ขณะที่เธอพูด เหอฉิงก็หยิบขวดแก้วในมือของเธอขึ้นมา “ภัณฑารักษ์ นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการจากครั้งที่แล้ว เพื่อวินิจฉัยว่าคำสาปวิญญาณสัตว์ป่า จำเป็นต้องมีตัวอย่างเลือด วันนี้ข้าได้นำมันมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลินจินพยักหน้า เขากางแขนออกและขวดแก้วก็พุ่งเข้าหาเขา
ขวดแก้วนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นของมีค่าที่คนทั่วไปไม่สามารถหามาได้โดยง่าย เลือดข้างในยังคงสดเหมือนตอนที่มันถูกดึงออกมา เมื่อเปิดขวดออก หลินจินเอานิ้วจิ้มเข้าไปในเลือด
สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปทันที
พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์วิเศษรวมถึงคำสาปวิญญาณของสัตว์ป่า ท้ายที่สุด คำสาปเหล่านี้มาจากสัตว์วิเศษระดับสูง
ตัวอย่างเลือดที่เหอฉิงมอบให้นั้นมีคำสาปวิญญาณสัตว์ป่าที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม หลินจินคุ้นเคยกับคำสาปนี้โดยเฉพาะ
พิพิธภัณฑ์มีบันทึกของมัน
มันเป็นคำสาปของหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นชายหนุ่มในตอนนั้น
ต้องเป็นบุคคลเดียวกันแน่นอน
มันเป็นคำสาปเดียวกันกับคนอื่นหรือไม่? หรือเป็นคนเดียวกัน?
หลินจินเริ่มครุ่นคิด
เมื่อเห็นว่าภัณฑารักษ์เงียบลงอย่างผิดปกติ เหอฉิงจึงเริ่มวิตกกังวล
เธอเชื่อมั่นในตัวภัณฑารักษ์เพราะเหอฉิงเชื่อว่าเขาต้องเป็นบุคคลไร้เทียมทาน นั่นคือเหตุผลที่เธอพยายามให้เขาช่วยเหอหยู่ พี่สาวของเธอ
แต่ถ้าภัณฑารักษ์ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยล่ะ
เหอฉิไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์นี้
บางทีอาจเป็นเหมือนที่พี่สาวของเธอพูด คำสาปนี้ไม่มีวันทำลายได้และความตายของเธอก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มันจะต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่งั้นภัณฑารักษ์จะไม่นิ่งเงียบเป็นเวลานานเช่นนี้ มันคงเป็นคำสาปที่ไม่สามารถรักษาได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหอฉิงก็รู้สึกเสียใจ น้ำตาแห่งความสิ้นหวังไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ
“เจ้าร้องไห้ทำไม?” หลินจินถามด้วยความสับสนในเสียงหลังจากสังเกตเห็นน้ำตาของเธอ
ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะกระฉับกระเฉงเหมือนกระต่าย แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงร้องไห้ล่ะ?
ดวงใจของผู้หญิงช่างยากแท้หยั่งถึง
เหอฉิงถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ภัณฑารักษ์ คำสาปของพี่สาวของข้า มันไม่มีวันทำลายได้หรือเจ้าคะ?”
น้ำเสียงของเธอเบาบางมากจนแทบไม่ได้ยิน เนื่องจากเสียงของเธอถูกความเศร้าโศกของเธอกดทับ
หลินจินเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าพี่สาวของเหอฉิงเป็นคนเดียวกับหญิงสาวคนนั้น
แต่เขาไม่เคยพูดว่าไม่มีทางรักษา แล้วเธอร้องไห้ทำไม?
“ข้าบอกว่ามันมันรักษาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลินจินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
คราวนี้เป็นเหอฉิงที่ตกใจ หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ภัณฑารักษ์ก็ไม่เคยยืนยันเรื่องนี้เลย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเธอเท่านั้น
“แล้วเรื่องการรักษาล่ะเจ้าคะ ท่านภัณฑารักษ์…” เหอฉิงพูดตะกุกตะกักเมื่อแสงแห่งความหวังผุดขึ้นในใจเธอ
หลินจินกล่าวว่า "แม้นี่จะเป็นเรื่องยากมาก แต่ก็สามารถรักษาได้"
ประโยคนี้ทำให้เธอสงบลงทันที เหอฉิงเปลี่ยนน้ำตาเป็นเสียงหัวเราะทันที ด้วยเหตุผลบางอย่าง ภัณฑารักษ์เกลี้ยกล่อมเธออย่างง่ายดาย ถ้าเขาบอกว่ามันรักษาได้ มันต้องมีทางอย่างแน่นอน
“อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาเธอ ข้าต้องไปพบพี่สาวของเจ้าด้วยตนเอง” หลินจินเป็นคนซื่อสัตย์ คำสาปวิญญาณสัตว์ป่านี้มีความพิเศษเกินไป แม้แต่วิธีแก้ปัญหาของพิพิธภัณฑ์ก็ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อและต้องใช้เทคนิคการค้นหาชีพจร หลินจินน่าจะเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่รู้เทคนิคนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องไปพบกับผู้ป่วยเป็นการส่วนตัว
เหอฉิงคิดว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น ท้ายที่สุด เหอหยู่ พี่สาวของเธอไม่สามารถเข้ามาในห้องโถงเยี่ยมชมได้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากการสังเกตของข้า พี่สาวของเจ้าน่าจะสบายดีในตอนนี้ เธออาจจะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้”
หลินจินไม่ได้ให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
หลู่ปิ่นมาเพื่อเชิญเขาไปที่เมืองมังกรหยก ในฐานะแขกแต่หลินจินไม่มีเวลาดังนั้นเขาจึงเลื่อนคำเชิญออกไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายสิ้นสุดลงและการแข่งขันสาวกของสมาพันธ์นักบวชจบลง เขาอาจจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อไปรักษาเธอ
เหตุใดเขาจึงกล่าวว่าอาการของพี่สาวของเธอจะดีขึ้นหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขาจะไปจัดการด้วยตัวเอง
เหอฉิงลืมเรื่องทั้งหมดนี้ไป ตัวเธอมีศรัทธาอันแรงกล้าในตัวภัณฑารักษ์ เนื่องจากเขากล่าวว่าตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี เหอฉิงจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ