919 เล่นหมากรุก พูดคุยเรื่องการบ่มเพาะ
919 เล่นหมากรุก พูดคุยเรื่องการบ่มเพาะ
“ดีครับ” หลู่ซิ่วเฟิงพูด “ผมแค่กังวลก็เท่านั้น”
“ไม่ต้องห่วงครับ ตราบใดที่ผมอยู่ที่นี่ เขาก็จะปลอดภัย” เมี่ยวซีเหอพูด น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่หลู่ซิ่วเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นใจจากคำพูดของอีกฝ่าย
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีครับ นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว มันเป็นความผิดของเราที่ทำให้แขกต้องได้รับอันตราย เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ” เมี่ยวซีเหอหันหน้าไปพูดกับเมี่ยวชิงเฟิง
“ชิงเฟิง เธอต้องถูกลงโทษ!”
“ครับ ผู้นำ”
“เอ่อ ผู้นำเมี่ยว เป็นพวกเราเองที่อยากเข้าไปล่าสัตว์ในป่า” หลู่ซิ่วเฟิงรีบพูดขึ้นมา “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้เกี่ยวกับน้องชายเมี่ยวเลยนะครับ”
“ถึงพวกคุณจะเป็นฝ่ายที่อยากออกไปล่าสัตว์ในป่า แต่มันก็เป็นเขาที่ประมาทจนทำให้พวกคุณได้รับบาดเจ็บ” เมี่ยวซีเหอพูด “เขายังถูกขัดเกลาไม่มากพอ”
“ครับ” เมี่ยวชิง้ฟิงก้มหัวรับคำ
“นี่คือกฎของหุบเขา” เมี่ยวซีเหอพูด
“นี่...”
เมื่อได้ยินเมี่ยวซีเหอพูดออกมาแบบนั้น หลู่ซิ่วเฟิงก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“เอาล่ะ ดูแลแขกทั้งสองให้ดี” เมี่ยวซีเหอพูด
เมี่ยวซีเหอเดินออกไปจากบ้านพัก
“ผมต้องขอโทษด้วย น้องชายเมี่ยว” หลู่ซิ่วเฟิงพูด “ผมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ไม่เป็นไรครับ อย่าเก็บมาใส่ใจเลย” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
“ส่วนเรื่องที่ผู้นำเมี่ยวบอกว่าจะลงโทษคุณ” หลู่ซิ่วเฟิงพูด “ถ้าตามกฎของหุบเขาแล้ว คุณจะถูกลงโทษแบบไหนเหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เมี่ยวชิงเฟิงโบกมือและยิ้มให้
“บอกผมมาเถอะครับ” หลู่ซิ่วเฟิงจุดบุหรี่และดึงดันจะเอาคำตอบ
“ตามกฎของหุบเขา ผมจะถูกโบยด้วยไม้ 30 ครั้ง” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
“โบยด้วยไม้?” หลู่ซิ่วเฟิงตกตะลึง “คุณคงจะไม่ได้ถูกโบยด้วยไม้เหมือนอย่างในทีวีใช่ไหม?”
ภาพแบบนั้นมักมีให้เห็นในหนังและละครย้อนยุค มันเป็นภาพของคนที่ถูกลากตัวออกมาและถูกโบยด้วยไม้ท่อนใหญ่นับ 20 ครั้ง
“ใช่ครับ เป็นแบบนั้น” เมี่ยวชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เวรเอ้ย พวกคุณมีบทลงโทษของหุบเขาด้วยงั้นเหรอ? แบบนี้มันผิดกฎหมายนะ”
“มันผิดกฎหมายยังไงเหรอครับ ผู้กองหลู่?” เมี่ยวชิงเฟิงถาม “อย่าหาว่าผมพูดไม่น่าฟังเลยนะครับ แต่นี่เป็นกฎที่มีมานานหลายร้อยปีแล้ว ผู้คนในหุบเขาคิดว่ากฏเหล่านี้คือกฏหมายสำหรับพวกเขา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนในหุบเขาต่างปฏิบัติตามกฎ ที่พวกเขายึดเหนี่ยวมากกว่ากฏกมายของโลกภายนอก”
หลู่ซิ่วเฟิงอึ้ง
“เรากลับเข้าไปดูผู้กองอยางว่าเป็นยังไงแล้วบ้างดีกว่านะครับ”
เมื่อพวกเขาเดินกลับเข้าไปในห้อง พวกเขาก็พบว่า หยางกวนเฟิงได้ลุกออกจากเตียงและเดินไปมาอย่างช้าๆอยู่ภายในห้อง
“เฮ้ย คุณลุกขึ้นมาทำไม?” หลู่ซิ่วเฟิงที่เห็นภาพนั้นก็เป็นกังวลขึ้นมา “นอนลงเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!”
“ไม่เป็นไร ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่ค่อยมึนหัว แค่รู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยเท่านั้น ตอนนอนยังรู้สึกแย่กว่าลุกขึ้นเดินด้วยซ้ำ ผมเลยลุกขึ้นมาเดินไปรอบๆแทน” หยางกวนเฟิงพูด
“พิษชนิดนี้ไม่ถือว่าเป็นพิษในสายตาของผู้นำเมี่ยวด้วยซ้ำครับ” เมี่ยวซีเหอพูด “เขาบอกว่า พิษจะคงค้างอยู่ประมาณสองวัน หลังจากนั้น ผู้กองหยางก็จะดีขึ้นและอาจจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย”
“จริงเหรอ พิษชนิดนี้มีประโยชน์แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย?”
“นั่นเป็นเพราะยาที่ผู้นำใช้รักษานั้นยอดเยี่ยมมาก นอกจากจะช่วยล้างพิษแล้ว มันยังสามารถบำรุงร่างกายและช่วยให้สุขภาพของคนที่ถูกพิษดีขึ้นด้วย แล้วคนในหมู่บ้านของเราก็ยังศึกษาเรื่องพิษอยู่ไม่ไกลจากจุดที่มีสัตว์พิษอยู่ พิษของตะขาบหัวแดงออกจะแปลกอยู่สักหน่อยน่ะครับ และคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ที่ถูกมันกัดเข้า ก็จะแข็งแรงขึ้นหลังจากที่หายดี” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
“จริงเหรอ? วิเศษไปเลย มันทำให้ผมอย่างโดนตะขาบกัดขึ้นมาเลยนะครับ” หลู่ซิ่วเฟิงพูด
“เอ่อ ฤทธิ์บำรุงของมันไม่ได้มากมายอะไรหรอกครับ อย่าทำเลยจะดีกว่า” เมี่ยวชิงเฟิงยิ้ม
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วๆ”
เมี่ยวชิงเฟิงนั่งอยู่ในบ้านพักได้สักพักก็ขอตัวกลับ
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง? บอกความจริงมา” หลังจากอีกฝ่ายออกไปแล้ว หลู่ซิ่วเฟิงก็ถามออกมา
“ผมไม่เป็นอะไร มันดีกว่าตอนที่เราอยู่บนเขามาก” หยางกวนเฟิงพูด
“ผมยังมึนหัวอยู่นิดหน่อย ท้องไส้ปั่นป่วนและรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอ้วก”
“ก็แค่ตะขาบนั่นมาในจังหวะที่บังเอิญเกินไปหน่อย!” เขาถอนหายใจ
“อืม มันบังเอิญมาก” หลู่ซิ่วเฟิงพูด
มันเป็นเรื่องบังเอิญที่พวกเขาถูกตะขาบกัดในตอนที่พวกเขากำลังเดินมุ่งไปข้างหน้า และพยายามขึ้นไปบนเขาลูกนั้น มันเกิดขึ้นในจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็ว เป็นช่วงเวลาที่การสืบสวนของพวกเขากำลังคืบหน้ามากขึ้น
“คุณคิดว่า เป็นฝีมือของเมี่ยวชิงเหอรึเปล่าที่ไม่อยากให้พวกเราเดินหน้าต่อไป?” หลู่ซิ่วเฟิงถาม
“เราไม่รู้ถึงความเป็นไปได้พวกนี้ แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงมาก ในบริเวณนั้นมีสัตว์มีพิษอยู่เป็นจำนวนมาก คล้ายกับเป็นด่านป้องกันสำหรับพวกเขา ตราบใดที่คนแปลกหน้าเข้าไป พวกมันก็จะโจมตีในทันที” หยางกวนเฟิงพูด
ทั้งสองค่อนข้างมั่นใจในข้อสันนิษฐาน ตอนที่พวกเขาอยู่ในป่ามันมีปัญหาอยู่จริงๆ เพราะพวกเขาได้กลิ่นศพลอยมา ทั้งสองเป็นตำรวจมือเก๋า จึงคุ้นชินกับกลิ่นและอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้มาก ดังนั้น บนเขาลูกนั้นจะต้องมีศพอยู่ แต่ไม่แน่ชัดว่าศพเหล่านั้นเสียชีวิตจากสาเหตุอะไรและเป็นเพราะการ “ทดลอง” จริงหรือไม่?
ผมว่า พอคุณหายดีแล้ว พวกเขาก็คงทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พวกเราเข้าไปในเขาลูกนั้น” หลู่ซิ่วเฟิงพูด
“ใช่ บางทีเราอาจจะเจออุบัติเหตุอะไรเข้าอีก ถ้าเราเข้าไปครั้งหน้า”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดี?”
“รอดูไปก่อน เผื่อว่าจะมีข่าวจากทางนั้น”
ไกลออกไปหลายพันไมล์ ภายในบ้านหลังหนึ่งในเขตเหลียนชน
“ตาเฒ่า คุณจะไปที่ไหน?”
“ไปหาเสี่ยวพัน”
“จะไปที่นั่นทำไม?”
“ซื้อยา”
“ซื้อยา ไม่สบายที่ตรงไหนเหรอ?” เมื่อได้ยินที่ชายชราพูด เธอก็รู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมา
“ไม่ได้ไม่สบายที่ตรงไหนหรอก ความจริงผมสบายดีมาก แต่พอดียาที่ผมกินอยู่ใกล้หมดแล้ว ผมก็เลยจะออกไปซื้อมาไว้อีกสักขวดน่ะ” ชายชราพูด
“มันเป็นยาอะไรเหรอ?”
“ซุปเสี่ยวเผยหยวน เป็นยาที่ผลิตในเขตของเรายังไงล่ะ” ชายชราพูด
“แล้วมันได้ผลดีรึเปล่า?”
“ได้ผลสิ ผมกินยาไปได้สองวัน ผมรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นและแข็งแรงขึ้น มันดีกว่าตอนที่ไม่ได้ยามาก” ชายชราพูด
“แต่มันยังเหลืออยู่เกือบครึ่งขวดนะ”
“ผมอยากจะไปซื้อมาเก็บไว้อีกสักขวดสองขวด” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม
ความจริง เดิมทีส่วนหนึ่งที่เขากินยาเป็นเพราะอารมณ์โมโห และไม่อยากทำตามคำพูดของลูกชาน ลูกบอกว่ายานี่ไม่ได้ผลใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะกิน ลูกอยากพาฉันไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ๆใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ไป ในบางครั้ง เมื่อคนเราแก่ตัวลง พวกเขาก็แสดงนิสัยเด็กๆออกมา หรือที่เรียกว่า “เด็กในคราบของผู้ใหญ่”
แต่เขาไม่คิดว่า หลังจากผ่านไปได้สองวัน ยามันจะได้ผลจริงๆ เขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้อย่างชัดเจน ทั้งยังรู้สึกกระฉับกระเฉงและแข็งแรงขึ้นด้วย
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดีดีล่ะ!”
“รู้แล้ว”
ชายชราแต่งตัวเพื่อออกจากบ้านและเดินลงบันไดไป เริ่นเหอคลินิกไม่ได้อยู่ไกบจากบ้านของเขานัก
“เสี่ยวพัน”
“คุณลุง มาที่นี่มีอะไรให้ผมช่วยเหรอคะ?” พันเหมยยิ้มและถาม
“ฉันอยากได้ยาน่ะ”
“ยา? คุณลุงป่วยเหรอคะ?”
“ความจริงฉันไม่ได้ป่วยหรอก แต่เพราะซุปเสี่ยวเผยหยวนที่ผลิตในเขตนี้ ที่ฉันซื้อจากที่นี่ไปใกล้จะหมดแล้ว ฉันก็เลยจะมาซื้อไปอีกสองขวด” ชายชราพูด
“อ่อ ยาตัวนั้นนี่เอง รอสักครู่นะคะ” พันเหมยนำยามาให้เขาสองขวด
“คุณลุงกินยาตัวนี้ไปแล้วได้ผลดีไหมคะ?”
“ได้ผลสิ มันได้ผลดีมากเลยล่ะ” ชายชราพูด
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ” หลังจากได้ยินแบบนั้น พันเหมยก็ยิ้มออก
เธอรู้ความเป็นมาของยาตัวนี้จากน้องชายของเธอ สูตรยาเป็นสูตรทีหวังเย้าคิดขึ้นมา และถูกผลิตขึ้นในบริษัทยาที่เพิ่งเปิดใหม่ในเขตนี้ มันถือได้ว่าเป็นยาใหม่ จนถึงตอนนี้ ในเขตเหลียนชานมีแค่คลินิกของพวกเขาเท่านั้นที่ขายและไม่ได้ราคาแพงหรือถูกจนเกินไป ชายชราคนนี้เป็นลูกค้ารายแรกที่ใช้ยาตัวนี้ เมื่อได้ยินจากปากของอีกฝ่ายว่ายาตัวนี้ได้ผล เธอจึงยินดีมาก
“นี่ค่ะ”
“อ้อ นี่เงิน” ชายชราพูดอย่างอารมณ์ดี
“ฉันไม่คิดเลยว่าเขตของเราจะมีสินค้าที่ไม่เลวแบบนี้ด้วย” ชายชราพูด
“ใช่ค่ะ ถ้าใช้แล้วดี คุณลุงช่วยโฆษณาให้ด้วยได้ไหมคะ?”
“ได้สิ ได้” ชายชรายิ้ม
ห่างไปสิบกว่าไมล์ ในหมู่บ้าน
ภายในบ้านหลังหนึ่ง เจี๋ยจื้อจายกับจงหลิวชวนกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่อสู้กันด้วยหมากบนกระดาน
“บ้าเอ้ย ฉันไม่คิดเลยว่าฝีมือการเดินหมากของศิษย์พี่จะดีขนาดนี้!” เจี๋ยจื้อจายคิดอยู่นานและขยับหมาก
“ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆว่าทำไมถึงได้เล่นโกแบง แทนที่จะเล่นโกะ” จงหลิวชวนยิ้ม
“ศิษย์พี่ อย่าได้ดูถูกโกแบงเชียวนะ มันมีความรู้มากมายอยู่ในนั้น อาจารย์ก็บอกไว้นี่ว่า บางครั้งยิ่งเรียบง่ายก็ยิ่งเชี่ยวชาญได้ยากยิ่งขึ้น”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น จงหลิวชนก็เงียบไป ศิษย์น้องคนนี้ของเขาเรียนการเล่นโกแบงเป็นเพราะมันง่าย และความสามารถในการเล่นโกะของเขามันแย่มากต่างหากล่ะ
“นายแพ้แล้ว” จงหลิวชวนวางหมากของเขาเรียงกันสี่ตัว
“จุ๊!จุ๊!จุ๊! ศิษย์พี่ทำร้ายจิตใจฉันมาก!” เจี๋ยจื้อจายพูด
“ฉันไม่เคยชนะเลยสักครั้ง หรือจะเป็นเพราะยิ่งฝึกฝนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ความฉลาดของเราเพิ่มขึ้นด้วย?” คำพูดนั้น เจี๋ยจื้อจายเคยพูดไปมากกว่าหนึ่งครั้ง
“มันอาจจะใช่ก็ได้” จงหลิวชวนยิ้มหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น
“จริงเหรอ?”
“นายไม่ได้สังเกตเหรอว่าตั้งแต่ที่นายเริ่มฝึกฝนกับเชียนเชิง นายก็คิดอะไรได้เร็วขึ้นและความจำก็ดีขึ้นด้วย” จงหลิวชวนพูด
“จริงเหรอ? ฉันไม่ได้สังเกตเรื่องนั้นเลย” เจี๋ยจื้อจายพูด
“ฉันสังเกตดูแล้ว” จงหลิวชวนยิ้ม
สาเหตุที่เขาให้ความสนใจ เป็นเพราะเขาเริ่มฝึกฝนและก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ค่อนข้างเร็ว ทั้งยังเริ่มอ่านคัมภีร์เต๋าเร็วด้วย ความจริงข้อความในคัมภีร์ทั้งยาวและอ่านยาก และเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนในตอนที่เริ่มอ่านเป็นครั้งแรก แต่ยิ่งการฝึกฝนของเขาไปไกลมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกว่าการอ่านคัมภีร์ราบรื่นขึ้นตามไปด้วย และเขายังจดจ่อได้ง่ายขึ้นด้วย แม้จะเป็นเนื้อหาที่เขาไม่คุ้นเคยก็ตามที จากนั้น เขาก็ลองอ่านเนื้อหาอย่างอื่นดู และพบว่าการจดจำของเขาดีขึ้น ถึงมันจะไม่ใช่ภาพจำ แต่มันก็จดจำได้ดีขึ้นมาก
“ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ความทรงจำก็ดีขึ้นด้วย ทั้งยังสามารถยืดอายุได้ โอ้โห ศิษย์ว่า เชียนเชิงกำลังสอนวิธีเป็นอมตะให้พวกเราอยู่รึเปล่า?” เจี๋ยจื้อจายยิ้ม
“ถึงเราจะไม่ได้เป็นอมตะ แต่ฉันก็คิดว่า ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเรา มันเป็นไปได้ที่เราจะมีอายุเกินร้อยปีโดยไม่เจ็บไม่ป่วย” จงหลิวชวนพูด