ร้านไวน์เทพเซียน ตอนที่ 122 ปลุกกายาศักดิ์สิทธิ์ของลู่ซูหลัน
ร้านไวน์เทพเซียน ตอนที่ 122 ปลุกกายาศักดิ์สิทธิ์ของลู่ซูหลัน
“ขานเย่ เจ้าออกไปจากหอกลั่นก่อน เนื่องจากเจ้าไม่สามารถรับมือกับการตื่นขึ้นของกายาชาดศักดิ์สิทธิ์เพลิงขจีของศิษย์พี่ของเจ้าได้ด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้า” จิ่วเซินพูดด้วยน้ำเสียงสงบขณะที่เขาหันไปมองขานเย่ เมื่อลู่ซูหลันปลุกกายาศักดิ์สิทธิ์ของนางซึ่งเป็นกายาธาตุไฟนางจะสร้างเปลวไฟที่รุนแรงไหลเวียนไปทั่วร่างกายของนาง แม้ว่าเปลวไฟที่ดุร้ายนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อนาง แต่ไม่ใช่กับคนรอบข้าง นั่นเป็นเหตุผลที่จิ่วเซินบอกให้ขานเย่ออกจากหอกลั่นไปก่อน
สีหน้าของขานเย่เปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น เขาก้มศีรษะให้อาจารย์และออกจากหอกลั่น
ลู่ซูหลันที่กําลังกลั่นกรองประสิทธิภาพของโอสถเพลิงดาราสีชาด แม้ว่าสีหน้าจะดูสงบ แต่นางกําลังประสบกับความรู้สึกเดือดพล่านไปทั่วร่างกายของนาง มันเจ็บปวดอย่างแน่นอน แต่นั่นเป็นสัญญาณว่ากายาชาดศักดิ์สิทธิ์เพลิงขจีของนางกําลังตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ
จิ่วเซินนั่งไขว้ขาอยู่ต่อหน้าลู่ซูหลันและรอการตื่นขึ้นของนาง นี่เป็นเพียงส่วนแรกของการฟื้นศักยภาพที่แท้จริงของนางและจิ่วเซินยังคงต้องช่วยนางปรับสมดุลธาตุน้ำลธาตุไฟในร่างกายของนาง ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากเนื่องจากธาตุทั้งสองนั้นเป็นปรปักษ์กัน
นางสามารถเลือกจะต่อต้านธาตุน้ำแข็งในร่างกายของนางได้อย่างสมบูรณ์ แต่นางกลับเลือกอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อให้มันยังคงอยู่และปรับสมดุลกับธาตุไฟแทน ด้วยเหตุนี้ความเร็วในการบ่มเพาะของนางจะลดลงเพราะตัวเลือกนี้ แต่สิ่งที่ดีคือพลังอำนาจของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณหากนางสามารถควบคุมธาตุทั้งสองได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้สิ่งที่น่ากังวลเมื่ออาจารย์ของนางเป็นยอดฝีมือในด้านการปรุงโอสถ ไม่ว่าความเร็วในการบ่มเพาะของนางจะช้าแค่ไหน ด้วยโอสถเม็ดและการชี้แนะของจิ่วเซินจะช่วยให้นางเติบโตด้วยความรวดเร็วอย่างแน่นอน
นางรู้เพียงเล็กน้อยว่ามาตรฐานการปรุงโอสถของจิ่วเซินนั้นราวกับขยะในอาณาจักรเทพบรรพกาล อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต
“อ่า~”
ลู่ซูหลันปล่อยเสียงครวญครางอู้อี้ออกมาขณะที่นางกัดฟันเพราะความเจ็บปวดอันแสนสาหัส แต่เสียงร้องอย่างกะทันหันของนางก็สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่งเพราะมันฟังดูน่าดึงดูด
ดวงตาของจิ่วเซินยังคงสงบเงียบราวยกับไม่มีระลอกคลื่นใดกระทบ สีหน้าของเขายังคงไม่แยแสราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย
ร่างของลู่ซูหลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเนื่องจากธาตุไฟภายในร่างกายของนางยังคงไหลเวียนในระดับที่น่ากลัว นี่คือผลของโอสถเพลิงดาราสีชาดมันจะทำการเสริมสร้างธาตุไฟให้กับร่างกาย
เปลวไฟสีแดงเข้มค่อย ๆ ห่อหุ้มร่างกายของนางและผิวหนังของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการไหลเวียนของธาตุไฟ
“อ๋า~”
“อ๋า~”
นางปล่อยเสียงครวญครางออกมาเป็นระยะ ๆ แต่มันฟังดูประหลาดในเวลาเดียวกัน ใบหน้าสีแดงที่แฝงความเจ็บปวดของนางทําให้ดูแปลกตายิ่งขึ้นไปอีก
ลู่ซูหลันเช็ดใบหน้าซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อเนื่องจากความรู้สึกแสบร้อนที่นางได้รับ เสื้อผ้าของนางค่อย ๆ ถูกเผาไหม้หลังจากที่มันสัมผัสกับเปลวไฟที่ปกคลุมร่างกายของนาง
ฟรึ่บ
เปลวไฟสีแดงเข้มรอบ ๆ ลู่ซูหลันกลับทวีความรุนแรงขึ้นและสีหน้าแสนเจ็บปวดของนางก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
“อ๋า~”
ฟรึ่บ ฟรึ่บ
หลังจากถูกเปลวไฟสีแดงเข้มห้อมล้อม เสื้อผ้าของลู่ซูหลันก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด
‘แย่แล้ว! อาจารย์และศิษย์น้องยังอยู่ที่นี่!’
นางคิดกับตัวเองขณะที่อารมณ์ของนางปั่นป่วนจากความอับอายที่เพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดแล้วนางเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ที่ไม่เคยใกล้ชายใด ดังนั้นนางจึงไม่อยากถูกด้วยความเปลือยเปล่า แม้ว่านางจะไม่รังเกียจหากมันคนผู้นั้นเป็นอาจารย์ของนาง...
เมื่อความคิดเหล่านั้นปรากฏขึ้นในหัวของนาง นางรู้สึกขายหน้ามากขึ้น แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของจิ่วเซินได้คลายความกังวลของนาง
“ข้าให้ศิษย์น้องของเจ้าออกไปจากหอกลั่นก่อนแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลกับสิ่งอื่นใด เจ้าต้องทำเพียงแค่กลั่นกรองประสิทธิภาพของโอสถเพลิงดาราสีชาดต่อไป”
หลังจากได้ยินเช่นนั้นลู่ซูหลันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อนางตระหนักว่าตอนนี้ร่างกายที่เปลือยเปล่าของนางกําลังแสดงให้อาจารย์เห็นอย่างหมดจน เปลวไฟสีแดงเข้มรอบร่างกายของนางก็คํารามอย่างรุนแรงราวกับว่ามันได้รับผลกระทบจากอารมณ์ที่ปั่นป่วนของนาง เหตุการณ์พลิกผันที่รุนแรงนี้ทวีความรุนแรงขึ้นความเจ็บปวดที่นางรู้สึกก็เพิ่มขึ้นตาม
“อ๋า~”
“อ๋า~”
คราวนี้ดวงตาของจิ่วเซินกระตุก ไม่ว่าอาณาจักรหัวใจจะสูงเพียงไหนเขาก็สามารถเมินเฉยต่อสิ่งเร้าเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์
“เฮ่อ... เจ้าเด็กโง่คนนี้” เขาพึมพําด้วยรอยยิ้มและลุกขึ้นยืน
เมื่อมองดูร่างเรือนร่างที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของลูกศิษย์ มันก็คงเป็นเรื่องโกหกหากเขาบอกว่ามันไม่ส่งผลกระทบต่อเขา เขารีบปลดปล่อยแก่นแท้ของเขาเพื่อทําให้หัวใจของเขาสงบลงและขยับเข้าใกล้ลู่ซูหลันมากขึ้น
เขาวางแผนที่จะปล่อยให้ลู่ซูหลันปลุกกายาศักดิ์สิทธิ์ของนางด้วยตัวเอง แต่ด้วยสภาพจิตใจในปัจจุบันของนางมีแนวโน้มว่านางอาจจะล้มเหลวและทําร้ายตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยนางหมุนเวียนธาตุไฟในร่างกายของนาง
ตึก ตัก ตึก
ร่างของลู่ซูหลันสั่นไหวเมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยและอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นทันทีเผยให้เห็นแววตาที่ยั่วเย้าของนางซึ่งตอนนี้มีสีแดงเข้ม
“ท่าน... อาจารย์-” เสียงเย้ายวนใจที่สั่นไหวของนางสะท้อนราวกับเสียงกระซิบของไซเรน อาจทำให้บุรุษคนอื่น ๆ กระโจนเข้ามากัดกินนางในทันที แต่จิ่วเซินยังคงสงบและไม่แยแสเช่นเคย
ลู่ซูหลันจ้องมองไปยังใบหน้าที่มีเสน่ห์ของท่านอาจารย์ของนาง ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าที่เข้มงวด ในที่สุดนางก็ตระหนักว่านางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ ส่งผลให้เกิดทุกสิ่งแย่ลงกว่าเดิม นางรู้สึกละอายใจในใจที่ล้มเหลวจากความคาดหวังของอาจารย์
“ไม่ต้องเคลื่อนไหว ทำการหมุนเวียนธาตุไฟในร่างกายของเจ้าต่อไป ข้าจะช่วยเจ้ากลั่นกรองประสิทธิภาพของโอสถที่เหลือ แต่เจ้าต้องกำรอบกายาชาดศักดิ์สิทธิ์เพลิงขจีของเจ้าเอง” เสียงของจิ่วเซินเข้มงวดมากขณะที่เขาตําหนิลู่ซูหลัน
ลู่ซูหลันพยักหน้าอย่างเขินอายและค่อย ๆ เอนตัวใกล้จิ่วเซิน จากนั้นนางก็รู้สึกว่ามืออันอบอุ่นของจิ่วเซินได้แตะแผ่นหลังของนางและแก่นแท้ที่ผ่อนคลายของเขาได้กลั่นกรองโอสถเพลิงดาราสีชาดจนไหลเวียนไปทั่วร่างกายของนาง
“มีสมาธิด้วยซูหลัน” จิ่วเซินพูดอย่างเคร่งขรึมทําให้ลู่ซูหลันจดจ่ออยู่กับการปลุกกากยาศักดิ์สิทธิ์ของนางอย่างเชื่อฟัง
ด้วยความช่วยเหลือของจิ่วเซินกระบวนการกลั่นโอสถก็ง่ายขึ้นมากเช่นกันและภาระของลู่ซูหลันก็เบาลงมาก
เปลวไฟสีแดงเข้มได้ปกคลุมร่างของทั้งสองภายในหอกลั่น จิ่วเซินได้ควบคุมแก่นแท้ของเขา เขาให้ความสนใจครึ่งหนึ่งในการปกป้องตนเองจากเปลวไฟของลู่ซูหลันในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งกําลังไหลเวียนโอสถเพลิงดาราสีชาดไปทั่วร่างกายของลู่ซูหลัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะสงบและไม่แยแสแค่ไหนจิ่วเซินก็ยังคงรู้สึกแสบร้อนอยู่ภายในใจเมื่อเขาสัมผัสแผ่นหลังที่นุ่มนวลของลู่ซูหลัน ริมฝีปากของเขาสั่นไหวเมื่อเขาพบว่ามันยากที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองเนื่องจากต้องแบ่งความสนใจออกไป แต่อาณาจักรหัวใจขอบเขตที่ 3 ใจไม่หวั่นดั่งขุนเขา ได้ช่วยตนเองในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้
ตอนนี้ลู่ซูหลันสามารถสัมผัสได้ว่ากายาศักดิ์สิทธิ์ของนางกําลังจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงใช้แก่นแท้ของนางเพื่อเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น ทําให้นางรู้สึกถึงพลังของกายาชาดศักดิ์สิทธิ์เพลิงขจีอยู่ลาง ๆ
“นี่คือพลังที่แท้จริงของกายาศักดิ์สิทธิ์!” นางอุทานในใจขณะที่เปลวไฟสีแดงเข้มรอบตัวนางเผาไหม้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น หากไม่ใช่เพราะระบบได้เสริมการป้องกัน หอกลั่นก็คงเต็มไปด้วยรอยไหม้
เคี๊ยก!
นกนภาชาดที่ดูสง่างามไร้ตัวตนค่อย ๆ ปรากฏต่อหน้าลู่ซูลัน มันเปล่งเสียงร้องที่แหลมคมขณะที่มันกระพือปีกอย่างรุนแรง ราวกับพยายามหลบหนีจากที่กําบังของมัน
“ควบคุมมัน อย่าปล่อยให้มันหลบหนี นี่คือการตอบสนองของกายาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าและนี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการปลุกมัน” จิ่วเซินพึมพําขณะที่เขาเหลือบมองร่างของนกนภาชาดโปร่งแสง มันเป็นสัตว์อสูรโบราณของจริงที่มีพลังที่สามารถโค่นล้มสวรรค์ได้ เขาเคยคนที่มีกายาประเภทนี้ในอาณาจักรเทพบรรกาลและแต่ละคนมีพลังอำนาจจนเปลวไฟของพวกเขาสามารถเผาไหม้โลกทั้งใบให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้!
คี๊กกกก!!
ดวงตาของลู่ซูหลันกะพริบขณะที่ยกมือขวาของนางขึ้นต่อหน้าสัตว์อสูรโบราณที่ดิ้นรน จากนั้นนางก็พึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง
“ปราบปราม!”
โซ่สีแดงเข้มหลายสิบเส้นได้ปรากฏขึ้นต่อหน้านางและขังตัวเองไว้กับนกชาดนภาปิดกั้นทางหนีของมัน
ความดุร้ายในดวงตาที่ไร้ตัวตนของสัตว์อสูรโบราณได้ลดลงและเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงเมื่อมันส่งเสียงเจี๊ยบเบา ๆ
เจี๊ยบ-
ลู่ซูหลันยิ้มและรู้สึกโล่งอยู่ภายในใจ ในที่สุดนางก็ปลุกกายาศักดิ์สิทธ์ของนางให้ตื่นขึ้นได้สมบูรณ์!
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีนางก็ตระหนักว่ามือที่อบอุ่นของอาจารย์ของนางยังคงกดแผ่นหลังของตนอยู่ ทําให้นางปล่อยเสียงครวญครางโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อ๋า!”
เสียงร้องที่น่าตกใจของนางทําให้จิ่วเซินตกตะลึง ดังนั้นเขาจึงรีบดึงมือของเขากลับและมองไปยังแผ่นหลังของนางด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดนางก็ปลุกกายาศักดิ์สิทธิ์ให้เขามีความสุขในใจอย่างเงียบ ๆ
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าลู่ซูหลันและพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ “เจ้าไม่คิดจะใส่ชุดเลยหรือ”
ลู่ซูหลันรีบปิดบังร่างกายด้วยมือของนาง แต่หน้าอกของนางใหญ่เกินไปที่จะปิดบัง ด้วยเหตุนี้การกระทําของนางทําให้นางดูน่าดึงดูดและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก
“ท-ท่านอาจารย์ ข้า- ข้าไม่มีเสื้อผ้าในมิติเก็บของอีกแล้ว...” เสียงของนางดังก้องอยู่ในหอกลั่นและจิ่วเซินที่ดูเคร่งขรึมก็ยิ้มออกมาในขณะที่เขาหัวเราะเบา ๆ
‘ผู้หญิงโง่คนนี้ นางสามารถใช้แก่นแท้ปิดบังได้ แต่นางกลับไม่ทำ... เฮ่อ’
จิ่วเซินถอดเสื้อผ้าส่วนบนของเขาเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและดูสวยงาม จากนั้นก็เดินเข้าหาลู่ซูหลันและคลุมร่างกายของนางด้วยเสื้อผ้าของเขา เขาสามารถให้เสื้อผ้าในต่างหูมิติของเขาแก่นางได้ แต่นั่นจะทําให้นางอายยิ่งขึ้นไปอีก มันเล็กเกินไปจริง ๆ แต่เขาก็ยังตัดสินใจทําเช่นนั้น ท้ายที่สุดลู่ซูหลันเป็นลูกศิษย์คนแรกของเขา
ลู่ซูหลันจ้องมองไปยังร่างกายส่วนบนที่เด่นชัดของอาจารย์อย่างตั้งใจ ทําให้ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม นางไม่เคยเห็นร่างเปลือยของผู้ชายมาก่อน แต่นางมั่นใจว่าไม่มีผู้ชายคนใดสามารถเทียบได้กับอาจารย์ของนางในแง่ของรูปร่างหน้าตาและอารมณ์ ไม่ต้องพูดถึงระดับการบ่มเพาะที่ลึกซึ้งของเขาด้วยซ้ำ
“เจ้ารอก่อนนี่ก่อน ข้าจะบอกให้ขานเย่เรียกเฮสเทียมา” จิ่วเซินลูบหัวนางด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นขณะที่เขามองไปยังใบหน้าขี้อายของนาง เขาจะไม่รู้ความรู้สึกของศิษย์ผู้นี้ได้อย่างไรกัน