ตอนที่แล้วอาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 109 อวดดี!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปอาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 111 ยืมเงิน?

อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 110 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' เข้าถล่มโรงภาพยนตร์!


***ตอนนี้ฟรีอีกตอนนะครับ ชดเชยอีก 2 ตอนที่แปลไม่ทัน...***

ตอนที่ 110 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' เข้าถล่มโรงภาพยนตร์!

การลงนามกับธนาคารเป็นไปอย่างราบรื่น

ไมค์ลงนามในเอกสารของธนาคารและก็ได้รับเงินมาเป็นจำนวน 6 ล้านดอลลาร์

เงินจำนวนนี้ไมค์ได้จัดทำแผนอย่างละเอียดแล้ว

ซึ่งเขาก็กำลังมองหาสายการผลิตโทรทัศน์หรือโรงงานที่จะสามารถทำความร่วมมือกับเขาได้

แน่นอนว่าคำสั่งซื้อหลายสิบล้านรายการ มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาผู้ที่สามารถผลิตโทรทัศน์ให้เขาเยอะขนาดนี้ได้

และยังต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของเขาด้วย

ซึ่งไมค์อยากจะสร้างโรงงานให้เสร็จภายในหนึ่งปี และจะต้องทำกำไรให้ได้ในปีที่สองด้วยกำลังผลิตที่ 400,000 ชุดต่อปี และหากขายโทรทัศน์ได้กำไรชุดละ 30 ดอลลาร์ตลอดเวลา

มันจะทำให้เขาได้กำไรต่อปีที่ 12 ล้านดอลลาร์และการลงทุนทั้งหมดของเขาก็จะได้คืนมาอย่างรวดเร็ว

ส่วนการแสดงที่นิวยอร์คแกรนด์เธียเตอร์ตอนนี้ก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากเช่นกัน และผลตอบรับก็ดีมากเป็นพิเศษเพราะมีคนดังอีกสองสามคนมาที่นี่ และป้ายโฆษณาที่หน้าประตูก็เปลี่ยนไปเป็น จูดี้ การ์แลนด์ มัสคูลี่ และจอห์นนี่ ฟอนเทน

ซึ่งรายชื่อเรานี้มีชื่อเสียงมากกว่าโรบิน เลยทำให้ดึงดูดผู้คนให้เข้าโรงละครได้มากกว่า

นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงบางคนจากชนชั้นสูงในนิวยอร์กเช่นรองนายกเทศมนตรีของนิวยอร์ก สมาชิกสภา ประธานธนาคาร และผู้สื่อข่าวจากนิวยอร์กไทม์สก็มาในคืนนี้ด้วย

ทำให้คืนนี้มีผู้ชมมากกว่า 3,000 คนมาที่นี่

การแสดงเริ่มที่การเปิดตัวของโรบิน

แรกเริ่มเดิมทีเขาควรจะเป็นนักร้องรับเชิญและควรจะเป็นดาวเด่นในคืนนี้ แต่ต่อหน้าดารารุ่นใหญ่อย่างจูดี้ การ์แลนด์ เขานั้นเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้นและทำได้แค่มาแสดงเปิดงานก่อน

ต่อไปก็เป็นผู้ดำเนินรายการขึ้นมาบนเวทีเพื่อแนะนำเกี่ยวกับภาพยนตร์

มีการเอนเตอร์เทนเล็กน้อยในเวลาดังกล่าว

จากนั้นแขกรับเชิญก็ขึ้นแสดงบนเวทีทีละคน ทำให้งานคืนนี้สนุกขึ้นไปอีก

ซึ่งการแสดงครั้งสุดท้ายก็คือของเอวา การ์ดเนอร์ที่จะมาร้องเพลง 'Scarborough Fair'

และผู้ชมก็คิดว่า

ถึงจะมีดาราดัง 2 คนอย่างจูดี้ การ์แลนด์ มัสคูลี่ขึ้นร้องเพลงก่อนเธอ

แต่เอวาก็ไม่ได้ด้อยกว่าทั้งสองเลย มันเป็นการร้องเพลงที่ไพเราะอย่างมาก

เสียงของเธอนั้นดีจนพวกเขาเคลิ้มไปเลย

และเอวายังมีรูปร่างทีดูดีกว่าทั้งสองคนนั้นอีก

เพราะถึงแม้ว่าจูดี้ การ์แลนด์จะเป็นดาราภาพยนตร์ที่โด่งดัง แต่เธอก็มีฉายาว่า ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ เพราะเธอนั้นไม่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นถ้าเทียบกับดาราในฮอลลีวูด

การแสดงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ได้จบลง พร้อมกับเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นจากผู้ชม

หลังจากที่ผู้ชมคนออกไปฮาร์ดี้และไมค์ก็ได้มาที่หลังเวทีเพื่อแสดงความขอบคุณต่อจูดี้ การ์แลนด์ มัสคูลี่ และจอห์นนี่ ฟอนเทน

จูดี้ การ์แลนด์ยิ้มและพูดว่า "คุณฮาร์ดี้ ฉันได้ยินมาว่าคุณมีบริษัทภาพยนตร์เป็นของตัวเองและยังเป็นผู้จัดการของโนอาห์ด้วยใช่ไหม? หากคุณมีบทบาทที่เหมาะสมได้โปรดพิจารณาฉันด้วยนะคะ"

"ฮ่าๆ คุณจูดี้ที่ได้รับรางวัลออสการ์และยังเป็นคนที่เมเยอร์ให้ความสำคัญ คุณยังต้องการความช่วยเหลือจากผมเหรอ?" ฮาร์ดี้ยิ้ม

"ฮิฮิ ไม่มีนักแสดงคนไหนที่ไม่อยากได้บทดีๆ แบบนี้หรอกนะ และก็ไม่มีนักร้องคนไหนอยากพลาดเพลงดีๆ เหมือนกับ เอวาที่ร้องเพลง 'Scarborough Fair' ด้วย ฉันชอบเพลงนี้มากเลย ฉันฟังมันถึง 12 ครั้งแล้ว" จูดี้ การ์แลนด์กล่าว

"เอาล่ะ! คุณจะเป็นคนแรกที่ผมคิดถึงเมื่อมีบทบาทที่เหมาะสมสำหรับคุณการ์แลนด์ในอนาคต" ฮาร์ดี้พูดด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นฮาร์ดี้ก็ขอบคุณมัสคูลี่อีกครั้ง

ส่วนจอห์นนี่ ฟอนเทนนั้นกำลังพูดคุยกับไมค์อยู่

ซึ่งทั้งสองเป็นลูกชายของเจ้าพ่อมาเฟีย

แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงไม่ธรรมดา

และยังมีโรบินที่ยืนอยู่ข้างๆ แม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า

แต่เขาก็ดูเกร็งเล็กน้อยและดวงตาของเขาก็กำลังสั่นอยู่

เขารู้จักจอห์นนี่ ฟอนเทนดี

จากนั้นเขาก็เดาตัวตนของไมค์ได้

เขาคิดเกี่ยวกับทั้งสองคนและเรื่องเมื่อคืน...

เขารู้แล้วว่าใครมาข่มขู่เขา

คนเหล่านี้ไม่มีความปรานีใครจริงๆ ถ้าต้องการให้ใครตาย

ซึ่งเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วยความกลัว และก็หวังว่าพวกเขาจะพอใจกับการแสดงของเขาและปล่อยเขาไป

ไมค์แนะนำจอห์นนี่ ฟอนเทนให้ฮาร์ดี้รู้จัก

"เขาคือจอห์นนี่ ฟอนเทนลูกทูนหัวของพ่อวีโต้"

"และนี่ทอม ฮาร์ดี้คู่หู่ของผม"

ฮาร์ดี้และฟอนเทนจับมือกัน จอห์นนี่ ฟอนเทนก็กล่าวว่า "ฮาร์ดี้ นี่เป็นคำขอจากใจฉันจริงๆ ฉันอยากเข้าสู่งวงการแสดงและได้ถ่ายทำภาพยนตร์สักเรื่อง ถ้าหากคุณมีโอกาสโปรดพิจารณาฉันด้วย ถึงมันจะเป็นบทบาทสนับสนุนก็ตาม"

ฮาร์ดี้เข้าใจแล้ว

เรื่องทั้งหมดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าพ่อมาเฟียเพราะไม่อย่างนั้น จอห์นนี่ ฟอนเทนและจูดี้ การ์แลนด์จะมาที่นี่ทำไม?

บุคคลสำคัญทั้งสองนี่ที่มาแสดงที่นี่ก็เพราะจะได้ไว้หน้าเจ้าพ่อมาเฟีย

เพราะพวกเขาจะมาช่วยโปรโมทภาพยนตร์โดยไม่มีเหตุผลทำไม?

ซึ่งฮาร์ดี้ก็ประทับใจจอห์นนี่ ฟอนเทนมาก

ในภาพยนตร์เรื่องเจ้าพ่อมาเฟีย ฟานเทนได้ขอให้พ่อทูนหัวช่วยหาบทภาพยนตร์ให้ เพราะต้องการพัฒนาวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ให้ก้าวหน้ามากกว่าเดิม

พ่อทูนหัวจึงขอให้ใครบางคนไปคุยกับหัวหน้าบริษัทภาพยนตร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้พูดคำหยาบ ดูถูกครอบครัวคอร์เลโอเน

และปฏิเสธพวกเขาโดยการบอกว่าเขานั้นมีเรื่องต้องทำที่วอชิงตัน

จากนั้นหัวหน้าบริษัทภาพยนตร์ก็ได้ซื้อม้าตัวหนึ่งในราคาหกแสนดอลลาร์

ไม่นานศีรษะของม้าก็ปรากฏขึ้นบนเตียงของเขา

ฮาร์ดี้ประทับใจฉากนี้ในหนังมาก

"ไม่มีปัญหา! บริษัทภาพยนตร์ของผมจะเปิดตัวภาพยนตร์จำนวนมากในอนาคต และเมื่อมีบทบาทที่เหมาะสม ผมจะโทรหาคุณในเวลานั้น" ฮาร์ดี้กล่าว

ฮาร์ดี้รับปากเพราะเขารู้ดีว่ามันคงจะดีถ้าเอาภาพยนตร์เรื่อง 'Singin in the Rain' มา

เพราะทั้งจอห์นนี่ ฟอนเทน และจูดี้ การ์แลนด์ก็เกิดมาเพื่อร้องเพลงอยู่แล้ว

ซึ่งการร้องเพลงและการเต้นรำจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา

แถมพวกเขายังมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ดังนั้นมันเหมาะมากที่จะให้ทั้งสองได้แสดงในภาพยตร์เรื่องนี้

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่เขาดูคือ ‘City of Philharmonic’

ในส่วนของเพลงก็แค่ให้มืออาชีพเป็นคนเขียน เพราะในฮอลลีวูดมีคนเก่งๆ หลายคนที่แต่งเพลงได้

วันต่อมา

เดอะนิวยอร์กเดลี่ได้ตีพิมพ์ข่าวไว้ว่าทีมถ่ายทำภาพยนตร์ 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' ได้มาที่นิวยอร์กเพื่อโปรโมตภาพยนตร์และได้มีแขกรับเชิญคือจูดี้ การ์แลนด์ มัสคูลี่ จอห์นนี่ ฟอนเทนและคนอื่นๆ ได้ขึ้นแสดงบนเวทีเมื่อคืนนี้

ซึ่งหนังจะออกฉายในเร็วๆ นี้จึงทำให้มันได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

แถมยังมีการโฆษณาทางวิทยุอีก

หลังจากจัดการเรื่องในนิวยอร์กเสร็จ ฮาร์ดี้ก็กำลังจะกลับไปที่ลอสแอนเจลิส

ก่อนที่เขาจะจากไป

เขาก็ไปหาทีมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ลีออง

เพื่ออำลาเทย์เลอร์ ซึ่งเธอก็ไม่เต็มใจที่จะให้ฮาร์ดี้จากไป

และการกลับไปที่ลอสแอนเจลิสของฮาร์ดี้ครั้งนี้ ก็มีพนักงานของโรงงานโทรทัศน์ที่ถูกส่งมาโดยไมค์พร้อมกับผู้จัดการและหัวหน้างานสามคน

พวกเขาจะไปหาซื้อกิจการโรงงานที่ผลิตโทรทัศน์ในลอสแอนเจลิส และก่อตั้งบริษัทมิโบสาขาลอสแอนเจลิสขึ้น

เอ็ดเวิร์ด และแอนดี้มาที่สนามบินเพื่อรอรับพวกเขา

ซึ่งทีมถ่ายทำภาพยนตร์จะกลับไปกับเอ็ดเวิร์ด

และพนักงานของบริษัทมิโบจะไปกับแอนดี้เพื่อที่จะได้ช่วยพวกเขาหาซื้อโรงงานโทรทัศน์ในลอสแอนเจลิส

ทันทีที่ฮาร์ดี้กลับถึงบ้าน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากเมเยอร์ "ฉันได้ยินว่านายกลับมาแล้ว  ฉันจึงโทรมาบอกว่าการโฆษณาที่นิวยอร์กมันดีมากจริงๆ"

เมเยอร์ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโฆษณากับสิ่งที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กแล้ว

เดิมทีโรบินต้องการใช้ประโยชน์จากทีมงานเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ฮาร์ดี้ได้โทรออกไปหาใครบางคน

ทำให้วันรุ่งขึ้นเขามาขอโทษและยังมีกลุ่มดารารับเชิญมาร่วมแสดงในคืนนั้นอีกด้วย

เขายังได้ยินมาอีกว่า ฮาร์ดี้ได้จัดตั้งธุรกิจกับคนอื่นในนิวยอร์กด้วยเงินลงทุนหลายสิบล้าน

ซึ่งเมเยอร์นั้นไม่ได้คาดหวังว่าฮาร์ดี้จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาระดับนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

"มันก็ไม่เลว ฉันได้คนสองสามคนมาช่วย และก็ยังได้ออกข่าวในหนังสือพิมพ์อีก" ฮาร์ดี้ยิ้ม

"การโปรโมทจบลงแล้ว ต่อไปจะเป็นการนำภาพยนตร์ออกไปฉาย ซึ่งตอนนี้มันกำลังผลิตอยู่และรอที่จะส่งไปยังสถานที่ต่างๆ และนายคิดว่าวันไหนที่เราจะเปิดตัวภาพยนตร์ดีล่ะ?" เมเยอร์ถาม

"ตอนนี้มันคือช่วงเวลาสำคัญ นายคิดว่าเราต้องดูฤกษ์ด้วยไหม?" ฮาร์ดี้กล่าว

"ฤกษ์คืออะไร?" เมเยอร์ไม่เข้าใจว่าฮาร์ดี้หมายถึงอะไร

ฮาร์ดี้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบาย "โอ้ มันก็คล้ายกับการทำนายทางโหราศาสตร์"

"แล้วนายเชื่อในเรื่องนี้ใช่ไหม?"

"ฉันเชื่อในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับตัวเอง" ฮาร์ดี้นั้นยึดถือรูปแบบความคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวจีน

ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้า สัตว์ ก็จะถูกใช้ด้วยตัวเขาเอง

"โอเค...ผมจะรอฟังข่าวของคุณ"

หลังจากวางสายฮาร์ดี้ก็ขับรถไปที่บริษัทประมูล เพื่อไปหาหยวนเหลานักประเมินของเก่าจากจีน

เขาอาจจะรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์

ดังนั้นไปถามเขาน่าจะดี

ฮันเยจินประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นฮาร์ดี้ "นี่นายกลับมาจากนิวยอร์กแล้วหรือ?"

"แล้วคุณคิดถึงผมหรือเปล่า?" ฮาร์ดี้ยิ้ม

ฮันเยจินมองไปที่ฮาร์ดี้อย่างว่างเปล่าและไม่สนใจการหยอกเย้าของเขา "ทำไมเราไม่ไปดูของโบราณที่พึ่งเข้ามาล่ะ? ทุกวันนี้จะมีเครื่องลายครามจากจีนหลายสิบชิ้นเข้ามา และเรายังได้รับการติดต่อกับชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขามีงานศิลปะอยู่หลายชิ้นจากครอบครัวของชาวเยอรมันที่จากไปแล้ว และมันก็ส่งต่อมาที่เขาในภายหลัง ในตอนนี้เขาต้องการหาผู้ซื้อรายใหญ่ที่จะเหมามันไป"

"เขากล่าวว่างานศิลปะชุดนี้ประกอบด้วยภาพวาดสีน้ำมันหลายร้อยภาพ รวมถึงผลงานชิ้นเอกของโมเนต์ แวนโก๊ะ ปิกัสโซ่และงานศิลปะอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าเราตกลงกับเขาได้จะทำให้เราสามารถซื้อคอลเลกชั่นชุดนั้นมาอยู่กับเราได้"

ยุโรป?

งานศิลปะจำนวนมาก?

สืบทอดมาจากมรดกของตระกูล?

“เยจิน เธอต้องระวังไว้ด้วยเมื่อได้ติดต่อกับเขา เธออาจจะเจอคนหลอกลวงอยู่ อย่าลืมตรวจสอบของเหล่านั้นก่อนที่จะชำระเงินออกไป” ฮาร์ดี้กล่าว

"ฉันจะระวัง!" ฮันเยจินตอบกลับเขา

"แล้วอาจารย์หยวนอยู่ที่นี่หรือเปล่า ?" ฮาร์ดี้ถามอีกครั้ง

"นายมองหาคุณหยวนทำไมเหรอ?"

"ฉันจะมาให้เขาดูฤกษ์สักหน่อยนะ"

อาจารย์หยวนไม่เข้าใจในปฏิทินสีเหลืองนี้เลย เขาเพียงคำนวณและกล่าวออกไปมั่วๆ ว่า "ในวันที่ 30 วันที่ 21 ของปฏิทินจันทรคติ มันเหมาะมากที่จะเปิดตลาด จ่ายเงินเพื่อซื้อของ เสียสละ สวดภาวนา ซึ่งทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีและมันยังเป็นวันเสาร์ด้วย มันเป็นวันแห่งการพักผ่อนที่ผู้คนอาจจะใช้เวลาออกมาดูภาพยนตร์และออกมาข้างนอก" //WTF//

"ซึ่งตอนนี้มันมีเวลาอีกสามวัน ผมเลยอยากถามคุณว่าเวลาแค่นี้พอหรือไม่?" หยวนเหลากล่าวกับฮาร์ดี้

เปรี้ยง!

ฮาร์ดี้ตบมือ

"ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว และแค่สามวันมันก็ไม่นานหรือสั้นไปนัก" ฮาร์ดี้พูดด้วยรอยยิ้ม

เขาพอใจมากกับวันที่ชายชราเลือก

ฮาร์ดี้จึงโทรหาเมเยอร์และบอกเขาว่าเลือกวันเวลานี้

ซึ่งเมเยอร์ก็คิดว่าวันที่ 30 เป็นวันดีเหมือนกัน

ฮาร์ดี้คุยกับฮันเยจินสักพัก เขาก็หันไปมองที่เครื่องลายครามที่มาใหม่ในโกดัง และก็หันไปพูดกับฮันเยจินว่า "ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ฉันลงทุนไปใกล้เปิดตัวแล้ว เธอจะมาดูภาพยนตร์ของฉันหรือเปล่า?"

ฮันเยจินลังเล

เธอไม่ได้เปิดใจกว้างเหมือนสาวฝรั่ง

เธอมักจะรู้สึกว่าการที่ชายหญิงไปดูภาพยนตร์ด้วยกันนั้น…

มันไม่ใช่สิ่งที่คู่รักเขาทำกันเหรอ?

เธอกำลังจะบอกเขาว่าจะไปดูหนังของเขากับคนอื่นๆ  เพราะว่ากลัวใครจะเข้าใจผิด

แต่เมื่อคิดว่าหนังเรื่องนี้ถูกลงทุนโดยฮาร์ดี้ เธอก็คิดว่าคงไม่เป็นไร "ฉันจะไปที่โรงภาพยตร์เพื่อดูหนังของนายในตอนที่มันเปิดตัวแล้ว"

ฮาร์ดี้จึงบอกลาเธอและจากไป

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา โรงภาพยนตร์มากกว่า 300 แห่งในสหรัฐอเมริกาได้ติดโปสเตอร์สำหรับการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' เรียบร้อยแล้ว

และจากการโฆษณาก่อนหน้านี้ หลายคนจึงตั้งตารอคอยกับการเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้

ที่โรงหนังไชน่าทาวน์ในลอสแอนเจลิส

เอาวาสวมชุดเรียบง่ายที่มีผ้าพันคอและเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์พร้อมกับคล้องแขนฮาร์ดี้

วันนี้เป็นวันเปิดตัวภาพยนตร์ ‘นักฆ่าเพชรตัดเพชร’

และตอนนี้ในโรงภาพยนตร์ที่นั่งก็เต็มหมดแล้ว

เมื่อทั้งสองเห็นว่ายอดขายตั๋วนั้นดีมาก เอวาก็ยิ้มและพูดกับฮาร์ดี้ว่า "ฉันเชื่ออยู่แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะขายได้!"

ฮาร์ดี้พยักหน้า "ฉันก็เชื่อมันกับภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนกัน"

ภาพยนตร์ได้เริ่มฉาย

มันเปิดตัวขึ้นด้วยตัวอักษร HD ขนาดใหญ่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของหน้าจอ

มันดูเหมือนภูเขาสองลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

หนังเริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยเสียงผิวปาก

โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมาก

มันเต็มไปด้วยเรื่องราว และความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง

ผู้ชมหลายคนจึงติดใจ

เมื่อคำบรรยายถูกฉายจบ เอวาก็เปิดตัวออกมาและร้องเพลง scarborough fair ทำให้ผู้ชมที่กำลังจะออกไป

เดินกลับมานั่งฟังเพลงนี้อีกครั้ง พร้อมกับปรบมือเมื่อเพลงได้จบลง

มีการฉายภาพยนตร์ไป 5 ครั้งแล้วสำหรับวันแรก

ถ้านับตามสถิตินี้ อัตราการเข้าชมอาจจะสูงถึง 90% และอัตราการเข้าชมเฉลี่ยอาจจะอยู่ที่ 80% ของวันที่สองและวันที่สาม

สิ่งนี้เป็นอัตราการเข้าชมที่สูงมากๆ

เมเยอร์โทรหาฮาร์ดี้อย่างมีความสุข

"ขอแสดงความยินดีด้วยฮาร์ดี้หนังของนายได้ประสบความสำเร็จแล้ว และนายรู้ไหมว่าตั๋วที่ขายได้ในสามวันนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่?"

"เท่าไหร่?"

"1.32 ล้านดอลลาร์ มันเป็นตัวเลขที่สูงมากเลยรู้ไหม! และจากรายงานของยอดขายตั๋วในวันนี้ ฉันคาดว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนเราอาจจะทำเงินได้ถึง 6.5 ล้าน หรือ 7 ล้านดอลลาร์ ถ้ามันไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นซึ่งปีที่แล้วอินกริด โบวแมนได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง 'Unrest Love' และภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ทำเงินไปได้ 7.5 ล้านดอลลาร์ มันยังเป็นภาพยนตร์ที่ขายตั๋วออกไปได้มากที่สุดอีกแต่ในตอนนี้ฉันคิดว่าภาพยนตร์ 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร ของนายจะมียอดขายตั๋วมากกว่าเรื่องนั้นซะอีก!"

ฮาร์ดี้รู้ว่าภาพยนตร์เรื่อง 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' ได้ใช้เงินไป 200,000 ดอลลาร์ในปีนั้น และทำยอดขายตั๋วได้ 14.5 ล้านดอลลาร์

แต่ในช่วงเวลานี้ที่ยอดขายตั๋วที่ 7 ล้านดอลลาร์ มันก็น่าจะมีค่าเป็นสองเท่าของเมื่อช่วงเวลา 20 ปีในอนาคต

และถ้าดูจากราคาทุนของภาพยนตร์ จำนวนเงินที่ 7 ล้านดอลลาร์

ฮาร์ดี้ก็คิดว่าเขายอมรับมันได้

ซึ่งตอนนี้เขาคำนวณมันในใจ

ถ้าไม่รวมส่วนแบ่งของการตลาดและค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

เขาจะได้กำไรราวๆ 2 ล้านดอลลาร์

ในความเป็นจริง

ในมุมมองของฮาร์ดี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าลงทุนนัก

มันต้องใช้เงินทุนเยอะ เวลาสร้างที่ยาวนาน และก็ความไม่แน่นอนของภาพยนตร์

ซึ่งมันมีอัตราล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ

และด้วยความทรงจำของเขาที่มาจากในอนาคต

เขาสามารถสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาได้เร็วกว่า การมาทำภาพยนตร์พวกนี้ซะอีก

และเหตุผลอะไรที่เขาเข้าสู่วงการภาพยนตร์?

อืม...

ไม่ใช่เพราะผู้หญิงอย่างแน่นอน

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด