Ep.240 - หวงหยุนหลง
3/4
Ep.240 - หวงหยุนหลง
“ฮ่ง!”
“เจ้านาย!”
“เปิ่นหวังมาแล้ว!”
ฮัสกี้ถูกเรียกตัวออกมา
มันสะบัดขนสุนัขอย่างกระฉับกระเฉง
เดิมหวังเอ๋อมีหน้าที่ดูแลการผลิตที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมมังกรฟ้า แต่เพราะมันรู้ว่ามีเหตุฉุกเฉินที่นี่ จึงเข้าไปในมิติสัตว์วิญญาณ แล้วถูกฮังอวี่เรียกออกจากมิติสัตว์วิญญาณอีกที ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่ามันจะอยู่ไกลแค่ไหนก็สามารถกลับมาอยู่เคียงข้างฮังอวี่ได้ในทันที
หมาหวังเอ๋อยืดคอดมกลิ่น
พยายามสัมผัสถึงกลิ่นอายของแขกไม่ได้รับเชิญ
แต่ไม่นาน ฮัสกี้พลันหดคอราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ชักฝีเท้าถอยไปหลายก้าว แสดงท่าทีตกใจเหมือนกับมนุษย์ รีบแหงนหน้ามองเจ้านายแล้วพูดว่า “ฮ่ง เจ้านาย มีบางอย่างผิดปกติ”
ฮังอวี่เอ่ยถาม “ฝ่ายตรงข้ามมีเยอะงั้นหรอ?”
“ไม่เยอะ แค่สองคน”
“คนแรกมีพลังรบในเลเวล 6 อันนี้ถือว่าสมเหตุสมมผล”
“แต่อีกคนพลังรบระดับเดียวกับโนมส์นักกลั่นโพชั่นมนตรา เอาจริงๆเขาแข็งแกร่งกว่าโนมส์นักกลั่นซะอีก .... แต่กลิ่นอายกลับไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป มันแปลกจริงๆ”
โนมส์นักกลั่นโพชั่นมนตราคือระดับเจ้าถิ่นขั้นซิลเวอร์เลเวล 7!
ฮังอวี่ไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ในแง่ระดับพลังรบของตัวเองเขาค่อนข้างมั่นใจ
แน่นอน เรื่องเลเวล 7 แม้จะหายาก แต่ในเจียงเฉิงที่มีประชากรนับสิบล้านคน การที่จะมีเลเวล 7 ปรากฏตัวขึ้นซักคนสองคนก็อาจเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หวังเอ๋อบอกว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่แค่มีเลเวล 7 แต่ยังมีพลังรบอยู่ในระดับเจ้าถิ่นขั้นซิลเวอร์?
ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหมอนี่จะแฮ็ค ไม่อย่างนั้นในระยะเวลาสั้นๆไม่มีทางครอบครองพลังรบดังกล่าว ขนาดฮังอวี่พยายามแทบตายยังอยู่แค่ชนชั้นยอดขั้นโกลด์เท่านั้นเอง
ฮังอวี่มองไปทางซูเจิ้งเฉิงและลูกสาวของเขา
พ่อลูกคู่นี้ดูหน้าเสียเช่นกัน
ซูเจิ้งเฉิงรีบอธิบายเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
“พวกมันคงสะกดรอยตามฉันมาจนเจอที่นี่”
“เลเวล 6 ที่น้องชายสุนัขบอกน่าจะเป็นคนสกุลหวง”
“ส่วนอีกคนยังไม่แน่ใจ แต่พิจารณาจากการตัดสินใจอาละวาดของหวงหยุนหลงในช่วงที่ผ่านมา พวกเราคาดการณ์ไว้แล้วว่าคงมีตัวตนที่ร้ายกาจและทรงพลังอยู่เบื้องหลังเขา ... แต่พลังรบระดับเจ้าถิ่นขั้นซิลเวอร์เลเวล 7 นี่มันจะเวอร์ไปหน่อยไหม? ได้ไงกัน? คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่น่ามีตัวตนที่ทรงพลังขนาดนี้ปรากฏขึ้นได้!”
ฮังอวี่เอ่ยอย่างเฉยเมย “จมูกของหวังเอ๋อไม่มีทางผิดพลาด”
ฮัสกี้เห่า “ใช่แล้ว ถ้าพวกคุณไม่เชื่อจมูกของเปิ่นหวัง ก็เท่ากับไม่เชื่อใจเปิ่นหวังด้วย!”
ซูหยุนปิง หลินหลาน เฉารุ่ยที่อยู่ไม่ไกล ต่างตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง แสดงว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมากันแค่สองคน
แต่เกรงว่าพวกเธอคงรับมือไม่ไหว
“ผมพอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหวงหยุนหลงถึงก้าวร้าวขนาดนี้ เป็นเพราะเขาพบผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่นึกไม่ถึงนี่เอง ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดสมเหตุสมผลแล้ว” ฮังอวี่ลูบคางพลางครุ่นคิด “เอาล่ะ พวกนายไปหลบในห้องก่อน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็น”
ฮังอวี่ขอให้เฉารุ่ยกับหลินหลานสองคนไปแยกตัวออกไป
ทั้งคู่เป็นแค่เลเวล 5 และแทบไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
เพราะสุดท้ายแล้วที่นี่คือโลกจริง หากพวกเขาตายจะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้
คุณกำลังสงสัยว่าทำไมฮังอวี่ถึงใส่ใจพวกเขาใช่ไหม?
ไร้สาระน่า!
พวกเขาเป็นคนของซูหยุนปิง!
ซึ่งในไม่ช้าจะกลายเป็นคนของฮังอวี่!
เป็นเจ้านายก็ควรใส่ใจลูกน้องของตัวเองนี่ ถูกไหม?
เฉารุ่ย หลินหลานเผยท่าทีลังเล แต่ซูหยุนปิงพยักหน้าให้ ทั้งคู่จึงยอมถอยกลับเข้าไปในห้อง
“ถ้าหวงหยุนหลงมีพลังรบที่แข็งแกร่งขนาดนั้นคอยหนุนหลังอยู่จริงๆ” ซูเจิ้งเฉิงแนะนำ “ฉันว่าพวกเราไม่มีทางเอาชนะมันได้ ทำไมไม่ถอยแล้วหาที่หลบภัยก่อน?”
ฮังอวี่ส่ายหัว
ประตูห้องหลักถูกเปิดออกในขณะนี้
เห็นแค่เพียงเด็กสาวตัวน้อยที่มีผมสีเงินสลวย เธอสวมหมวกเดินออกมาจากห้องอย่างเขินอาย และเมื่อเห็นคนแปลกหน้าอย่างซูหยุนปิ ซูเจิ้งเฉิง เธอก็ยิ่งประหม่า
“ให้เราเสี่ยวไป๋ช่วย!”
เธอพูดภาษาจีนกลางได้แล้ว แต่การออกเสียงดูเคอะเขินเลยฟังดูแปร่งๆ
ซูหยุนปิง ซูเจิ้งเฉิงสบตากัน สีหน้าของพวกเขาเผยท่าทีสงสัยเล็กน้อย
หรือว่านี่คือน้องสาวที่ฮังอวี่เคยพูดถึง?
ดูไม่เหมือนฮังอวี่เลยสักนิด
แต่สิ่งที่ซูหยุนปิงไม่รู้ก็คือ เสี่ยวไป๋เป็นพลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของฮังอวี่ ตั้งแต่ตอนข้ามมิติมาเธอก็อยู่ในเลเวล 7 แล้ว ทุกวันนี้เธอกินไปเยอะมาก เพื่อเติมเต็มพลังงานวิญญาณอย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้พลังรบเริ่มแก่กล้าขึ้นกว่าเดิม
หวงหยุนหลงกล้ามาฆ่าพวกเขาด้วยจำนวนแค่ 2 คน
เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจมาก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าฝ่ายของฮังอวี่นั้นอันตรายแค่ไหน
ความสามารถของเสี่ยวไป๋ไม่ได้ต่ำกว่าบุคคลลึกลับที่มากับหวงหยุนหลง
ฮังอวี่โบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณให้ปล่อยมนุษย์ปลาชาลู่ที่ถูกพันธนาการไว้ จากนั้นเรียกราชินีมดและส่งมันเข้าไปในห้องใกล้ๆ ขณะเดียวกันก็สั่งเสี่ยวไป๋
“เธอคอยลอบสังเกตเการณ์จากด้านข้าง”
“อย่าลงมือโดยไม่จำเป็นหรือไม่ได้รับคำสั่งจากฉัน”
“เดี๋ยวฉันจะไปเจอพวกมันก่อนเพื่อดูสถานการณ์”
เสี่ยวไป๋เชื่อฟังคำสั่งของฮังอวี่ เธอพยักหน้าและถอยกลับเข้าไปในห้องทันที
ตอนนี้เหลือเพียงฮังอวี่ หวังเอ๋อ พ่อลูกตระกูลซู และในตอนนั้นเอง ประตูด้านนอกลานบ้านเปิดออก ร่างสองร่างปรากฏขึ้น
หนึ่งในนั้นสวมชุดเกราะหนัก มีหมวกเหล็กบนหัว ถือโล่ในมือซ้าย ดาบในมือขวา สภาพราวกับนายพลจากสนามรบในสมัยโบราณ ใบหน้าอันแสนคุ้นเคยนี้บ่งบอกว่าเขามิใช่ใครอื่น เป็นหวงหยุนหลง
ข้างๆหวงหยุนหลงติดตามมาด้วยชายคนหนึ่งที่แต่งตัวต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนๆสวมเสื้อคลุมกว้างปกปิดร่างกายมิดชิด บนหัวสวมหมวกและหน้ากากบดบังใบหน้า มือขวาถือไม้เท้ายาวที่ทำจากกระดูกสีขาว
ทั้งคู่ไม่ได้เร่งรีบ
คล้ายกับว่ากำลังเดินอยู่
ค่อยๆเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่เห็นศัตรูเบื้องหน้าอยู่ในสายตา
“เฮ้อ! เหล่าซูนายนี่ลื่นเป็นปลาไหลจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ถึงดิ้นหลุดมือไปได้ครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็หนีฉันไม่พ้น”
“นอกจากนี้ ฉันต้องขอชมเชยว่านายได้ให้กำเนิดลูกสาวที่ยอดเยี่ยม สามารถฆ่าคนของฉันไปตั้งมากมาย”
หวงหยุนหลงเผยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรมากๆ เป็นรอยยิ้มของเพื่อนที่คบกันมาหลายปี จ้องมองไปยังสองพ่อลูกตระกูลซู เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบราวกับว่าเป็นแค่การสนทนาธรรมดาๆ
ซูเจิ้งเฉิงเผยสีหน้าบูดบึ้ง “นี่นายต้องการไล่ต้อนพวกเราจนตายไปข้างเลยรึไง?”
“เหล่าซู พวกเรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว เอาจริงๆฉันถือว่านายเป็นเพื่อนจริงๆ” หวงหยุนหลงถอนหายใจและกล่าวว่า “แม้พวกเราต้องแตกหักกันไปข้างเพราะเดินทับเส้นทางกัน แต่เห็นแก่มิตรภาพของพวกเราในอดีต ฉันยินดีให้โอกาสนายมีชีวิตต่อไป”
ซูเจิ้งเฉิงไม่ได้พูดอะไร
เขามองไปที่หวงหยุนหลงอย่างเย็นชา
เขารู้ดีถึงนิสัยของอีกฝ่าย
ผู้ชายคนนี้จะไม่ยอมปล่อยเขาไปเด็ดขาด
โอกาสที่เขาเสนอต้องมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ยอมรับไม่ได้
หวงหยุนหลงพูดตามที่เขาคาดไว้ไม่ผิด “แต่ก่อนอื่น นายต้องลาออกจากตำแหน่งรองประธานและยุบทีม ข้อสอง นายต้องให้หยุนปิงแต่งงานกับจื่อหมิง ถ้าทำแบบนี้ พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน เปลี่ยนจากศัตรูกลายเป็นมิตรได้”
ซูเจิ้งเฉิงจะยอมรับคำขอเช่นนี้ได้อย่างไร?
เงื่อนไขแรกเท่ากับเป็นการบอกให้ซูเจิ้งเฉิงให้ยอมแพ้
เงื่อนไขที่สองไม่มีอะไรมากไปกว่าการคิดฮุบขุมกำลังและทรัพยากรของซูหยุนปิง
“ฉันรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะยอมรับ แต่นายไม่มีทางเลือกอื่น”
“วันนี้ด้วยความร่วมมือระหว่างฉันกับจื่อหมิง จะไม่มีใครรอดชีวิตไปได้!”
“เหล่าซู นายน่าจะรู้จักฉันดี ว่าฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง!”
“มีชีวิตต่อหรือยอมตาย เลือกเอา!”
หวงจื่อหมิง?
ชายประหลาดที่สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่และปกปิดใบหน้า
แท้จริงแล้วคือลูกชายของหวงหยุนหลงอย่างงั้นหรือ?
หวงจื่อหมิงคือคนดังในเน็ตในช่วงแรกๆ
อย่างไรก็ตาม พลังรบของชายผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ คาดว่าอยู่ในระดับเดียวกับเหลียงชิวและเหลียงตง แล้วเขาสามารถกลายเป็นผู้ทรงพลังขนาดนี้ได้ยังไง?
ฮังอวี่สอดส่ายสายตาอย่างระมัดระวัง
หวงจื่อหมิงไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่บนร่างเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดกระจายอยู่ทั่วตัว
มีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นกับเขา อาจเป็นได้รับโชคก้อนใหญ่จากการผจญภัย หรือไม่ก็ .... เอาเป็นว่ามีความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ยังไม่แน่ใจในตอนนี้ คงต้องสู้กันถึงจะได้รู้
ซูเจิ้งเฉิง ซูหยุนปิงมองหน้ากัน
พ่อลูกเข้าใจกันโดยปริยาย ก้าวออกไปข้างหน้า
ซูหยุนปิงหยิบคทาออกมา ซูเจิ้งเฉิงหยิบกระบี่หนักออกมาและตั้งท่าต่อสู้
“เหล่าซู นายเป็นคนไม่เด็ดขาด ไม่โหดเหี้ยมพอ”
“ถ้าปล่อยสมาคมโลกวิญญาณสาขาเจียงเฉิงให้นายดูแล องค์กรของพวกเราคงยังไม่เป็นระบบระเบียบต่อไปเหมือนเดิม”
“ดังนั้น เพื่ออนาคตของสมาคมโลกวิญญาณ วันนี้ในฐานะเพื่อน ฉันจะแก้ปัญหานี้ให้จบลง”
กล่าวถึงจุดนี้ รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงหยุนหลง
“จื่อหมิง ร่วมมือกับพ่อ!”