เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 262
ตอนที่ 262
หอสวรรค์จุติมีอายุมากกว่าหมื่นปี แม้ว่าในปัจจุบันมันจะไม่สมบูรณ์อยู่บ้างและยังไม่สามารถฟื้นคืนความรุ่งเรืองในครั้งอดีตกลับมาได้ แต่การจะเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อยเช่นนั้นย่อมไม่มีทางจะเป็นความจริง
คนทั้งหลายต่างพยักหน้าเห็นด้วย ดูเหมือนว่าเหตุที่เขายังไม่เข้ามายังชั้นที่สามของหอคอยนั้นจะเป็นเรื่องอื่น
.............
โลกภายนอก ทางเข้าของแดนลึกลับสั่นไหวอีกครั้ง อาวุโสมากมายต่างปลดปล่อยพลังวิญญาณของตนออกมา ด้วยต้องการรู้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้ใดที่ถูกส่งมาจากด้านในแดนลึกลับอีกครั้ง
ผู้พิทักษ์ของราชวงศ์อมตะไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้บ่นในใจได้
ผู้พิทักษ์คนก่อนหน้าถูกเปลี่ยนตัวมาได้พักใหญ่แล้ว และหากมันยังคงทำหน้าที่อยู่ มันผู้นั้นคงจะเสียสติเป็นแน่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ราชวงศ์อมตะส่งคนมาเปลี่ยนเช่นนี้
มันรู้ดีว่าสถานการณ์ที่นี่เป็นเช่นไร ก่อนที่แดนลึกลับจะเปิดตัวขึ้น มันคิดว่านี่เป็นงานที่ยอดเยี่ยม ทว่า เมื่อมันได้ยินขาวลือว่าตนเองจะถูกส่งมาทำหน้าที่แทนคนที่อยู่เดิม หัวใจของมันก็มิอาจสงบลงได้
มันถูกส่งมาที่นี่เพื่อปกป้องเช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าในความเป็นจริงมันแค่ถูกส่งมาเพื่อคอยรับใช้บรรดาอาวุโสทั้งหลายเสียมากกว่า
อย่างไรก็ดี ราชวงศ์อมตะได้ควบคุมทางเข้าออกอื่นๆ ของแดนลึกลับไว้ทั้งหมดแล้ว หลังจากมีอัจฉริยะจำนวนมากของพวกมันตกตายลง พวกมันก็ส่งคนเข้าไปใหม่อีกครั้ง หวังว่าพวกรุ่นเยาว์ที่ถูกส่งเข้าไปจะมิได้ตกตายลงเร็วนัก ใช่ไหม?
“มิใช่ว่านั่นคืออัจฉริยะของราชวงศ์อมตะ ยู่ซวนเทียนหยูหรอกหรือ?”
ใครบางคนที่มีสายตาแหลมคมจดจำมันได้ในทันที
ผู้พิทักษ์ของราชวงศ์อมตะแทบจะสิ้นสติ นี่มันนับว่าเป็นหายนะเสียแล้ว
เหล่าอาวุโสมากมายมองไปยังผู้พิทักษ์ของราชวงศ์ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ได้ยิ้ม ราชวงศ์อมตะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันให้ผู้คนทั้งเก้าอาณาเขตไปแล้ว และพวกมันมิได้ใส่ใจอีกว่าจะเสียหน้าเพียงใด ผู้พิทักษ์ของราชวงศ์พุ่งเข้าไปและนำดวงวิญญาณของยู่ซวนเทียนหยูออกมา ไม่จำเป็นต้องถามว่าผู้ใดเป็นคนสังหารมัน ทุกคนย่อมคาดว่าคำตอบควรเป็นเช่นทุกที
“เฮ้อ ช่างน่าสงสาร” อาวุโสผู้นำตระกูลหนึ่งมีสีหน้าเศร้าเสียใจ
“น่าสงสารอันใด? มิใช่อัจฉริยะของเจ้าเสียหน่อยที่ตกตายลง”
มองเห็นใบหน้าไร้ความสุขของอาวุโสผู้นั้น ใครบางคนก็เอ่ยขัดขึ้นมา
“ช่างน่าเสียดาย ราชวงศ์อมตะได้รับรางวัลครั้งใหญ่ทั้งที ช่างเถิด พวกเราจะแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้และมอบของกำนัลให้แก่ราชวงศ์อมตะเอง” หลังจากกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของอาวุโสก็กลับกลายเป็นยินดี พร้อมรอยยิ้มบางเบา
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะมีปฏิกิริยาขึ้น เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่แน่นอนว่าเป็นการเยาะเย้ยราชวงศ์อมตะอย่างร้ายกาจ
คนของราชวงศ์มองไปรอบด้านอย่างเจ็บปวด บัดซบ พวกมันมิได้ต้องการรับของกำนัลเพราะมีอัจฉริยะของตนตกตายลงแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเอง วิญญาณสีม่วงดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ทุกคนหันความสนใจที่มีให้ราชวงศ์อมตะก่อนหน้าไปยังดวงวิญญาณที่มาใหม่ในทันที
ก่อนที่ใครจะทันได้เอ่ยคำใด ท้องฟ้าก็มืดมนลง ปราณวิญญาณสีม่วงทำให้ทั่วทั้งท้องนภาปั่นป่วน เมฆดำทมิฬปกคลุมไปด้วยทุกสารทิศ ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันมหาศาลก็ท่วมทับลงมา ทำให้เหล่าอาวุโสทั้งหลายปล่อยกลิ่นอายของตนออกมาปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลัง
“เซียนน้อยสีเซียว ใครบังอาจสังหารเจ้า?” เสียงอันยิ่งใหญ่ดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า คลื่นปราณม่วงกวาดผ่านไปทั่วบริเวณ เป็นบรรพบุรุษตระกูลสีที่ก้าวออกมาจากห้วงมิติและปรากฏอยู่เบื้องหน้าดวงวิญญาณของสีเซียว จากนั้นปราณม่วงจำนวนมากก็หลั่งไหลเข้าไปยังดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ ดวงตาของบรรพบุรุษตระกูลสีกวาดผ่านผู้คนทั้งหลายราวกับคมดาบ
ผู้คนทั้งหมดพลันไร้คำพูด นี่มิใช่ผู้อาวุโส หากแต่เป็นบรรพบุรุษของตระกูลสีมาด้วยตนเอง เขาถือว่าเป็นตัวตนในระดับเดียวกันกับบรรพบุรุษของตระกูลหยิง ไม่มีใครทราบว่าเขามีชีวิตมาเนิ่นนานเพียงใด
“เป็นคนที่น่าสนใจยิ่งผู้หนึ่ง ข้าได้ค้นพบโอกาสที่จะเลื่อนขั้นก็เพราะเขา” สีเซียวเอ่ยขึ้นเบาๆ ดวงตาของเขามองไปยังท้องฟ้า เผชิญหน้ากับอาวุโสมากมาย ทว่าไม่มีความกลัวปรากฏอยู่ในนั้น
นี่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลหยิงอดมิได้ที่จะเอ่ยปาก
“หืม เจ้าหนูคนนี้ออกมาโดยที่วิญญาณยังครบสมบูรณ์ หรือว่าเขาออกมาด้วยความสมัครใจ?”
ยอดฝีมือในระดับบรรพบุรุษตระกูลหยิงนั้นสามารถจะมองทะลุร่องรอยเกี่ยวกับความลับของสวรรค์ได้ เขาเห็นสถานการณ์ทั้งหมดของสีเซียวได้เพียงปรายตามองผ่านคราเดียว
เมื่อเหล่าอาวุโสทั้งหลายได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างเร่งมองไปยังสีเซียวทันที
“เขาสังหารเจ้า?” กลิ่นอายรอบตัวบรรพบุรุษตระกูลสีนั้นไม่มั่นคงนัก ราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“มิใช่ เป็นข้าเองที่ฆ่าตัวตาย”
หลังจากสีเซียวกล่าวจบ ผู้คนทั้งหลายก็ชะงักไปทันที ฆ่าตัวตาย?
ต้องรู้ก่อนว่ามีคนมากมายเพียงใดในอาณาเขตทั้งเก้านี้ที่ต้องการเข้ามายันแดนลึกลับแต่มิอาจจะกระทำได้ และต้องอาศัยความโง่งมบัดซบเพียงขนาดไหนจึงได้เลือกจบชีวิตของตนลงในดินแดนที่เต็มไปด้วยโอกาสมหาศาลเช่นนั้น?
กลิ่นอายรอบกายบรรพบุรุษตระกูลจางหายไป ดวงตาของเขาปรากฏความสับสนขึ้น
ก่อนจะได้เอ่ยคำได้ ความเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารก็บังเกิดขึ้น กระเรียนวิญญาณที่ไม่ปรากฏตัวมากว่าพันปีโบยบินผ่านมาเป็นทิวแถว และเศษเสี้ยวหลากสีก็ร่วงหล่นลงมา
อสูรวิญญาณนับพันพุ่งมาจากทั่วทุกทิศทาง ราวกับพวกมันค้นพบบางสิ่ง ก่อนที่พวกมันจะเริงระบำกลางท้องฟ้าและปลดปล่อยพลังชีวิตจำนวนมหาศาลออกมา
พลังแห่งธาตุทั้งห้าคล้ายถูกชักนำมายังที่แห่งนี้ ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นมังกรห้าธาตุและพุ่งเข้าไปยังดวงวิญญาณของสีเซียว กลิ่นอายที่ทะลักออกมาทำให้บรรพบุรุษตระกูลสีหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาพลวงตาของบันไดสวรรค์สีม่วงปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ภายใต้สายตางุนงงของทุกคน สีเซียวก้าวขึ้นไปบนบันไดสวรรค์นั้น แต่ละก้าวที่เหยียบเดิน พลังชีวิตและเศษเสี้ยวหลากสีพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา ทำให้ดวงวิญญาณนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นราวกับจะกลายเป็นกายเนื้อปกติ
เมื่อกระเรียนวิญญาณปรากฏ อสูรวิญญาณจากทั่วฟ้าดินก็ต่างแสดงท่าทางยินดียิ่ง ด้วยธาตุทั้งห้าแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่เป็นรากฐานของกายเนื้อ เขาก้าวเดินบนบันไดสวรรค์สีม่วงและได้รับกายแห่งสรวงสวรรค์มา!
บรรพบุรุษตระกูลสีหัวเราะออกมาดังลั่น
“เซียวเอ๋อร์กระทำได้ถูกต้องแล้ว ที่ผ่านมาชีวิตของเขาราบรื่นจนเกินไป เขาจำเป็นต้องพ่ายแพ้เสียบ้างเพื่อปลุกกายแห่งสรวงสวรรค์ขึ้น เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ นับว่าตระกูลสีของข้าได้รับโชคมหาศาลแล้ว”
ผู้คนต่างจนคำพูดในทันที ก่อนหน้านี้ใครบางคนทะยานมายังที่แห่งนี้ด้วยจิตสังหารล้นฟ้า ราวกับต้องการจะสังหารผู้คนให้ตกตายลงทั้งหมด
ทว่า พลังที่สีเซียวได้รับนั้นก็ทำให้ผู้คนมากมายอิจฉาริษยา
อสูรวิญญาณแต่ละตัวที่มารวมกันในตอนนี้แค่เพียงตัวเดียวก็สามารถทำให้พวกเขาบรรลุผ่านแดนปราณได้ เหล่าเศษเสี้ยวหลากสีก็สามารถใช้เพิ่มระดับการบ่มเพาะ ถ้าหากได้รับพลังชีวิตก็สามารถนำมาชำระล้างให้กลายเป็นเม็ดโอสถ เทียบเท่ากับการได้มีชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งครั้ง
บ้างแทบไม่อาจยั้งตัวเองมิให้เคลื่อนไหวได้ แต่เมื่อมองเห็นบรรพบุรุษตระกูลสีที่คอยปกป้องทายาทของตนเองอยู่ ก็ทำได้แต่ต้องถอยออกมาอย่างจำยอม
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็จางหายไป สีเซียวกลับกลายเป็นดักแด้ที่ดูคล้ายรังไหมซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดูอบอุ่นและสบายคล้ายบ้านออกมา
บรรพบุรุษตระกูลสีสะบัดมือคราหนึ่งและหายตัวไปพร้อมกับดักแด้รังไหมนั้น
“เหล่าตระกูลที่เก็บตัวอยู่คงเปิดเผยตนเองในเร็ววันนี้” เหล่ายอดฝีมือต่างถอนหายใจ ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึงแล้ว
เรื่องของสีเซียวทำให้ผู้คนทั้งหลายอยู่ไม่สุขมิใช่น้อย พวกเขาต่างแปรเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับแดนลึกลับไป มิจำเป็นต้องอยู่รอดจนจบก็ได้เพื่อจะให้ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่มา
ยอดฝีมือแดนก่อตั้งจิตของราชวงศ์อมตะคิดว่าเหตุใดอัจฉริยะมากมายของพวกมันตกตายลงแต่ไม่มีสักคนที่แข็งแกร่งขึ้นจากการถูกสังหารในครั้งนี้ พวกมันทั้งหลายมีแต่สภาพอันย่ำแย่ทั้งสิ้น
เหตุใดเหล่าอัจฉริยะที่แท้จริงจึงมาจากตระกูลอื่นทั้งนั้น?
..................
ในเวลาเดียวกัน ที่ชั้นสองของหอสวรรค์จุติ มังกรสีแดงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ว่ามันผ่านไปที่ใด ทุกสรรพสิ่งกลับกลายเป็นเพียงเศษธุลี ร่างที่กำลังจ้องมองมังกรไฟตนนั้นเผยใบหน้าอันพึงพอใจ
มังกรไฟตนนี้เป็นพลังของหินหลอมเหลวที่หลินซวนดูดซับและบ่มเพาะมาจากทักษะจ้าวมังกรไฟ
เปลวเพลิงของมังกรไฟตนนี้มิใช่อัคคีสามัญ แต่เป็นเพลิงสมาธิแท้จริงในตำนาน ทุกสิ่งในใต้หล้าย่อมถูกมันเผาไหม้ แต่พลังที่พิเศษเช่นนี้ก็ถูกจำกัดด้วยระดับการบ่มเพาะของหลินซวนเช่นกัน
“หลังจากอาศัยอยู่ที่ชั้นสองที่มานาน ได้เวลาที่ข้าจะไปยังชั้นที่สามแล้ว”