วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0055
บทที่ 21 ไวลด์ฮันต์ (2)
* * *
ฉันเป็นพวกชื่นชอบวัฒนธรรมอยู่แล้ว เพราะนั่นคือแก่นสำคัญในการสำรวจ
ไวลด์ฮันต์เองก็เป็นหนึ่งในตำนานยุโรปที่ฉันเคยฟังสมัยไปสำรวจเยอรมนี
เมื่อตกกลางคืน ขบวนของเหล่าม้า หมาล่าเนื้อ และภูตผีจะนำพาสัตว์ประหลาดออกล่า
ตำนานที่คล้ายคลึงกันสามารถพบเห็นได้ทั่วโลก เช่นของญี่ปุ่นจะเรียกว่า ‘เฮียกกิยาเงียว’ และวันพระจันทร์เต็มดวงแรกของเกาหลีใต้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
แต่แน่นอน เรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงบนโลก
แต่ที่นี่คือต่างโลก
ผู้ใหญ่บ้านกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้จะฝืนกลั้นเอาไว้ แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ความเงียบเข้าปกคลุมลานหน้ากระท่อม ฉันเองก็เข้าสู่ภวังค์ความคิด พยายามดึงรายละเอียดจาก ‘สมุดบันทึก’ ในความทรงจำออกมาให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับไวลด์ฮันต์
ฉันใช้เวลาไม่นานในการเรียบเรียงความคิด
“บอกว่าอีกสองวันใช่ไหม”
“ใช่”
หัวหน้าคณะแสวงบุญพยักหน้า
สองวันไม่ใช่เวลาที่นาน หลังจากคืนนี้กับคืนพรุ่งนี้ ไวลด์ฮันต์จะเริ่มในคืนถัดไป
“สองวันไม่ใช่เวลาที่นาน”
“กระชั้นชิดมาก หากเป็นหมู่บ้านของขุนนางหรืออาณาจักร ความเสียหายจะลดลงได้ด้วยสมบัติวิเศษจากศาสนจักรเทวราชา ทว่า… หมู่บ้านนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ความดูแลของใครเลยใช่ไหม”
ผู้ใหญ่บ้านไม่ตอบ ฉันจึงพยักหน้าแทน
“ในฐานะนักบวชแห่งเก้าเทวราชา ข้าคงมองข้ามวิกฤติของหมู่บ้านนี้ไม่ได้ พวกเราจะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”
“มีทางใดที่ช่วยให้เรารอดได้บ้าง”
ผู้ใหญ่บ้านถามหน้าเครียด
“เจ้าสามารถนำชาวบ้านไปหลบในหลุมหรือถ้ำและปิดตายทางเข้าออก หรือไม่ก็เข้าไปในป่าและร้องขอการคุ้มครอง แม้หมู่บ้านจะกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ไม่เกิดโศกนาฏกรรม”
หมู่บ้านจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าผู้ใหญ่บ้านพัฒนาจากความเครียดไปเป็นแดงก่ำ
ตัวตนที่แท้จริงของหมู่บ้านแห่งนี้คือเบสแคมป์ของชาวโลก ถึงจะมีบรรยากาศแบบยุคกลาง แต่อาคารทุกหลังล้วนมีเจ้าของทรัพย์สิน หากถูกกวาดราบเป็นหน้ากลองในคืนเดียว นั่นจะเกิดปัญหาใหญ่ที่ซับซ้อนตามมา
นอกจากนั้น ปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งคือประตูมิติ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอุปกรณ์อำพรางประตูมิติที่ลงทุนลงแรงไปมากมายได้รับความเสียหาย?
มนุษย์โลกจะสูญเสียครั้งใหญ่
แต่แน่นอน นั่นเป็นภาระของ OWIC ไม่ใช่ฉัน
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว…”
หัวหน้าคณะจาริกแสวงบุญพยักหน้าขึงขัง
“ถูกต้อง เวลากระชั้นชิดมาก ข้าขอแนะนำให้ตัดสินใจทันที ถ้าในหมู่ชาวบ้านมีเอลฟ์ ให้ส่งเข้าไปในป่าเพื่อประกอบพิธีกรรม หรือถ้าไม่มีก็รีบหาถ้ำขนาดใหญ่…”
ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น
“ที่บอกว่าเหลือเวลาไม่มาก ฉันหมายถึงการเตรียมตัวเพื่อหาทางรับมือ ไม่ใช่อพยพ”
“หา?”
หัวหน้าคณะจาริกแสวงบุญเผยสีหน้าเคลือบแคลง
ส่วนฉันกำลังจมอยู่กับความคิด จึงไม่มีเวลาอธิบายทีละขั้น
ชายวัยกลางคนที่คอสเพลย์เป็นผู้ใหญ่บ้าน หันมาพูดกับฉันด้วยสีหน้าเจือความหวัง
“มีทางรับมือได้ด้วยหรือ”
“ก็สักสองวิธี”
ฉันลุกขึ้นยืนและปรบมือทันที
แปะ! เสียงดังกล่าวเป็นราวกับสัญญาณบอกใบ้
“ทุกคน รีบแยกย้ายไปเตรียมตัวกันเถอะ ทางผู้ใหญ่บ้านก็มีสิ่งที่ต้องกลับไปทำใช่ไหมล่ะ”
“…แล้วเราจะรีบแวะกลับมาหา”
พูดเสร็จ ผู้ใหญ่บ้านวิ่งกลับเข้าไปในหมู่บ้าน
ลิลี่เอียงตัวมากระซิบข้างหู
“เจ้าคิดจะทำยังไง”
“…ลิลี่”
พอดีเลย ฉันต้องการทราบความเห็นของลิลี่
“อื้อ”
“พวกเราควรมีพาหนะสินะ”
“…?”
“จับไว้สักตัวสองตัวดีไหม”
ฉันถามข้ามขั้นตอนเกินไปไหมนะ?
ช่วยไม่ได้ สมองของฉันกำลังวางแผนซับซ้อน มันจึงยุ่งเหยิงกว่าปรกติ
* * *
ฉันจับตามองคณะจาริกแสวงบุญต่อไปอีกสักพัก พวกเขาตั้งค่ายค่อนข้างห่างจากกระท่อมของฉัน
ลูกหลานดวงดาวจะไม่ถูกล่าเพราะมีความคุ้มครองของเทพ จึงสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือได้เท่าที่ต้องการ
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและความมืดเข้าแทนที่ คณะแสวงบุญเดินออกจากค่ายโดยพร้อมเพรียง และเอาแต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า
แล้วแต่มุมมอง ใครบางคนอาจคิดว่าฉากดังกล่าวดูน่าประหลาด
“…พวกเขาทำอะไร สวดวิงวอน?”
ซอจีอาช่วยตอบ
“มื้ออาหาร”
“…?”
“ลูกหลานของดวงดาวเป็นเผ่าที่อาศัยพลังงานจากดวงดาว พวกเขาไม่จำเป็นต้องกินเหมือนเรา บางคนกล่าวไว้ว่า มื้ออาหารของพวกเขาเป็นเพียงความบันเทิง ไม่ใช่สิ่งที่ขาดไม่ได้”
“…เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใช้ชีวิตสะดวกชะมัด”
“แลกมาด้วยการที่ทุกคนในเผ่าพันธุ์ต้องอุทิศตนให้เทพ… แต่ก็นั่นแหละ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า”
ซอจีอายิ้ม ส่วนฉันจ้องมองผมสีแดงของเหล่าคณะจาริกแสวงบุญสักพัก ก่อนจะหันกลับไปมองในหมู่บ้าน
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน คนของ OWIC ก็ไม่ย้อนกลับมาหาฉัน
นี่ไม่ใช่เรื่องด่วนหรอกหรือ?
“ทำไมบริษัทถึงดูไม่กังวลเลย”
“พวกเขาอาจกำลังยุ่งจนไม่ว่างมาหา หรือไม่ก็เชื่อใจที่รักอย่างมาก… ข้าคิดว่าเป็นอย่างหลัง”
ซอจีอายังคงกล่าวต่อ
“ที่รักได้กลับไปที่โซลบ้างหรือยัง”
“ยัง”
“ระฆังเอล โรคร่า เบลล่าดังไปทั่วโลก เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? ตอนนี้มนุษย์โลกกำลังวุ่นวายสุดขีด”
“ขนาดนั้นเลย?”
“OWIC ทำตัวน่าสงสัยมานานแล้ว จึงยิ่งลุกลามเมื่อเกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้ทั้งกรุงโซลสั่นสะเทือน ไม่มีทางที่ผู้คนจะนิ่งเฉยได้อีก แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะเลือกยืนข้างบริษัท ไม่ใช่ประชาชน”
ช่างเถอะ เหลือเวลาอีกสองวัน ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจาก OWIC อยู่แล้ว การแวะมาเยือนของพวกเขาไม่ได้สลักสำคัญ
“…นี่”
ลิลี่ที่นั่งครึ่งก้นบนขอบเตียงเปิดปากพูด
ภายใต้แสงสลัว เดรสของแวมไพร์มอบบรรยากาศลุ่มลึกเป็นพิเศษ
แค่เปลี่ยนชุด แต่กลับทำให้แม้กระทั่งเด็กแรกเกิดก็ยังดูออกว่า คนที่นั่งอยู่บนเตียงคือแวมไพร์ขุนนางชั้นสูง
“เมื่อตอนนั้นเจ้าบอกอะไรกับข้า? พวกเราต้องการพาหนะ?”
“ช่วยมาตรงนี้หน่อย”
ลิลี่ลุกจากเตียงและเดินมาที่โต๊ะทำงาน ซอจีอาก็เอาแต่จ้องฉันซึ่งหยิบแผนที่มาวาง
หลังจากเปิดไฟสำหรับอ่านหนังสือ ฉันวางแผ่นใสทับลงบนแผนที่
เส้นตรงสองเส้นถูกวาด เส้นหนึ่งลากจากโบราณสถานตะวันออก ส่วนอีกเส้นลากจากเบสแคมป์
“เธอรู้ไหมว่าเส้นพวกนี้คืออะไร”
ลิลี่ไม่ตอบ เพียงเอาแต่จ้อง
ฉันนำเข็มชี้ออกมา
“นี่คือเส้นที่เข็มชี้จากแต่ละจุด”
จะเห็นได้ว่า บนแผ่นใสมีจุดตัดของเส้นทั้งสอง
และที่นั่นก็คือ
“ตำแหน่งของสมบัติชิ้นถัดไป?”
ฉันพยักหน้าให้กับคำตอบของลิลี่ ซอจีอาที่ยืนมองเงียบๆ เปิดปากพูด
“…ถ้าเดินทางไปกลับ คงไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี”
นั่นแหละปัญหา
สำหรับสมบัติฝั่งตะวันออก จุดดังกล่าวสามารถเดินเท้าไปกลับได้ในสองเดือน และโชคดีที่แทบไม่มีอุปสรรคเลย แต่คงไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าสมบัติชิ้นอื่นๆ จะยังคงปลอดอันตราย
จุดที่เส้นทั้งสองตัดกันอยู่นอกขอบเขตของแผนที่
ขาไปอาจไม่ต่ำกว่าสามเดือน และไปกลับไม่ต่ำกว่าหกเดือน นั่นคือในกรณีที่เส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเกิดอุปสรรคขึ้นกลางคัน ความเหนื่อยล้าจะยิ่งสะสม
การเดินเท้าในระยะทางดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ฉลาด ควรรู้จักความแตกต่างระหว่างความท้าทายกับประมาทเลินเล่อ
เช่นนั้นแล้ว ทางออกจึงไม่ซับซ้อน
“ฉันต้องการสัตว์ขี่”
ในต่างโลกไม่มีรถหรือม้า
ตัวเลือกเดียวจึงต้องเป็นม้าโลกันตร์จากนรก
“พวกเราจะล่าม้าจากไวลด์ฮันต์”
“…เจ้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ”
ซอจีอากล่าวพลางยิ้ม
“สัตว์ประหลาดพวกนั้นถูกเรียกว่าขบวนอสูร แต่เจ้ากลับคิดจะจับม้าจากไวลด์ฮันต์?”
“เธอคิดว่าฉันทำไม่ได้?”
“ความน่ากลัวก็คือ ข้าเชื่อว่าที่รักทำได้”
“ถ้าอย่างนั้นเธอจะได้เห็นความน่ากลัวนั้นแน่ๆ รีบจองตั๋วแถวหน้าไว้เลยนะ”
ซอจีอาหัวเราะร่วน
ส่วนลิลี่เอาแต่จ้องฉันโดยไม่กล่าวคำใด ฉันเพียงยิ้มตอบ
ไม่ใช่เวลามัวนอนหลับแล้ว สองวันอาจเพียงพอก็จริง แต่ก็ไม่สามารถหย่อนยาน
ฉันตัดสินใจลงมือเตรียมตัวทันที ก้มหยิบกระเป๋าและเดินออกจากกระท่อม
ที่วางอยู่ตรงหน้าประกอบด้วยเข็มชี้สีทอง สมบัติทองคำสองชิ้น
แล้วก็
“บาเรียกระจก”
ควรจะวัดขนาดมันก่อนไม่ใช่หรือ? บาเรียที่สามารถปกป้องสมบัติล้ำค่ามาเป็นเวลานานอันนี้
ซอจีอาจ้องฉันด้วยสายตาสงสัย ทำนองว่า ‘นี่คืออะไร?’
เดี๋ยวเธอก็ได้รู้เอง
“ที่รักมีวิธีรับมือจริงๆ ใช่ไหม? คงไม่ได้กำลังหลับตาวิ่งเข้าใส่ปัญหาหรอกนะ”
“เธอก็รู้ไม่ใช่หรือว่าฉันเคยอาศัยในต่างโลก”
ซอจีอาพยักหน้า
“สมัยดิ้นรนในต่างโลก ฉันตกอยู่ในอันตรายจริงๆ จังๆ แค่ไม่กี่ครั้ง”
หนึ่งในนั้นคือไวลด์ฮันต์
“แม้ภัยคุกคามอื่นๆ จะน่ากลัว แต่ท้ายที่สุดก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ ‘ระบบนิเวศน์’ แน่นอนว่ามีบางตัวที่หลุดกรอบไปบ้าง แต่สิ่งมีชีวิตย่อมหนีแก่นแท้ของมันไม่พ้น ฉันต้องจับจุดมันได้สักอย่างสองอย่างเสมอ”
“…แต่ไวลด์ฮันต์ต่างออกไป?”
หงึก
“ใครจะไปเข้าใจไอพวกที่ลอยอยู่ทั่วท้องฟ้าราวกับฝูงตั๊กแตนที่พยายามจะล่าทุกสิ่ง? และฉันได้รับรู้ตอนที่สู้กับสปริกแกนว่า พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่คล้ายกับหุ่นเชิดมากกว่า”
“…เพราะพวกมันคือสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณ ย่อมไม่มีวิญญาณ”
ถึงลิลี่จะพูดแบบนั้น แต่หัวหน้าคณะจาริกแสวงบุญบอกว่าพวกมันมาจากนรกไม่ใช่หรือ?
แต่ละเผ่าเรียกไวลด์ฮันต์ไม่เหมือนกัน?
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ… พวกมันแพ้ทางภาษารูน ฉันก็ไม่รู้หลักการที่แน่ชัด แต่นั่นก็ไม่สำคัญ… ไวลด์ฮันต์คือหนึ่งในเหตุผลที่ฉันคลั่งไคล้การเรียนภาษารูน”
เสียงซอจีอาเริ่มแหบแห้ง
“…ที่รักรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? ถ้าเคยเอาชีวิตรอดในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ก็ไม่น่าจะมีใครสอนเจ้าได้”
“แค่ได้เห็นไวลด์ฮันต์สักสองสามครั้งก็ดูออกแล้ว…”
ถึงตรงนี้ จู่ๆ พวกเธอสองคนก็เลิกถามคำถาม แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้มีสมาธิกับการเตรียมตัว
ภาษารูนถูกบันทึกไว้ในแหวน จากนั้นก็นำปากกาจากดาวโลกมาวาดบางสิ่งลงบนบาเรีย
นี่คือมาตรการฉุกเฉิน แผนสำรองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“…”
แต่ฉันเริ่มรู้สึกว่าซอจีอาและลิลี่เงียบผิดปรกติ จึงตัดสินใจหันไปมองและพบว่า พวกเธอกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเจือความสับสนและกังขา
“มีอะไร? อยู่ดีๆ ก็ดูน่ากลัวขึ้นมา พวกเธอสองคนเข้าขากันตั้งแต่เมื่อไร”
ซอจีอาเป็นฝ่ายพูดก่อน
“…ซินก้า”
“อื้อ”
“เจ้าเคยผ่านไวลด์ฮันต์มากี่ครั้ง”
“…ไม่เคย แค่อ่านจากในหนังสือ”
“…?”
ฉันเริ่มผุดคำถาม
ไม่เคยเลย? เกิดมาบนโลกนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี แต่ไม่เคยเจอไวลด์ฮันต์เลยสักครั้ง?
“…แล้วเจ้าล่ะ นักพเนจร”
ลิลี่เป็นฝ่ายถามซอจีอาบ้าง
“…สองครั้ง”
“เจ้าอายุเท่าไร”
“ไม่ทราบแน่ชัด ข้าเกิดมาไม่มีพ่อแม่ แต่ว่า…”
ซอจีอาครุ่นคิดสักพัก
“ตอนเด็กๆ ข้าเคยได้ยินข่าวองค์จักรพรรดิถูกลอบสังหารกับหูตัวเอง”
“…นั่นมัน”
น้ำเสียงของลิลี่เริ่มจริงจัง สีหน้าคล้ายกับกำลังนึกทบทวนว่า ความทรงจำของตนถูกต้องแล้วหรือไม่
“…นั่นมันหนึ่งร้อยปีก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีอายุเกินร้อยปีแล้ว”
ฉันเริ่มเข้าใจบทสนทนาของสองสาว และเข้าใจว่าทำไมพวกเธอต้องมองด้วยสายตาแบบนั้น
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพวกเรากำลังหมายถึงอะไร? เรื่องราวมันน่าทึ่งเกินไปจนข้าไม่อยากด่วนสรุป… จริงอยู่ที่ข้าเคยผ่านไวลด์ฮันต์แค่สองครั้ง แต่ในแต่ละดินแดนจะมีความถี่ของไวลด์ฮันต์ไม่เท่ากัน เพราะลา·ชีมามีลักษณะการเคลื่อนไหวต่างกัน”
ลิลี่ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปิดปาก
“ข้าเคยได้ยินว่า มีบางพื้นที่เกิดไวลด์ฮันต์ทุกห้าปี แต่ก็แค่สามครั้งติดต่อกัน”
ซอจีอาพยักหน้า
“ข้าก็เคยได้ยิน แต่ก็แค่ครั้งเดียว และเป็นแค่ข่าวลือ บางพื้นที่ไม่เคยเกิดไวลด์ฮันต์นานนับร้อยปี”
ตอนนี้ฉันเข้าใจว่าพวกหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
คำถามถัดไปน่าจะทำให้ฉันปวดหัวมากทีเดียว
“เจ้าเคยผ่านไวลด์ฮันต์มากี่ครั้งแล้ว”
ฉันคิดคำตอบเตรียมไว้ก่อนจะถูกถามเสียอีก
กี่ครั้งน่ะหรือ?
“อย่างน้อยก็… เจ็ด… หรือแปด?”
“ขอจำนวนที่แน่ชัดสิ เจ้าไม่ได้ประสบด้วยตัวเองหรือไง?”
ไม่ว่าจะพยายามเค้นสมองสักเท่าไร ฉันก็นึกตัวเลขที่แน่ชัดไม่ออก
ถ้าจะพูดให้ดูยิ่งใหญ่ก็คงประมาณว่า
ใครจะไปจำได้ว่าชีวิตนี้เคยกินขนมปังมากี่ก้อน
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel