บทที่ 4: คำตำหนิของนายหญิงเฒ่า
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เย่เซิงลุกจากเตียงไปอาบน้ำเสร็จแล้ว ได้มีเหล่าม่าจื่อ (เป็นคำเรียกคนรับใช้หญิงที่อายุมากหรือชราภาพแล้ว) นางหนึ่งถือถาดอาหารเช้ามาให้ ถึงมันจะไม่ใช่อาหารที่หรูหราอะไรแต่ก็ไม่ได้แย่ สงสัยเรื่องเมื่อคืนคงทำให้พวกมันตกใจกันน่าดู
ยังไงเย่เซิงก็ยังเป็นถึงลูกของเย่หวางเหย่ ต่อให้เขาจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์สักแค่ไหน แต่สถานะของเขาก็ยังคงสูงกว่าคนรับใช้ในบ้านทุก ๆ คนอย่างแน่นอน ขนาดไอ้คุณชายสิบสามที่ลงมือทำร้ายเขาตอนนี้ยังต้องอยู่ไม่เป็นสุข แล้วไอ้พวกคนใช้ล่ะ? มีหรือพวกมันจะได้อยู่สุขสบายกัน
เย่เซิงกินข้าวเช้าแค่นิดหน่อยเพื่อแค่ปะทังความหิว จากนั้นก็หยุดกินแล้วถามว่า “ทุกคนในบ้านรู้บ้างหรือไม่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”
เหล่าม่าจื่อสะดุ้งโหยงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและตอบว่า “ทุกคนรู้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ แต่ละคนต่างพูดกันว่าคุณชายสิบสามทำเกินไปเจ้าค่ะ”
เย่เซิงยังคงถามด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่สงบราบเรียบ “แล้วคนรับใช้เช่นพวกเจ้ากล้าวิพากวิจารการกระทำของคุณชายสิบสามด้วยหรือ?”
เหล่าม่าจื่อเปิดปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ทางครอบครัวของหูเหมยค่อย ๆ ขยายตัวขึ้น นางได้ซื้อใจทุก ๆ คนในบ้านหมดแล้วยกเว้นก็แต่เหล่าคนรับใช้ของนายหญิงใหญ่ ส่วนพวกคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาทั้งหมดล้วนเป็นคนของหูเหมยไปหมดแล้ว
และไอ้คุณชายสิบสามที่ว่านั่นก็เป็นลูกชายของอีหูเหมย แล้วมีหรือไอ้พวกคนใช้จะกล้าว่าร้ายมัน?
“เรียนคุณชายสิบสอง เมื่อคืนนี้บ่าวได้ยินข่าวมาเจ้าค่ะ” เหล่าม่าจื่อพูดเสียงต่ำในทันใด
“พูดมา” เย่เซิงมองไปที่นางแล้วสั่ง
“นายหญิงเฒ่ากลับจากจากการสวดมนต์ต่อพระพุทธองค์เมื่อคืนนี้ ท่านได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วและโกรธมากเจ้าค่ะ” เหล่าม่าจื่อกระซิบเสียงเบา
“นายหญิงเฒ่ากลับมาแล้วเหรอ?” เย่เซิงขมวดคิ้ว
นายหญิงเฒ่าที่ว่านี่ก็คือแม่แท้ ๆ ของเย่หวางเหย่และเป็นย่าแท้ ๆ ของเขาเอง ตอนนี้นางอายุได้แปดสิบปีแล้ว แต่ด้วยเพราะได้กินเม็ดยาบำรุงคุณภาพสูงอยู่เรื่อย ๆ เลยทำให้นางยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดีไม่เจ็บไม่ป่วย แม้แต่ความเหน็ดเหนื่อยก็ยังไม่กล้าเข้ามารบกวนนางเลยด้วยซ้ำ
นายหญิงเฒ่าชอบสวดมนต์ต่อพระพุทธองค์ และในหวางฝูตระกูลเย่แห่งนี้ก็มีศาลาพิเศษซึ่งนางนำพระพุทธรูปมากมายหลายองค์มาประดิษฐานไว้เพื่อให้คอยอวยพรและคุ้มครองครอบครัว นางมักจะไปสวดมนต์ที่วัดหนานซาน (วัดภูเขาน้ำแข็ง) ที่นอกเมืองซึ่งมีอารามหลายแห่งและว่ากันว่ามีพระพุทธองค์ตัวจริงประทับอยู่
เมื่อไม่กี่วันก่อนนายหญิงเฒ่าได้ไปสวดมนต์ที่วัดหนานซาน เย่เซิงคิดว่านางน่าจะสวดมนต์อยู่ที่นั่นอีกนานหลายวันจึงไม่เคยคิดเลยว่านางจะกลับมาแล้วเมื่อคืนนี้
เมื่อเย่เซิงกำลังจะถามคำถามเพิ่มเติมก็มีคนเดินเข้าลานบ้านมา
เป็นหญิงแก่ที่ค่อนข้างอ้วนจ้องมองตรงมาที่เย่เซิงโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
เหล่าม่าจื่อเห็นว่าใครมาก็ตกใจเลยรีบเอาจานไปเก็บ
เย่เซิงที่ถูกทิ้งไว้กับหญิงชราได้ขมวดคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย
เย่เซิงรู้ดีว่าหญิงชราคนนี้เป็นใคร ตามความทรงจำของเย่เซิงคนก่อนแล้ว อีนี่คือสาวใช้ที่ติดตามรับใช้นายหญิงเฒ่าอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่านางไม่เป็นมิตรกับเขาแม้แต่นิดเดียว
“คุณชายสิบสอง นายหญิงเฒ่าสั่งให้ข้ามาบอกท่าน” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เย่เซิงยืนขึ้นแล้วถาม “ว่า?”
“นายหญิงเฒ่ากล่าวว่าความมั่นคงและสงบเรียบร้อยในครอบครัวสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คุณชายสิบสามพรสวรรค์สูงส่งและมีอนาคตอันสดใสรออยู่ ส่วนคุณชายนั้นเป็นเพียงลูกชายของนางสนม แม้คุณชายทั้งคู่จะเป็นบุตรของเย่หวางเหย่เหมือนกันแต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และนายหญิงเฒ่าหวังว่าคุณชายจะสำเหนียกถึงจุดยืนของตัวเอง ตัวคุณชายเองก็อายุสิบหกแล้วจงทำตัวรู้ความและอย่าได้ริอาจไปสร้างปัญหาให้คุณชายสิบสามอีก หากคุณชายยังคงดื้อแพ่งนายหญิงเฒ่าจะจัดการกับคุณชายเสีย มีหลานชั่ว ๆ ที่ชอบทำเรื่องเสื่อมเสีย ตัวอัปยศขนาดนี้จะปล่อยให้ออกไปเสนอหน้านอกบ้านให้เป็นที่อับอายได้อย่างไร” คำพูดที่หญิงชราใช้ช่างรุนแรงและเข้มงวดเหมือนเจ้านายของนางไม่มีผิด
เย่เซิงเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรท่าทางของเขาเย็นชาจนน่ากลัว
‘ท่าทางอีนายหญิงเฒ่านั่นมันจะเกลียดตูเข้ากระดูกดำจริง ๆ ว่ะ’
‘เมื่อวานนี้คนที่ผิดก็คือไอ้เย่ชิงล้วน ๆ แต่สำหรับอีนายหญิงเฒ่านั่นตูผิดเต็มประตูคนเดียวเลยเวรเอ๊ย’
“เมื่อวานเย่ชิงเกือบทุบตีข้าตาย” เย่เซิงกล่าวขณะที่พยายามระงับความโกรธอย่างยากลำบาก
“นายหญิงเฒ่ากล่าวว่าคุณชายก็แค่ลูกของนังทาสชั้นต่ำ ชีวิตคุณชายไร้ค่ายิ่งกว่าเศษหญ้า ส่วนคุณชายสิบสามท่านเป็นผู้ดี ท่านแค่ทุบตีคุณชายแต่ไม่ได้ฆ่าเสียหน่อย นอกจากนี้หมอเก่ง ๆ ประจำบ้านก็มารักษาให้ท่านแล้วนี่ ดังนั้นคุณชายจงอย่าได้สร้างปัญหาให้คุณชายสิบสามอีกเสียจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกตัดสิทธิ์ไม่อาจออกจากตระกูลได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ และจะต้องอยู่ในหวางฝูแห่งนี้ในฐานะเศษสวะไร้ค่าเลี้ยงเสียข้าวสุกไปตลอดชีวิต” ยายคนใช้เฒ่าเยาะเย้ยอย่างรังเกียจ
เย่เซิงหัวเราะด้วยความโกรธ ‘อีนังแก่นั่นมันเกลียดแม่ตูขนาดนี้เลยเหรอวะอีเวร?’
“กลับไปเรียนนายหญิงเฒ่าด้วยว่าเย่เซิงทราบแล้ว และจะไม่สร้างปัญหาให้เย่ชิงอีก” เย่เซิงกล่าว เขากำหมัดแน่น พลังเจินชี่ (ปราณแท้) พุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ตอนนี้เขาอยากลงมือทุบตีอีแก่ตรงหน้านี่ให้มันตาย ๆ ไปเสียพ้น ๆ จริง ๆ
แต่ด้านเหตุผลมันร้องเตือนเขาว่าอย่าพึ่งไอ้เสือ
หากว่าเขาลงมือจริง ๆ ล่ะก็ ไม่ว่าอีแก่ตรงหน้านี่มันจะตายไม่ตาย แต่เขาก็ต้องโดนตัดสิทธิ์ห้ามออกจากบ้านเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และต้องหมดสิ้นซึ่งอิสรภาพตลอดชีวิต ถูกขังให้เน่าตายอยู่ในหวางฝูแห่งนี้อย่างที่มันว่าแน่นอน
ไม่ว่านายหญิงเฒ่าจะพูดอะไร แม้แต่เย่หวางเหย่ก็ยังไม่กล้าต่อต้าน
ในต้าฉินแห่งนี้คำว่ากตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ดังนั้นเย่หวางเหย่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลจึงมีผู้คนจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากมีข่าวว่าเขาไร้ความกตัญญูออกไปล่ะก็คงจะถูกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์โจมตีจนยับ และเย่หวางเหย่ก็ไม่อาจแก้ต่างอะไรได้เลย
‘ตูไม่ไปหาเรื่องไอ้เย่ชิงหรอกโว้ย แต่ถ้ามันมาหาเรื่องตูล่ะก็ อย่ามาหาว่าตูเป็นไอ้ชาติชั่วก็แล้วกัน’ เย่เซิงคิดด้วยหัวใจที่เย็นชาเป็นที่สุด
สำหรับเย่เซิงแล้วหวางฝูแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนคุกขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตามเขาต้องออกไปจากสถานที่บัดซบนี่ให้จงได้
“ข้าแน่ใจว่านายหญิงใหญ่จะมีความสุขมากที่ทราบว่าคุณชายสำเหนียกถึงจุดยืนของตัวเองแล้ว อีกไม่กี่วันหวางเหย่จะกลับมาและหากท่านถามถึงเรื่องนี้ นายหญิงเฒ่าหวังว่าคุณชายจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้แต่เพียงผู้เดียว” อีแก่มันได้คืบจะเอาศอก
สายตาของเย่เซิงที่มองมันยิ่งมายิ่งเหี้ยมเกรียม เขาโกรธจัดจนพูดอะไรไม่ออกได้แต่จ้องไปที่อีแก่อย่างกับจะจับมันแล่เนื้อเถือหนังออกมากินแล้วรีดเลือดทั้งตัวมันออกมาดื่ม ‘อีแก่นี่มันจะกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วนะโว้ย!!!’
เขาเองก็เป็นหลานของนายหญิงเฒ่าเหมือนไอ้เย่ชิง แต่ก็เหมือนกับมิได้นำพา
อีแก่ที่เห็นสายตาของเย่เซิงที่จ้องมองมาก็เกิดตื่นตระหนกและถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็ขึ้นเสียงด้วยความโกรธจัดทันที “นายหญิงเฒ่ารู้ดีว่าเรื่องนี้สำหรับเจ้ามันคงยาก ดังนั้นท่านจึงฝากมาบอกว่าถ้าเจ้ายอมทำล่ะก็ จะยอมอนุญาตให้เจ้าออกจากบ้านไปเยี่ยมหลุมศพของแม่สุนัขของเจ้าได้ ถ้าเจ้ายอมรับความผิดไปทั้งหมด ในวันที่สิบห้าเดือนนี้เจ้าสามารถออกไปกราบศพแม่สุนัขของเจ้าได้เลย!!!”
เพี๊ยะ!
ทันทีที่มันพูดจบเย่เซิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาสะบัดมือตบหน้าอีแก่นั่นไปเต็มข้อจนมันเซ
“ถ้าเจ้ายังกล้าเรียกแม่ข้าว่าเป็นสุนัขอีกล่ะก็ ข้า-จะ-ฆ่า-เจ้า-ซะ!!” เย่เซิงเค้นเสียงออกมาจากลำคอทีละคำ ๆ แล้วจ้องมองอีขีข้าแก่ด้วยสายตากระหายเลือด
อีคนใช้แก่มองย้อนกลับไปที่เย่เซิงด้วยความตกใจ ท่าทางของมันดูตื่นตระหนกจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโกรธ อับอาย แล้วก็ขุ่นเคืองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดมันก็ระงับอารมณ์ทั้งหมดลงและยอมแพ้ต่อเย่เซิงที่กำลังแสดงอาการกระหายเลือดเธอแล้วพูดว่า “นี่เป็นคำพูดของนายหญิงเฒ่า หากคุณชายไม่พอใจเชิญไปหานายหญิงเฒ่าเอาเองเถอะ ไม่ต้องมะลงกับคนรับใช้แก่ ๆ อย่างข้าหรอก!!”
“หึ!! ที่เจ้ากล้าพูดอย่างนี้ก็เพราะว่ามีนายหญิงเฒ่าคอยให้ท้ายล่ะสิ รอไปก่อนเถอะซักวันข้าจะจับเจ้าถลกหนังทั้งเป็น” เย่เซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก สายตาของเขาทำให้อีแก่ถึงกับต้องหนาวเหน็บไปถึงกระดูก
“ไปให้พ้น!” เย่เซิงตะคอก
“ปากดีนักนะคุณชายสิบสอง ข้าจะไปรายงานนายหญิงเฒ่า 'ตามความเป็นจริง' บัดเดี๋ยวนี้ เจ้าจงระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ!!” อีขี้ข้าแก่วิ่งหนีไปอย่างไวด้วยความหวาดกลัว แต่มันก็ยังไม่วายทิ้งคำข่มขู่ไว้ก่อนอีก
จากนั้นก็เหลือเย่เซิงอยู่แค่คนเดียวแล้ว
“ไอ้เชรี่ยเอ๊ย ทุกตัวในบ้านนี้นี่มันส้นตีนล้วน ๆ เลยโว้ยยยยย แม่ตูที่เป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสังสารวัฏ แต่พอมาอยู่ในปากไอ้พวกจัญไรนี้กลับกลายเป็นแค่หมาตัวเมีย ไม่รู้ว่าตอนแม่อยู่แม่ต้องอับอายขายขี้หน้าเสียศักดิ์ศรีขนาดไหน” เย่เซิงโกรธมากจนควันออกจมูกออกหู
ทำไมเขาที่เป็นคนละคนกับเย่เซิงคนเดิมถึงได้โกรธขนาดนี้น่ะหรือ? ไม่ใช่แค่เรื่องหยาบ ๆ ฉาบฉวยอย่างหัวใจผู้ผดุงความยุติธรรมอะไรหรอก แต่เพราะเขาเหมือนจะได้รับสืบทอดทุกอย่างจากเย่เซิงคนเดิมซึ่งรวมไปถึงความรักอันลึกซึ้งที่เย่เซิงคนเดิมมีต่อแม่ของตนด้วย เวลานี้เขาเลยรู้สึกอยากเปิดโรงฆ่าสัตว์แล้วล้างบ้างพวกสัตว์นรกในบ้านนี้ให้เลือดนองเสียจริง ๆ
“รอก่อนเถอะไอ้พวกเชรี่ยทั้งหลาย พวกเอ็งทั้งหมดต้องเสียใจอย่างสุดจะซึ้งแน่!!!” ดวงตาของเย่เซิงมืดหม่นเย็นชา ในบ้านนี้อย่าว่าแต่ความรัก แค่ความรู้สึกดีซักนิดเขาก็ไม่มีให้ใครเลยแม้แต่ตัวเดียว
“ตันเถียนของเรา... ดาวโลก... เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถพึ่งพาได้ ถ้าให้เวลาล่ะก็ตูจะทำให้ทุก ๆ ตัวในหวางฝูบัดซบนี่ไปคุกเข่ากราบหลุมศพแม่ตูให้ดู” แววตาของเย่เซิงดูสงบลง แต่มันเป็นความสงบที่เลยความโกรธไปแล้ว เป็นความสงบก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่