เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 259
ตอนที่ 259
เมื่อหอสวรรค์จุติปรากฏขึ้น ผู้คนทั้งหมดในแดนลึกลับได้รับเทียบเชิญปริศนา ราวกับว่าเรื่องราวเช่นนี้ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว
“หอสวรรค์จุติ?” หลินซวนคำรามเสียงต่ำ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับการคงอยู่ของมันมาก่อนและไม่คาดคิดเลยว่ามันจะมาปรากฏอยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้
เขาเพียงเคยได้ยินว่าการได้พบเจอหอสวรรค์จุติเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
หลินซวนและเสี่ยวหวงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งหอสวรรค์จุติปรากฏขึ้นทันที
ครั้งนี้ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์นับหมื่นในแดนลึกลับต่างก็มุ่งหน้าไปยังหอสวรรค์จุติทันทีเพื่อช่วงชิงโอกาสในตำนาน
…….
ในตระกูลจ้านหวางนั้น จ้านเทียนซิงมีชื่อเสียงยิ่งนักในเรื่องความทุกข์ยากของเขา
แต่สำหรับตัวเขาเองนั้น เส้นลมปราณของเราอุดตันมาตั้งแต่วัยเยาว์ และเขาก็ตาบอดเช่นกัน ในยามที่ผู้อื่นเข้าสู่แดนปรับปรุงปราณในวัยสิบหนาว เขายังไม่สามารถจะบ่มเพาะปราณได้เสียด้วยซ้ำ ในยามที่คนรุ่นเดียวกันกลายเป็นยอดฝีมือชนชั้นอาณาเขตม่วงและเริ่มสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลของตนเอง เขายังเพิ่งจะบรรลุแดนปรับปรุงปราณเท่านั้น
ในครานั้น เขาถูกเยาะเย้ยด้วยผู้คนมากมาย อายุของเขาดำเนินมาถึงวัยร้อยปี แต่ยังเป็นเพียงเศษสวะในแดนปรับปรุงปราณเท่านั้น กระทั่งครอบครัวของเขาเองยังไม่ชื่นชอบเขาจนไล่ของออกจากตระกูล
ในยามที่เขาอายุถึงห้าร้อยปี เขาก็เข้าสู่แดนปราณสร้างรากฐาน ความเร็วในการบ่มเพาะของเขามิอาจกล่าวได้ว่าเชื่องช้าเสียด้วยซ้ำ ทว่าในตอนนั้นเอง หอสวรรค์จุติก็ปรากฏขึ้นในพื้นที่ต้องห้าม ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่างก็มุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้น แต่จ้านเทียนซิงก็มิใช่ข้อยกเว้น
ในหอสวรรค์จุติ ทักษะของจ้านเทียนซิงแตกต่างไปจากผู้คนทั้งหมด ในท้ายที่สุด เขาใช้ความสามารถที่ท้าทายสวรรค์ของตนเองจนบรรลุไปได้ถึงชั้นที่เก้าของหอสวรรค์จุติ นับเป็นคนที่สามที่สามารถกระทำเช่นนั้นได้
หลังจากหอสวรรค์จุติปิดตัวลงและผู้คนทั้งหมดออกมาจากด้านใน เขากลับมิได้จากไปแต่เลือกจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามและบ่มเพาะอย่างสงบนับพันปี สำหรับเหล่าผู้บ่มเพาะแล้ว เวลาพันปีผ่านไปในชั่วพริบตา
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขากลับกลายเป็นยอดฝีมือชนชั้นสู่นิพพานและทำให้ผู้คนทั้งหมดตื่นตะลึง ในตอนนั้น ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลจ้านหวางยังเป็นเพียงตัวตนระดับรวมวิญญาณเท่านั้น พวกเขาพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อร้องขอให้จ้านเทียนซิงกลับไปยังตระกูล ทว่าเขาปฏิเสธคำขอนั้น
ในยามที่เขาตกต่ำก่อนหน้านี้ ตระกูลของเขาไปอยู่ที่ใดกัน?
จ้านเทียนซิงเคยเป็นผู้บ่มเพาะแดนสร้างรากฐานที่อายุมากที่สุด แต่บัดนี้เขากลับกลายเป็นยอดฝีมือแดนสู่นิพพานที่อายุน้อยที่สุดเสียแล้ว
หลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ตระกูลจ้านหวางกลายเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ เท่านั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับเพียงอาณาเขตม่วง ไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติจะเข้ามายังแดนลึกลับเสียด้วยซ้ำ จ้านเทียนซิงเพียงยินยอมให้สายเลือดของตระกูลจ้านหวางสืบทอดต่อไปแต่มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ
และเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะหอสวรรค์จุติ
ไม่นาน หลินซวนก็มาถึงสถานที่ซึ่งหอสวรรค์จุติปรากฏอยู่
เสาแห่งแสงที่สูงนับแสนฉื่อพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา หอคอยขนาดเล็กเท่าฝ่ามือลอยอยู่กลางอากาศ ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่านี่คือหอสวรรค์จุติที่สร้างยอดฝีมือเช่นจ้านเทียนซิงขึ้นมาได้
อัจฉริยะนับไม่ถ้วนต่างพุ่งตรงมา ดวงตาของพวกเขาเพ่งมองบนท้องฟ้า ราวกับหวังว่าจะมองเห็นบางอย่าง
ทันทีที่หลินซวนมาถึง เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา เขาจึงขมวดคิ้วและมองไปรอบด้าน
สายตาที่รุนแรงจดจ้องมาที่เขา สายตาของหลินซวนกวาดผ่านไปก่อนจะพบกับหยิงเจา อัจฉริยะไร้เทียมทานที่เขาเคยสังหารก่อนหน้านี้
คนที่อยู่ด้านหลังของหยิงเจาพบเห็นสายตาแปลกประหลาดของมัน จึงมองตามไปและพบว่าสายตานั้นไปหยุดอยู่ที่หลินซวน
“นายน้อยหยิง ท่านที่มีปัญหากับคนผู้นั้นหรือ?” คนที่กล่าวประโยคนั้นคืออัจฉริยะแห่งอาณาจักรศิลา จ้าวจินซา ภายใต้การชี้แนะของผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรศิลา เขาจึงได้รับเลือกให้มาดูแลอัจฉริยะตระกูลหยิงผู้นี้
มันมิได้เอ่ยคำได้ มองเห็นหลินซวนเช่นนั้น หยิงเจานึกไปถึงเหตุการณ์ที่มันถูกเข่นฆ่า ความโกรธปะทุในหัวใจ มันกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ
“ผู้ที่พ่ายแพ้แล้วก็ควรจะยอมรับผลลัพธ์ ไม่เช่นนั้น เจ้าจะได้ฝังร่างอยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ตลอดไป” หลินซวนกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“กล่าดีอย่างไรกล่าววาจาเช่นนี้กับนายน้อยหยิง? เจ้ารนหาที่ตาย!” ก่อนที่หยิงเจาจะได้ทันทีปฏิกิริยาใด จ้าวจินซาก็ดึงกระบี่ออกจากด้านหลังของมันและตะโกนขึ้นพร้อมพุ่งเข้ามา แต่กลับถูกหยุดเอาไว้ในทันที
หยิงเจามองไปยังหลินซวนและกัดฟันแน่น
“ไปกันเถิด มันยังไม่ถึงเวลา!”
สิ้นประโยคนั้น มันก็หันหลังและจากไป
“เจ้าพวกขี้ขลาด” หวงหาวเอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน
หลังจากนั้น องค์ชายสามแห่งราชวงศ์อมตะก็พาคนของมันมายังที่แห่งนี้ เมื่อผู้ติดตามของมันมองเห็นหลินซวน ขาของมันก็สั่นสะท้านและหยุดนิ่ง
“องค์ชายสาม มันผู้นั้นคือคนที่สังหารคนของเรา”
องค์ชายสามมองตามนิ้วที่คนของมันชี้ ดวงตาของมันปะทะเข้ากับหลินซวน จากนั้นทั้งคู่ต่างก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาเล็กน้อยมาปะทะกัน
เปรี้ยง!
พลังวิญญาณของทั้งคู่ถอยกลับทันที และไม่มีผู้ใดที่ได้เปรียบในการปะทะกันนี้
“น่าสนใจ การสังหารคนเช่นนี้นับว่าน่าสนใจยิ่ง” องค์ชายสามเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและมองตามหลินซวนไป
สายตาสงบนิ่งของหลินซวนเองก็เพ่งมององค์ชายสามผู้นั้นก็เอ่ยออกมา
“อย่าตกตายลงด้วยน้ำมือของข้าเสียเล่า”
องค์ชายสามมองหลินซวนและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย มันเคยเห็นภาพเหมือนของหลินซวนมากก่อน แต่บัดนี้เขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเองอยู่ ทำให้องค์ชายสามมิอาจจดจำเขาได้
“ข้าหวังว่าหลังจากหอสวรรค์จุติปิดตัวลง น้ำเสียงของเจ้าจะยังคงสงบนิ่งเช่นเดิมได้” องค์ชายสามมิได้โกรธเคืองและจากไปทันที
“เจ้าคนผู้นั้นช่างน่ารำคาญยิ่ง มันเอาแต่สร้างปัญหาให้พวกเรา” หวงหาวมองไปยังแผ่นหลังของพวกมันที่จากไปอย่างหงุดหงิด
หลินซวนลูบจมูกตนพลางมองไปยังเสี่ยวหวงก่อนจะพูดบางอย่าง
“คงเป็นเพราะข้ายอดเยี่ยมจนเกินไปเลยถูกผู้คนริษยาได้โดยง่าย”
“……” เสี่ยวหวงตอบกลับด้วยความเงียบงัน
มีใครอีกเล่าจะหน้าไม่อายเช่นนี้?
“เจ้าลูกเต่า!” ทันใดนั้นหลังจากขึ้นเสียงใส่เสี่ยวหวง หลินซวนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิโดยรอบที่ลดลงและมองไปยังคนที่แลดูคุ้นเคยเบื้องหน้าของตน
“ข้ารู้ว่าข้ายอดเยี่ยมยิ่ง แต่ข้ามิใช่คนง่ายดายเช่นนั้น อย่าได้คิดเรื่องไม่เหมาะสมกับข้า” เมื่อหลินซวนเห็นฉิงหู่ปรากฏขึ้น เขาก็กอดอกตนเองพลางมองไปยังนางอย่างหวาดผวา
ฉิงหู่เกรี้ยวกราดยิ่งนักจนร่างสั่นสะท้าน นางสูดลมหายใจอยู่เนิ่นนานก่อนจะพูดสิ่งใด
“เจ้าคนหน้าไม่อาย”
หลินซวนเพียงหัวเราะ
อย่างที่เคยมีคนกล่าวเอาไว้ มิตรภาพเกิดจากการต่อสู้เสมอ และผลลัพธ์นั้นทำให้เขาคุ้นเคยกับฉิงหู่และกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งในจำนวนน้อยนิดของนาง
เบื้องหลังหลินซวน ใครบางคนกำลังมองมายังเขาด้วยสายตาเกลียดชัง
เป็นเพราะบิดาของมันถูกตระกูลหลินสังหารจึงได้ทิ้งบางสิ่งเอาไว้ ตระกูลหวังนั้นมีทักษะลับที่สามารถค้นหากลิ่นอายของเป้าหมายได้หากยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ไกลเพียงใด
หวังเถิงเฟยจำจดได้ดีถึงรูปร่างของหลินซวนและตอนนี้กำลังสับสนเล็กน้อย
หลินซวนในตอนนี้ดูเหมือนเช่นเด็กน้อยวัยแปดถึงเก้าปี แต่ในห้วงความจำของมัน บุคคลเช่นนี้มิเคยปรากฏอยู่ในตระกูลหลินมาก่อน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบเท่าที่คนผู้นั้นมาจากตระกูลหลิน ย่อมตกตายลงในหอสวรรค์จุติอย่างแน่นอน
ไม่กี่ก้าวถัดมา เล่ยหยุนซีเดินเข้ามาที่หลินซวนและประสานมือให้เขา
“เล่ยหยุนซี!”
“หวงซวน!”
เห็นเล่ยหยุนซีเดินเข้ามา หลินซวนเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเขาไม่ได้เหยียดหยามเล่ยหยุนซีมากเกินไปในวันนั้น พวกเขาจึงยังพอมีมิตรภาพต่อกันอยู่บ้าง ต่างก็เอ่ยนามของกันและกัน รวมถึงพอจะนับถือกับเป็นสหายได้
“เจ้าลืมข้าไปแล้วรึ?” เป่ยเฉินหลานปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าและมองไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้าพร้อมเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนต่างหัวเราะกันเล็กน้อย ส่วนทางด้านหวงหาวนั้นก็ยืนขึ้นด้วยไม่ต้องการจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
“หวงหาว!”
“เป่ยเฉินหลาน!”
ได้ยินนามของเป่ยเฉินหลาน หลินซวนก็ชะงักไปชั่วขณะ เขาเพิ่งจะมาสงสัยว่าเป่ยเฉินหลานผู้นี้ในบุตรชายของผู้นำตระกูลเป่ยเฉินหรือไม่?
ก่อนที่หลินซวนจะกลับมาสงบนิ่งอีกครา เขาต้องการจะยืนยันเรื่องนี้ให้รอบคอบเสียก่อนจึงจะเปิดเผยตัวตนกับอีกฝ่าย