เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 256
ตอนที่ 256
การโจมตีที่คมกล้าของอีกฝ่ายถูกกลืนกินด้วยทักษะของหลินซวน พลังของโลหะเหล่านั้นหลอมรวมเข้ากับต้นกำเนิดโลหะในกายของเขา
ก่อนที่หลินซวนจะยื่นมือน้อยๆ ของตนออกมา และกระบี่บินที่รูปร่างคล้ายกันกับกระบี่ของยู่ซวนเทียนหยูจะปรากฏขึ้น เขามองไปยังศัตรูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คืนสมบัติของข้ามา!”
ยู่ซวนเทียนหยูโกรธแค้นจนเห็นควันลอยกรุ่นออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของมัน มันไม่สามารถจะสังหารฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จอีกทั้งยังสูญเสียสมบัติล้ำค่าของตนให้ศัตรูอีกด้วย นี่เป็นเรื่องบัดซบอันใดกัน?
“ได้ ข้าจะคืนมันให้แก่เจ้า!”
หลินซวนสะบัดมือ และกระบี่เล่มยาวที่แฝงไปด้วยปราณอันน่าหวั่นผวาก็พุ่งเข้าใส่ยู่ซวนเทียนหยูทันที นั่นทำให้สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาวุธของตนเอง มันกลับรู้สึกว่าตนไร้พลังยิ่งนัก
มันทำได้เพียงมองอย่างไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ในระหว่างที่กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุหัวใจและเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาก่อนจะตกตายลง มันมิได้ตายด้วยน้ำมือผู้ใดหากแต่เป็นอาวุธของตนเอง
เมื่อชายชุดม่วงเห็นว่าพวกมันทั้งหมดตกตายลงแล้ว สีหน้าของมันก็กลับกลายเป็นขาวซีดและสิ้นหวัง ไม่มีเหตุใดให้มันต้องดิ้นรนต่อสู้อีกต่อไป พวกมันต่างก็ประสบความล้มเหลวในการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม แล้วอาศัยมันเพียงคนเดียวจะเอาชัยอีกฝ่ายได้เช่นนั้นหรือ?
“ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก” ชายชุดม่วงผู้นั้นมองไปยังหลินซวนเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมายอมรับ ตราบเท่าที่ข้ารู้ตัวข้าเองดี” หลินซวนสลายกลิ่นอายทั้งหมดบนร่าง และดวงตากลับมาเป็นปกติ
ได้ยินประโยคเช่นนั้น ชายชุดม่วงก็ชะงักค้างไปก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น
ช่างน่าหัวเราะยิ่งนักที่มันต้องการจะเปรียบเทียบตนเองกับอีกฝ่าย ในเมื่อความเป็นจริงแล้วมันมิอาจจะเทียบกับเขาได้ตั้งแต่ต้นเสียด้วยซ้ำ
รุ่นเยาว์ชุดม่วงผู้นั้นพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะให้ได้ว่าความสนใจจากตระกูลของตนเอง แต่เขากลับลืมเลือนตนเองไป หากว่ามันแข็งแกร่งมากพอจนใครๆ ก็ต่างยกย่อง เหตุใดมันจำเป็นต้องใส่ใจความคิดเห็นจากผู้อื่นอีกเล่า?
“ข้าพ่ายแพ้แล้ว พวกเราทั้งสามคนต่อสู้อยู่ที่นี่กว่าสามวันสามคืนและยังไม่อาจหาได้ว่าเป็นผู้ใดที่แข็งแกร่งกว่า เจ้าจงสำรวจที่นี่อย่างระมัดระวังเถิด ข้าหวังว่าหลังจากพวกเราได้ออกไปยังภายนอกแล้ว ข้าจะได้ต่อสู้กับเจ้าอีกสักครั้ง” รุ่นเยาว์ชุดม่วงผู้นั้นจากไป ทิ้งไว้เพียงประโยคนี้เท่านั้น
มันมิได้เอ่ยถามชื่อของหลินซวน ด้วยมันเชื่อว่าเมื่อแดนลึกลับปิดตัวลง นามของหลินซวนย่อมกลายเป็นสิ่งที่ระบือลือลั่นไปทั่วทั้งทวีปแผ่นฟ้าอย่างแน่นอน
หลินซวนเองก็รู้สึกช่วยมิได้อยู่บ้าง เขามิได้คิดว่าผลลัพธ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้
รุ่นเยาว์ในชุดม่วงผู้นั้นแตกต่างจากผู้อื่น มันสามารถจะยอมรับความพ่ายแพ้ไว้กับตนเองได้
ในยามที่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นยอมรับความพ่ายแพ้ มันเองมิได้ต้องการจะตกตายลง ด้วยเพราะมันยังสามารถค้นหาทรัพยากรในการบ่มเพาะต่างๆ ภายในแดนลึกลับแห่งนี้ได้อยู่ อย่างไรก็ตาม ประโยคของหลินซวนนับว่าเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้แก่มัน
หลินซวนเองก็มิได้รับรู้เลยว่าเพราะประโยคเช่นนั้นของเขา ในอนาคต จักรพรรดิเสื้อคลุมม่วงผู้ยิ่งใหญ่จะกลายเป็นผู้ติดตามของเขาและบรรลุความสำเร็จอันกระทำได้ยากยิ่ง
เมื่อเหล่ารุ่นเยาว์ผู้อื่นเห็นว่าการต่อสู้นั้นจบลงแล้ว พวกเขาก็รีบจากไปอย่างเงียบงัน ด้วยหวาดกลัวว่าหลินซวนจะต้องการเล่นงานพวกเขา
เห็นรุ่นเยาว์ทั้งหลายหลบหนีไป หลินซวนทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกช่วยไม่ได้
“ช่างน่าเสียดาย คลังสมบัติเคลื่อนที่เหล่านั้นหลบหนีไปเสียแล้ว”
จากนั้นเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างเสี่ยวหวง หลินซวนเพียงวางแขนของตนลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ทว่าเจ้าเด็กน้อยกลับร้องดังลั่น
นี่ทำให้หลินซวนตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย
“เสี่ยวหวง เกิดอันใดขึ้น?”
สติของเสี่ยวหวงพร่าเลือน และกลิ่นอายที่ออกมาจากร่างกายของเขารุนแรงยิ่งนัก หลินซวนส่งพลังของตนเองเข้าไปในร่างของหวงหาว ด้วยหวังจะช่วยเขาสะกดข่มพลังที่กำลังพลุ่งพล่านในร่างกายลง อย่างไรก็ตาม เพียงหลินซวนสัมผัสถูกร่างของเสี่ยวหวงก็ถูกเด็กน้อยสะบัดให้ถอยออกไป
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?” ดวงตาของหลินซวนกวาดสำรวจตันเถียนของเสี่ยวหวงในทันที ผลลัพธ์ทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่ง
เสี่ยวหวงมิได้มีจุดตันเถียน!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลินซวนตะโกนออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น
ในทวีปแผ่นฟ้านี้ หากใครก็ตามที่ต้องการจะเดินในเส้นทางของผู้บ่มเพาะ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องดูดซับปราณวิญญาณเข้าสู้ตันเถียนเพื่อใช้มันในรูปแบบปราณของตนเอง และเมื่อกระทำการดูดซับปราณได้สำเร็จ จะทำให้คนผู้นั้นบรรลุแดนปราณปรับปรุงกายทันที จากนั้นจึงค่อยใช้การดูดซับปราณจากสิ่งต่างๆ เพื่อเลื่อนขั้นลมปราณต่อไป
เสี่ยวหวงที่บัดนี้อยู่ในแดนปราณขั้นสร้างรากฐาน ทว่าเขากลับไม่มีจุดตันเถียน แล้วก่อนหน้านี้เขาบ่มเพาะปราณมาอย่างไรกัน?
หลินซวนคิดว่าเสี่ยวหวงอาจจะเป็นอสูรสักชนิดหนึ่ง แต่เจ้าเด็กน้อยเองก็มิได้มีแกนกลางเช่นอสูรทั่วไป เช่นนั้นแล้วเหตุผลเช่นนี้ก็นับว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
นี่ทำให้สมองของหลินซวนปั่นป่วนและไม่สามารถรับรู้ได้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองเห็นว่าแม้กลิ่นอายของเสี่ยวหวงปั่นป่วนโกลาหลยิ่งนัก แต่มันก็มิได้ทำร้ายร่างกายของเด็กน้อย ดูเหมือนว่านี่จะคล้ายกับการเลื่อนขั้นของเหล่าผู้บ่มเพาะเสียมากกว่า
“หรือว่านี่จะเป็นเพราะเสี่ยวหวงต้องการจะเลื่อนขั้นเช่นนั้นหรือ?” หลินซวนมองไปยังหวงหาวพลางขมวดคิ้ว
“ช่างมันเถิด เร่งหาถ้ำเสียก่อนแล้วกัน”
หลินซวนพาเสี่ยวหวงข้ามผ่านระยะทางนับพันลี้ภายในก้าวเดียว ในชั่วพริบตา เขาก็เดินทางข้ามแดนลึกลับจนไปถึงชายขอบของมัน จากนั้นเขาก็ค้นพบถ้ำของอสูรระดับสร้างรากฐาน หลินซวนปลดปล่อยกลิ่นอายของตัวเองออกมาทันทีเพื่อทำให้อสูรตนนั้นหวาดกลัวจนหนีไป
เขาวางร่างของเสี่ยวหวงลงในถ้ำ เมื่อเห็นว่ากระบวนการบางอย่างในร่างของเสี่ยวหวงยังคงดำเนินต่อไป เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเสี่ยวหวงชื่นชอบการกินผลไม้วิญญาณยิ่งนัก เขาจึงนำเอาผลไม้วิญญาณออกมาและวางมันลงข้างกายของเสี่ยวหวงทันที
ในทันทีที่หลินซวนกระทำเช่นนั้น ผลไม้วิญญาณข้างกายเสี่ยวหวงก็ระเบิดออก มันกลายเป็นหมอกของปราณวิญญาณและลอยเข้าไปยังร่างของเสี่ยวหวงทันที
หลังจากที่หลินซวนในดวงตาของตนเองมองเห็นว่าปราณวิญญาณเข้าไปยังร่างของเสี่ยวหวง และถูกดูดซับด้วยกระดูกและกล้ามเนื้อของเด็กน้อย อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งในแก่อวัยวะภายในของเขา นี่ทำให้หลินซวนตกใจยิ่งขึ้นไปอีกระดับ
มิใช่ว่านี่เป็นการบ่มเพาะในวิถีของเหล่าอสูรหรอกหรือ? ทว่าหวงหาวกลับเป็นมนุษย์
“หรือว่าจะยังมีรูปแบบการบ่มเพาะที่ข้าไม่อาจรับรู้ได้อีกมากมายในโลกใบนี้? ไหนจะยังมีเซียนต้นหลิวที่ลึกลับผู้นั้น เขาไม่น่าจะเป็นตัวตนที่มีอยู่บนทวีปแห่งนี้ หรือว่าเขาจะมาจากด้านนอกของทวีปแผ่นฟ้ากัน?”
ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในสมองของหลินซวน และนั่นทำให้เขาตื่นตกใจยิ่งนัก
ทวีปแผ่นฟ้าไม่เพียงจะมีขนาดใหญ่กว่าอาณาเขตทั้งเก้า แต่หากกล่าวตามตรง อาณาเขตทั้งเก้านั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของทวีปแห่งนี้ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ อาณาเขตทั้งเก้านั้นมีพื้นที่เพียงสี่ในสิบของทวีปแผ่นฟ้าเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังคงเป็นปริศนาตราบจนทุกวันนี้
ไม่แน่ว่าในดินแดนต้องห้ามอาจจะปรากฏโลกขนาดเล็กอยู่ และในสถานที่เช่นนั้นอาจมีนิกายที่ยิ่งใหญ่หรือตระกูลบางตระกูลอาศัยอยู่ก็เป็นได้ และพื้นที่เหล่านั้นก็มิได้เล็กไปกว่าผืนทวีปที่เหลือแม้แต่น้อย
ครืน....
ร่างเล็กและแลดูอ่อนแอของเสี่ยวหวงแลดูจะแข็งแกร่งขึ้น ในระหว่างที่เขากำลังจำศีลคล้ายอสูรบางชนิด ส่วนสูงของเสี่ยวหวงก็เพิ่มขึ้นจนเท่ากับหลินซวนสองคนต่อกัน นี่ทำให้หลินซวนหงุดหงิดไม่น้อย เสี่ยวหวงตัวโตขึ้นเช่นนั้นหรือ?
เสียงดังสนั่นปะทุขึ้น ภาพลวงตาของโลกปรากฏขึ้นเบื้องหลังของหวงหาว ร่างเงาบางอย่างค่อยๆ ย่างก้าวออกมา มันมีความสูงถึงสามหมื่นฉื่อ และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและดูใหญ่ราวกับขุนเขา ลมหายใจของมันดังลั่นราวกับสายฟ้าฟาด กระทั่งหลินซวนเองยังชะงักค้างไป
จากนั้น ปราณสีเหลืองและดำบนร่างของเสี่ยวหวงก็เพิ่มพูนขึ้น มันเริ่มสกัดกั้นปรากฏการณ์เบื้องหลังและทำให้มันลดขนาดลงจนใหญ่เท่าฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นลำแสงและพุ่งเข้าไปยังร่างของเสี่ยวหวง
ในเวลาเดียวกันนั้น กลิ่นอายของหวงหาวเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอีกครา เขาข้ามผ่านแดนปราณและเข้าสู่ชนชั้นหมุนวนลมปราณในท้ายที่สุด!
นี่ทำให้ดวงตาของหลินซวนเบิกกว้าง หรือว่ากลุ่มแสงเหล่านั้นจะกลายเป็นทะเลปราณของเสี่ยวหวง?
หลินซวนยังคงจดจำได้ดีถึงสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่สูงกว่าสามหมื่นฉื่อตนนั้น หรือว่าหลังจากเสี่ยวหวงบ่มเพาะจนถึงระดับหนึ่ง เขาอาจจะสามารถอัญเชิญมันออกมาได้?
เขารีบส่ายหน้าในทันที เขาคิดว่าเรื่องเช่นนั้นควรจะปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต
ร่างของเสี่ยวหวงกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เขาเปิดเปลือกตาขึ้นและปรากฏร่องรอยความหิวโหย
“ข้ารู้สึกหิวนัก เจ้ายังมีผลไม้วิญญาณหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่?” เสี่ยวหวงลูบท้องของตนพลางเอ่ยเช่นนั้นกับหลินซวน...