บทที่ 3: พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ในเวลากลางคืนดวงดาวมากมายส่องสว่างเต็มท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องราวม่านฝนโปรย
หน้าต่างห้องของเย่เซิงเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาจึงสามารถมองเห็นแสงจ้าของพระจันทร์ได้ แต่เขาก็ไม่สนใจเลยแต่น้อย ตอนนี้เขาหลับตาและรออย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้เหล่าชาวโลกทั้งหลายต่างกำลังศึกษาวิชาทั้งสามที่เขามอบให้
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีประชากรหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนซึ่งเป็นชาวจีนล้วน ๆ แตกต่างจากโลกเดิมที่เขาเคยอยู่อย่างสิ้นเชิง
“แหมะ ถ้าเป็นดาวที่เราเคยอยู่ล่ะก็หมั่นใส้ประเทศไหนก็ระเบิดแม่มันทิ้งได้ตามใจชอบอะ” เย่เซิงรออย่างเบื่อหน่ายสุด ๆ จนเริ่มฟุ้งไปคิดถึงเรื่องอื่น
“เอาเถอะ ชาวจีนพันสี่ร้อยล้านก็ไม่แย่ อย่างน้อย ๆ พวกนั้นก็รู้และเข้าใจวิธีฝึกฝน พวกคนต่างชาติอาจไม่รู้เรื่องก็ได้” เย่เซิงพึมพำกับตัวเอง
เย่เซิงไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมจุดตันเถียนของเขาถึงเป็นดาวโลก แต่เขาไม่คิดจะหาคำตอบอะไรตอนนี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการออกจากบ้านตระกูลนี้ไปให้พ้น ๆ
“พ่อของไอ้หมอนี่ก็ช่างไร้หัวใจแท้ ๆ” เย่เซิงคิด เขานั้นคิดว่าพ่อของเจ้าของร่างเดิมนี่เป็นคนที่ไม่มีหัวใจจริง ๆ เพราะจากความทรงจำเขาจำได้ว่าตลอดสิบหกปีที่ผ่านมานี้การได้เห็นหน้าพ่อนี่ใช้มือข้างเดียวนับเอายังได้ ก็ประมาณห้าครั้งนั่นแหล่ะ แต่ละครั้งนี่ทั้งสายตาเย็นชาทั้งปากหมาตำหนิติเตียน เขาหาความทรงจำที่เจ้าคนเป็นพ่อนั่นปฏิบัติต่อเย่เซิงด้วยความเมตตากรุณาไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว
ขนาดแม่เขาตายไปแล้วเขายังต้องมานั่งร้องไห้เหงา ๆ อยู่คนเดียว ส่วนท่านเย่หวางเหย่ผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดินนั้นไม่เคยแวะมาหาเขาเลย
“ความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวในความทรงจำของเจ้าเย่เซิงน้อยนี่คือพี่หญิงใหญ่ของมันสินะ” เย่เซิงถอนหายใจ
เย่เซิงมีพี่ชายแปดคน พี่สาวสามคน น้องชายอีกหกคน เขาเป็นลูกคนที่สิบสองและถูกหมางเมินมากที่สุดแล้วในบรรดาเด็ก ๆ ทั้งหมดในบ้าน
พี่ชายทั้งแปดคนเติบโตและออกจากบ้านไปแล้ว บางคนไปเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการ บ้างคนพบพานครูบาอาจารย์และเข้าสู่นิกายเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเพียร บางคนก็ไปเข้าร่วมกองทัพ
พี่สาวสามคนของเขาถึงวัยแต่งงานแล้ว พี่สาวคนโตแต่งงานกับองค์จักรพรรดิปูนบำเหน็จเป็นพระมเหสี แต่หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกเลย
พี่สาวคนรองพบพานครูบาอาจารย์และออกจากบ้านไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลย เหลือแค่คนที่สามที่ตอนนี้ยังอยู่บ้านคอยปกครองคนอื่น ๆ นางสนุกกับการฝึกมีดดาบและหอก เพียงแต่ระดับการฝึกของนางนั้นแย่มากดังนั้นจึงถูกตำหนิอยู่บ่อย ๆ แต่กลับมีนายหญิงเฒ่าคอยปกป้องให้ท้ายเลยทำให้นางใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลตามได้ใจชอบเรื่อยมา
ในหวางฝูตระกูลเย่แห่งนี้มีแค่คนเดียวที่เคยดีต่อเย่เซิงคือพี่สาวคนโตนั่นเอง
เย่เซิงสูญเสียแม่ตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่มีใครมาเยี่ยมหรือร่วมแสดงความเสียใจ จะมีก็แต่เพียงพี่สาวคนโตเท่านั้นที่มาจัดการศพของแม่เขาให้มีการหามไปฝังในซีชาน หลังจากนั้นนางก็มาเยี่ยมเยียนเย่เซิงทุกวันอีกทั้งยังอ่อนโยนต่อเขาและคอยปกป้องเขาด้วย เมื่อได้ที่เย่เซิงโดนรังแกนางจะเอ่ยปากหรือไม่ก็เข้าสู้เพื่อปกป้องเขาเสมอมา
เย่เซิงจำปีที่แม่เขาเสียชีวิตได้ เขาอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวไร้ตนเหลียวแล แถมยังมีไอ้อีขี้ข้าอีกหลายคนที่กล้ามารังแกเขาด้วย พวกมันแกล้งเอาอาหารเหลือมาเสิร์ฟ ไม่ก็เย็นแล้ว หรือไม่ก็แย่กว่านั้นเยอะ
หลังจากที่พี่สาวคนโตรู้เรื่องนี้เข้านางก็โกรธจัดเป็นอย่างมาก ท่าทีของนางนั้นเย็นชาอย่างสุดขั้วจนไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องตัวสั่น จากนั้นนางได้จับไอ้พวกขี้ข้าที่กล้างรังแกน้องรักของนางแล้วทุบตีพวกมันต่อหน้าขี้ข้าตัวอื่น ๆ ทั้งหมดในหวางฝูตระกูลเย่ และนางไม่ใช่แค่ทุบตีธรรมดา ๆ แต่นางลงมือทุบตีพวกมันอย่างต่อเนื่องจนพวกมันขาดใจตายไปเลย
ฉากนี้เหมือนว่าจะถูกจารึกไว้ในความทรงจำส่วนลึกของเย่เซิง พี่สาวคนโตมักจะอ่อนโยน น่ารักและสง่างาม แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าตอนโกรธจะน่ากลัวถึงขนาดนี้
หลังจากโทษประหารในครั้งนั้นจึงทำให้ไม่มีคนรับใช้หน้าไหนกล้าดูถูกเย่เซิงต่อหน้าหรือกล้ารับใช้เขาด้วยวิธีการสารเลวอีกเลย ดังนั้นคนที่เย่เซิงรู้สึกผูกพันธ์ด้วยมากที่สุดในครอบครัวเฮงซวยนี้ก็คือ 'พี่หญิงใหญ่' ผู้นี้นี่แหล่ะ
แต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อสามปีที่แล้วนางได้อภิเษกสมรสกับองค์จักรพรรดิและกลายเป็นพระเมหสี เมื่อปีกลายนางก็พึ่งจะให้กำเนิดพระธิดาและอยู่เพลิดเพลินอยู่กับความหรูหราภายในวังจนไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกเลย
“ถ้าพี่หญิงใหญ่อยู่นี่ไอ้เย่ชิงมันคงไม่กล้ามารังแกเราหรอก” เย่เซิงถอนหายใจ
คนที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลนี้ก็คือเย่หวางเหย่ แต่คนผู้นี้ก็ไม่ค่อยจะได้กลับบ้านหรอก ต่อให้อยู่บ้านก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวภายในบ้านด้วย โยนทุกสิ่งทุกอย่างให้นายหญิงใหญ่รับผิดชอบหมด
ดังนั้นนายหญิงใหญ่เลยกลายเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในตระกูลไปโดยปริยาย แต่ว่าเมื่อใดที่นางต้องไปป๊ะเข้ากับพี่หญิงใหญ่ล่ะก็ แค่จะขึ้นเสียงใส่ก็ยังไม่กล้าเลย มีแค่นายหญิงเฒ่านั่นแหล่ะที่กล้าแหกปากใส่พี่หญิงใหญ่ และนับตั้งแต่พี่หญิงใหญ่ออกจากบ้านไปนายหญิงใหญ่ก็กลายเป็นผู้ดูแลเรื่องราวในหวางฝูตระกูลเย่ทั้งหมดเบ็ดเสร็จ
นายหญิงใหญ่นั้นไม่ได้ดีหรือแย่กับเย่เซิงอะไรมากมาย แค่เย่เซิงไม่ก่อปัญหาใด ๆ นางก็ขี้คร้านจะชายตามาแลมอง ทำอย่างกับเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อย่างสมบูรณ์
ส่วนเย่เซิงเซิงก็ไม่ได้มีคาแรคเตอร์ตัวก่อปัญหาด้วย เขาเป็นคนเงียบ ๆ เฉยชา ไม่แข่งขัน ไม่ทะเลาะ เลยไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกับนายหญิงใหญ่
ถ้าเขาดำเนินชีวิตต่อไปแบบนี้เย่เซิงก็คงจะเติบโตขึ้นไปเหมือนกับคนธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป และถูกไล่ออกจากบ้านพร้อมกับทรัพย์สินส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมาแม่ของไอ้เย่ชิงที่ชื่อว่าหูเหมยเริ่มมีสถานะในบ้านสูงขึ้น ตอนนี้นางดูแล้วแทบจะมีสถานะเทียบเท่านายหญิงใหญ่เลยด้วยซ้ำ วัน ๆ เอาแต่เดินก่อกวนให้เกิดความขัดแย้งไปทั่ว และไอ้เย่ชิงนี่ยิ่งหนัก มันอาศัยความรักความเอ็นดูจากแม่มันกับนายหญิงเฒ่าทำกร่างไปทั่วอย่างกับเสือติดปีก
คนเดียวในตระกูลเย่ที่เกลียดเย่เซิงเข้ากระดูกดำชนิดไม่อยากเผาผี พยายามหาทางผลักไสไล่ส่งเขาออกจากตระกูลและถึงขั้นอยากฆ่าเขาให้ตายก็มีแค่คนเดียวคือไอ้เย่ชิงชาติชั่วนี่แหล่ะ
ซึ่งในความเป็นจริงมันก็ทำสำเร็จไปแล้วด้วย ไอ้เย่งชิงได้ฆ่าเย่งเซิงในหมัดเดียวสมใจอยาก และเย่เซิงคนปัจจุบันที่อยู่ในร่างนี้ก็เป็นคนละคนกับเย่เซิงคนก่อน
“ไอ้เย่ชิงมันได้รับทรัพยากรฝึกฝนมากมายแถมมียังมีตระกูลหูเป็นแบ็คอีก ขนาดพรสวรรค์ในการฝึกฝนของมันจะแค่ค่าเฉลี่ย แต่ก็ทำให้มันไปถึงโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าด้วยอายุแค่สิบหกปีได้” เย่เซิงคิด
เย่หวางเหย่ผู้ยิ่งใหญ่มีบุตรธิดารวมกันเกินโหล แต่ตอนนี้นอกจากเย่เซิงคนเดียวแล้วที่เหลือทั้งหมดล้วนได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรได้
มีเฉพาะเย่เซิงเท่านั้นที่เจ้าผู้เป็นพ่อนั่นไม่อนุญาต เขาถูกสั่งห้ามอย่างเคร่งครัดไม่ให้เรียนรู้วิชาฝึกฝนใด ๆ ทำได้เพียงรับการศึกษาโดยธรรมดาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น
“แล้วมันจะมากลัวตูทำเชรี่ยไรนักหนาวะ? แค่มีแม่เป็นสตรีหญิงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสังสารวัฏเนี่ยนะ?” สีหน้าเย่เซิงยิ่งเย็นชาและเหินห่าง การคิดถึงเย่หวางเหย่ทำให้ 'ตัวเขา' ที่ก็ไม่ใช่ลูกมันแท้ ๆ ถึงกับต้องโกรธแค้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เย่หวางเหย่เป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฉิน เป็นผู้นำกองทัพและเป็นคนที่ลงมือฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา สำหรับเย่เซิงแล้วเจ้าผู้ชายคนนี้เป็นเพียงหุ่นยนต์ที่เย็นชาและไร้อารมณ์เท่านั้น
ด้วยเพราะสมองยังคงปั่นความคิดมากมายออกมาจนทำให้เหนื่อยล้า และเย่เซิงจึงค่อย ๆ หลับไปทั้ง ๆ ที่ยังคงคิดฟุ้งอยู่กับความทรงจำของเจ้าของร่างจนกระทั่งถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
วันรุ่งขึ้น เมื่อฟ้าเริ่มสางไก่ก็เริ่มขัน เย่เซิงลืมตาขึ้นมาและหันเหความสนใจไปยังจุดตันเถียนอย่างรวดเร็ว
ดาวเคราะห์สีน้ำเงินค่อย ๆ หมุนไป
เย่เซิงหันความสนใจไปที่โลกและเริ่มตรวจสอบความคืบหน้าของเหล่าชาวโลก
เขาได้ส่งต่อคัมภีร์วิชาฝึกฝนสามวิชาสู่โลก และมนุษย์โลกหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนได้เห็นแล้วทั้งหมด แม้จะมีหลายคนที่ไม่เชื่อ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ตัดสินใจลองเสี่ยงดู
ผู้คนจำนวนเจ็ดร้อยหกสิบล้านคนได้ตัดสินใจลองฝึกฝนวิชาเหล่านั้น
ในตอนเช้าได้มีจำนวนผู้ที่ฝึกสำเร็จขั้นพื้นฐานแล้วถึงหนึ่งร้อยเจ็ดคน
ทั้งสามวิชามีผู้ที่ฝึกฝนถึงระดับพื้นฐานในแต่ละวิชาด้วยจำนวนที่แตกต่างกันไปแต่รวม ๆ แล้วเป็นหนึ่งร้อยเจ็ดคน
ดวงตาของเย่เซิงเป็นประกาย ตราบเท่าที่มีชาวโลกฝึกสำเร็จขั้นพื้นฐานครบสิบคน เขาจะได้ขั้นพื้นฐานเองด้วยโดยอัตโนมัติ และเมื่อมีร้อยคนฝึกสำเร็จขั้นพื้นฐานแล้วเขาก็จะได้ขั้นต้นเองโดยอัตโนมัติ
ซึ่งจำนวนคนที่ฝึกสำเร็จขั้นพื้นฐานในแต่ละวิชานั้นยังมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคนดังนั้นเลยไม่ครบเงื่อนไขที่สอง แต่อย่างน้อย ๆ ครบเงื่อนไขแรกแล้วก็ยังดี
ดังนั้นเย่เซิงเลยสำเร็จขั้นพื้นฐานของทั้งสามวิชาแล้วโดยอัตโนมัติ
เย่เซิงรู้สึกว่าโลกสั่นสะเทือนเล็กน้อย จากนั้นพลังงานจำนวนมากได้ไหลเข้าสู่ร่างกายและจิตใจของเขาทำให้เขาต้องหลับตาแน่น
เพลงหมัดกุ่นฉี! เพลงกระบี่ลั่วเย่! เท้าวายุ!
เขาได้เรียนรู้วิชาทั้งสามโดยอัตโนมัติด้วย
เย่เซิงรู้สึกว่าลมปราณได้ไหลผ่านร่างกายตัวเองอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณหน้าอกซึ่งเป็นจุดที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด และตอนนี้ปราณแท้ (เจินชี่) กำลังเข้าไปหล่อเลี้ยงบำรุงตรงบริเวณนั้นอยู่
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็หายดีแล้ว เย่เซิงลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“บรรลุโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าแล้ว” เย่เซิงลองกำหมัดดูและสัมผัสได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่ได้ปรากฏขึ้นมา และความแข็งแกร่งที่ลองกะ ๆ ดูอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะสองร้อยห้าสิบจิน
โฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าหมายถึงผู้ฝึกฝนจะมีพละกำลังราว ๆ สองร้อยห้าสิบจินและร่างกายสามารถสร้างปราณแท้ขึ้นมาได้
เย่เซิงที่บรรลุได้แล้วนั้งหากเปิดใช้งานพลังปราณแท้ล่ะก็ความแข็งแกร่งของเขาจะทบทวีขึ้นไปอีก
ชาวโลกทั้งร้อยเจ็ดคนนั้นได้เดินเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีใครที่ไปถึงโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้า แต่คาดว่าคงจะอีกไม่กี่วันเดี๋ยวชาวโลกพวกนั้นก็ไปถึงเองนั่นแหล่ะ
ซึ่งแบบนั้นจะเท่ากับว่าเย่เทียนสามารถรับพลังของทั้งร้อยเจ็ดคนนั่นมาใช้กลายเป็นพลังโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าหนึ่งร้อยเจ็ดเท่าได้
“ในอีกสองวันเราก็น่าจะไม่ต้องเกรงกลัวไอ้หน้าไหนที่เวลต่ำกว่าห้าชั้นฟ้าอีกต่อไปแล้ว” เย่เซิงกำหมัดอย่างตื่นเต้น ดาวโลกนี่เป็นของขวัญที่วิเศษเกินไปแล้ว!