วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0053
บทที่ 20 ฤดูกาลแห่งความวุ่นวาย (3)
* * *
“ไปเอามาจากไหน?”
“เป็นทรัพย์สินของมนุษย์ที่เคยลักลอบเข้ามาในป่า แต่สุดท้ายก็เป็นเหยื่อของคำสาป”
อย่างที่คิด มีโอกาสสูงที่จะเป็นคนของ OWIC
พวกมันรู้มาตลอดว่ามีกำแพง และวางแผนซ้อนแผนเพื่อซ่อนตัวตนของมัน
OWIC สำรวจนอกกำแพงไปมากแค่ไหนแล้ว?
เรื่องนั้นช่างมันก่อน ฉันรับโทรศัพท์จากหัวหน้าเอลซินี่มาถือ
“ขอบใจ มีประโยชน์มาก”
“ถ้ามีประโยชน์… ข้าขอรบกวนท่านผู้ปกครองบางเรื่องได้ไหม? ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากแต่อย่างใด”
“ขอฟังรายละเอียดก่อน”
“ท่านรู้ใช่ไหมว่ามีดารากรชาวเอลฟ์”
เป็นเรื่องที่ได้ยินบ่อยมาก ซอจีอาก็เคยเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
“นามของดารากรตนนั้นคือเอลซิน เอลฟ์ผู้ค้นพบวิถีขึ้นสู่สรวงสวรรค์โดยการฝึกตน พวกเราคือกลุ่มผู้เดินตามรอยการฝึกตนของท่าน และแสวงหาการบรรลุแบบเดียวกัน”
“แล้วยังไงต่อ”
“ทายาทของเอลซินอาศัยอยู่ที่ใดสักแห่งบนทวีป หากท่านพบเข้า รบกวนช่วยถ่ายทอดข้อความจากพวกเราได้ไหม? ข้าขอร้อง”
หัวหน้าเอลซินี่เงยหน้าจ้องฉัน
“ช่วงเวลาแห่งคำสัญญามาถึงแล้ว ได้โปรดนำทางเหล่าเอลซินี่ด้วย”
สีหน้าของมันเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา
การเริ่มต้นยุคทอง หมายถึงสิ่งใดสำหรับชาวต่างโลกกันแน่?
คงอีกนานกว่าจะกลับถึงบ้าน นั่นหมายความว่า ฉันมีเวลาใคร่ครวญทุกสิ่งได้เต็มที่
“ลิลี่… จู่ๆ ฉันก็สงสัย”
“ว่า?”
ลิลี่มีนิสัยชอบเดินกุมสองมือไว้ด้านหน้า คงเป็นเพราะถูกฝึกมารยาทขุนนางมาตั้งแต่เด็ก
“เอ่อ… ระฆังเอล มันชื่ออะไรแล้วนะ”
“เอล โรคร่า เบลล่า El Locra Bella ความทรงจำของเจ้าแย่จริงๆ”
“จำยากอ่ะ เรียกเอลล่าก็แล้วกัน”
“…ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
ฉันชอบที่จะเห็นสายตาตำหนิของเธอ โดยเฉพาะความเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่งนั่น เห็นกี่ครั้งก็อมยิ้มได้เสมอ
แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น
“เธอเองก็ได้ยินระฆังใช่ไหม รวมถึงผู้มีโฉมผู้ปกครองทั่วโลก”
“แน่นอน”
“สำหรับเหล่าผู้ปกครอง ยุคทองคืออะไร”
“…”
สีหน้าลิลี่เริ่มซับซ้อน
ดูไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่แย่
“พูดตามตรง ข้าเองก็ไม่ทราบ”
อาจเป็นประเด็นที่ต้องใช้เวลาวิเคราะห์กันสักหน่อย
ระหว่างทาง พวกเราเห็นดาวตกจำนวนมาก
สำหรับฉัน มันก็แค่ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ที่วัตถุนอกโลกถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดูดเข้ามา และถูกชั้นบรรยากาศแผดเผา
ทว่า ลิลี่กลับมองภาพดังกล่าวด้วยใบหน้าลึกซึ้ง
“เหล่าดารากรกำลังเฉลิมฉลองยุคทอง… ยุคที่เจ้าเป็นผู้เริ่มต้น”
เหตุการณ์ที่เหล่าดารากรตอบสนองต่อการกระทำของหนึ่งบุคคล เป็นเรื่องที่มีแค่ในตำนาน
ดูเหมือนลิลี่จะภูมิใจกับหน้าที่ผู้นำทางของตนมาก
นั่นเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ฉันจมอยู่กับความคิดหนึ่งมาสักพักแล้ว
“ฉันจะหาอาณาจักรทองคำพบจริงหรือ”
“ต้องพบแน่ ข้าจะพยายามเต็มที่”
ลิลี่ยืนกรานเช่นนี้เสมอ แต่ฉันกลับคิดต่าง
“…แล้วถ้าฉันหาไม่พบล่ะ”
ใช่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันหาไม่เจอ?
สำหรับฉัน แค่ความสนุกระหว่างทางก็มีค่ามากพอแล้ว
แต่ลิลี่แทบจะร้องไห้ทุกครั้งที่ได้ยินฉันพูดแบบนี้
จริงอยู่ ใช่ว่าฉันจะไม่ใส่ใจเลย ก็แค่พูดติดตลกเท่านั้น
ไม่ได้แปลว่าจะไม่พยายามสักหน่อย
จุดแตกต่างเพียงข้อเดียวก็คือ ระหว่างทางมีความสุขหรือทุกข์ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากเลือกอย่างแรกมากกว่า
พวกเรากลับมาถึงบ้านในอีกสามสิบคืนให้หลัง จริงอยู่ที่เร็วกว่านี้ได้ แต่ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องรีบ
ทันทีที่กลับถึง พวกเราเก็บสัมภาระออกจากกระเป๋า ส่วนฉันหยิบโทรศัพท์ที่ได้รับจากเอลซินี่ขึ้นมาดู
ช่วงแรกคงต้องปิดเป็นความลับจาก OWIC ไปก่อน จากนั้นค่อยถามชาโซฮี เพราะเธอรู้วิธีกู้ข้อมูลดีกว่าฉัน
เก็บข้าวของเรียบร้อย ระยะเวลาที่เหลือถูกใช้ไปกับการอ่านสมุดบันทึกบนเก้าอี้ในสวนหน้ากระท่อม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน
“ซอจีอา”
“รู้อยู่แล้วสินะ”
กึก!
จากกิ่งต้นไม้สูง ซอจีอาร่อนลงพื้นอย่างเงียบเชียบ
ได้เห็นแบบนี้ เชื่อแล้วว่าเธอเป็นเอลฟ์จริงๆ
“เหนื่อยไหม? ที่รัก~”
“ใครเป็นที่รักของเธอ? สวมหน้ากากเป็นคนจริงจังมาตั้งนาน เปลี่ยนนิสัยอีกแล้ว?”
“ข้าก็แค่ซ้อมเผื่อไว้… เจ้าก่อความวุ่นวายจนกรุงโซลปั่นป่วนไปหมด ไม่รู้ตัวเลยหรือ? ประชาชนจำนวนมากกำลังชุมนุมที่จัตุรัสควังฮวามุนเพราะได้ยินเสียงระฆังที่เจ้าสั่น”
“OWIC คงเหนื่อยแย่”
“เจ้าพวกนั้นต้องเหนื่อยแน่ แต่ท้ายที่สุดก็จะปิดข่าวได้แนบเนียนเหมือนเดิม เป็นเช่นนี้เสมอมา”
ซอจีอายิ้มเล็กๆ
ลิลี่จ้องซอจีอาด้วยแววตาซับซ้อน
“ข้ามีบางสิ่งจะบอกเจ้า”
ซอจีอาเปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นขึงขังอีกครั้ง
“…เกี่ยวกับดารากรนามว่าเอลซิน”
“ดารากรของเอลฟ์? เอลฟ์ผู้ฝึกตนจนค้นพบวิธีบรรลุและได้ขึ้นสวรรค์สินะ”
“หืม… เจ้ามีข้อมูลมากกว่าที่ข้าคิด”
“โลกนี้เต็มไปด้วยพวกปากสว่าง”
ซอจีอาใช้หลังพิงกระท่อม พลางกล่าวต่อไปขณะหมุนกิ่งไม้เล่น
“ข้ายังเคยได้ยินเรื่องหนึ่งจากปากดารากรนามเอลซินโดยตรง”
“เรื่องอะไร?”
“ฤดูแห่งความวุ่นวายจะเริ่มขึ้นทันทีที่เอล โรคร่า เบลล่าดังขึ้น”
“…ฤดูกาลแห่งความวุ่นวาย? ไม่ใช่ยุคทองหรือ”
“ให้มองว่าเป็นช่องว่างระหว่างสองยุคสมัย”
“อ้อ… เข้าใจได้”
“ในฤดูกาลเหล่านั้น เรื่องราวมากมายจะเกิดขึ้นบนโลก”
ลิลี่เงยหน้าจ้องซอจีอา
“ผู้ปกครองคนอื่นมัวทำอะไรอยู่? ไม่มีใครอยากได้บัลลังก์เลยหรือ”
เป็นคำถามที่ฉันเองก็สงสัยมานาน
จะเกิดอะไรขึ้นถ้านี่กลายเป็นเกมแบตเทิลรอยัล (Battle Royale) ?
ฉันต้องตามหาบัลลังก์ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนั้นจริงหรือ?
ตอบยากเหมือนกัน แต่ถ้าจะบังคับให้ต้องตอบตอนนี้ ก็คงตอบว่า ‘ไม่’
อย่างไรก็ดี ซอจีอาตอบคำถามลิลี่ด้วยคำถาม
“…คิดว่าเหล่าผู้ปกครองต้องการบัลลังก์จริงหรือ?”
เป็นคำตอบที่มีหลากหลายความนัย
ซอจีอาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ปกครอง แต่เธอกลับไม่มีท่าทีอยากครองบัลลังก์เลยสักนิด
ตรงกันข้าม ดูท่าซอจีอาจะอยากเป็นอิสระโดยเร็ว
เธออยากหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของชะตากรรมนักพเนจรใจแทบขาด
* * *
ณ สุสานใต้ดิน
สุสานใต้ดินที่ตั้งอยู่บนเกาะร้าง
มันคือสถานที่ซึ่งหนึ่งในผู้ปกครอง ใช้สำหรับพักผ่อน
กึก!
กึก!
กึก!
ตะเกียงที่ค่อยๆ ไต่ลงตามบันไดหินวน แกว่งไกวซ้ายทีขวาที
บานประตูที่ปิดตายเป็นเวลานาน ถูกเปิดออกพร้อมกับเชื้อราที่ฟุ้งกระจาย
ผู้มาเยือนมิได้ใส่ใจความสกปรกมากนัก เพียงเช็ดจมูกด้วยผ้าคลุมลินินที่มีรูโหว่ จากนั้นก็นั่งยองในท่าถือตะเกียง
ใบหน้ามีหนวดเคราดกหนา แต่ดวงตาอันลุ่มลึกพิสูจน์ให้เห็น ว่าชายคนนี้ไม่ใช่พวกป่าเถื่อน
มันยิ้มและกล่าว
“ผู้ปฏิเสธที่จะจดจำเอ๋ย…”
เป็นการเปล่งเสียงต่อหน้าหัวกะโหลกที่วางอยู่บนพื้น ขณะเลื่อนตะเกียงเข้าไปใกล้
เป็นกลุ่มก้อนกระดูกที่ยากจะเรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะข้อต่อเสื่อมสภาพหมดแล้ว
ชายคนเดิมยังคงสนทนากับโครงกระดูกที่ยากจะคงสภาพเอาไว้
“ผู้ปฏิเสธที่จะจดจำเอ๋ย… ระฆังเอล โรคร่า เบลล่าสั่นแล้ว”
“ผู้ปฏิเสธที่จะจดจำเอ๋ย… ท่านคือปฐมผู้ปกครองหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน”
“ผู้ปฏิเสธที่จะจดจำเอ๋ย…”
“นั่นไม่ใช้ข้าโว้ย ไอ้เวร”
ชายถือตะเกียงหันไปตามต้นเสียง
เป็นอีกมุมหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป
ในจุดดังกล่าวมีโครงกระดูกถูกเรียงอย่างส่งเดช
“ทั้งที่เกิดทีหลัง แต่สมองกลับเลอะเลือนกว่าข้าแล้ว? ปัจจุบันผ่านไปกี่ปีแล้วล่ะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ท่านอาจารย์ กะโหลกที่นี่หน้าตาเหมือนๆ กันหมด ข้าจะไปรู้ได้ยังไง”
ชายคนดังกล่าวพึมพำพลางเดินเข้าไปหากะโหลกพูดได้
“ใช่แน่หรือ? เจ้าเป็นคนเอาเชื้อรามาป้ายตาข้าเอง จะลืมได้ยังไง?”
“อันที่จริง ถ้าข้าเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนว่า ท่านอาจารย์อยู่ไหน… ก็คงหาพบได้ไม่ยาก แต่ทำไมข้าต้องลำบากขนาดนั้น?”
“เฮ่อะ! ไอ้เด็กเวรที่ข้าเก็บมาสอน สุดท้ายก็มาจากส้วมออร์คหรือนี่”
“ส้วมออร์คก็ยังดีกว่าที่นี่นะ”
ชายคนเดิมนำกาวที่พกมาด้วย เชื่อมหัวกะโหลกเข้ากับโครงกระดูก
กาวชนิดพิเศษที่แฝงพลังชีวิตของป่า
โครงกระดูกโงนเงนสักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
“ว่าแต่มีธุระอะไร? ช่วยพูดอีกที ข้าได้ยินไม่ชัด”
“ตาแก่หูหนวกเอ้ย… ระฆังเอล โรคร่า เบลล่าสั่นแล้ว”
“เฮ้อ… พวกซินก้าเลือกผู้ปกครองแล้วสินะ? ผ่านมานานแค่ไหนกัน”
“ข้าจำไม่ได้ ส่วนท่านอาจารย์ก็คงไม่อยากจำ… ว่าแต่ ท่านเป็นอาจารย์ของข้าจริงๆ ใช่ไหม? หรือเป็นแค่ไอ้อันเดดเวรที่พยายามสวมรอย?”
“อาจารย์ของเจ้าก็เป็นอันเดด ไอ้เวร”
“ถ้าอย่างนั้นนะอาจารย์… ข้าชื่ออะไร? ไอ้อันเดดเวร ถ้าตอบไม่ถูก แขนขากลับไปหักเหมือนเดิมแน่”
“ยุกไซริล… แล้วข้าชื่ออะไร ตอบมา”
ชายวัยกลางคนหัวเราะคิกคักขณะถูกกะโหลกโงนเงนเขกหัว
“จะเป็นใครไปได้นอกจาก ปฐมนักบันทึก อันโตนิโอ·ชูก้า”
“อา… ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ของข้าจริงๆ เลิกเล่นแล้วเอาเสื้อผ้ามาได้แล้ว”
อันโตนิโอ ปฐมนักบันทึก ปกปิดร่างกายด้วยผ้าคลุมจากลูกศิษย์ จากนั้นก็สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าจนมิดชิด
“…ขึ้นไปกันเถอะ ข้าอยากเห็นแสงอาทิตย์แล้ว”
อันโตนิโอกล่าวพลางเดินไปทางประตู
“วัคค์vakk”
ประตูเปิดออกอย่างเงียบเชียบและราบรื่น
* * *
ณ ยอดเขาของภูเขาหิมะนิรนามแห่งหนึ่ง
อัศวินคนหนึ่งกำลังยืนริมหน้าผาอันคดเคี้ยวพลางจ้องไปทางเส้นขอบฟ้า
ชุดเกราะหนักที่ไม่เปิดเผยเนื้อหนัง คอยสะท้อนแสงระยิบระยับจากหิมะสีขาวที่มีอยู่ทั่วทั้งภูเขา ผ้าคลุมขนสัตว์นิรนามยังคงรักษารูปทรงแม้จะเผชิญกับสายลมเทือกเขา
ชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าลงหนึ่งข้างด้านหลังอัศวิน เป็นเด็กหนุ่มที่สวมชุดเปิดโล่ง เนื้อหนังถูกความหนาวเย็นกัดเซาะจนกลายเป็นสีม่วง
มันกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกชนิดและบากหน้ามาหาอัศวิน
“ท่านหัวหน้าอัศวิน… ท่านคือผู้แบกรับชะตากรรมของผู้ปกครอง… ท่านคือนักพิพากษา!”
เด็กหนุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้เกิดเสียงกรามกระทบกัน
แต่ก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งเวลาผ่านไป สายลมยอดเขาก็ยิ่งทวีความหนักหน่วง
“ระฆังเอล โรคร่า เบลล่าดังแล้ว… ช่วงเวลาแห่งคำสัญญามาถึงแล้ว! ท่านไม่คิดจะทำหน้าที่นักพิพากษาจริงหรือ”
อัศวินฝึกหัดตะโกนด้วยความกล้าหาญ
“ท่านคืออัศวินผู้เคยพิชิตจักรพรรดิในนามแห่งความยุติธรรม! เหตุไฉนถึงเลือกเดินบนเส้นทางนี้?”
และสาเหตุที่มันกำลังเผยสีหน้าสิ้นหวัง
“ข้าทราบดีว่าท่านทิ้งดาบไปแล้ว! ข้าทราบดีว่าท่านสาบานว่าจะไม่จับดาบอีก! แต่ข้าไม่เข้าใจ! ไม่ใช่ว่าท่านคือผู้ปกครองและราชาตัวอย่าง ผู้กล้าเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมหรอกหรือ?”
อัศวินยังคงมองไปที่เส้นขอบฟ้า
“จะ…จะต้องกลับมาอีกแน่! เกียรติยศของท่านจะต้องกลับมาได้แน่! บัลลังก์กำลังรอท่านอยู่!”
อัศวินยังคงเอาแต่จ้องเส้นขอบฟ้า
* * *
“ท่านนักบุญหญิง”
แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างสถาปัตยกรรมโบราณ ทวีความระยิบระยับและฉูดฉาด พลางแต่งแต้มสีสันของพื้นวิหารให้สดใส
นักบุญหญิงคนหนึ่งทำเพียงคุกเข่าอยู่ใจกลางเวที วางสองมือลงบนเข่าพลางก้มศีรษะเล็กน้อย
ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าตาข่าย เผยให้เห็นเพียงเส้นผมสีแดง
“ท่านนักบุญหญิง”
เป็นภาพที่ถ้าใครมาเห็นเข้า คงเข้าใจผิดคิดว่าเธอกำลังหลับหรือไม่ก็ตาย
แต่ทุกคนทราบดี นักบุญหญิงผู้นี้ไม่มีวันหลับใหล
ไม่สิ เธอหลับไม่ได้
ด้านหลังหญิงสาว นักบวชถือไม้เท้ากำลังกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน แต่หน้าผากที่จ้องไปยังแผ่นหลังอีกฝ่าย กำลังยับยู่ยี่สุดขีด
นั่นเพราะ ‘ท่านนักบุญหญิง’ เบื้องหน้ามัน คือผู้ทรยศต่อศาสนจักร
แต่ถึงอย่างนั้น นักบวชกลับยังเรียกเธอว่านักบุญหญิง
มันมีทางเลือกไม่มากนัก แม้เธอจะเป็นคนทรยศ แต่ก็ยังเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว
“ท่านนักบุญหญิง คงได้ยินระฆังแล้วใช่ไหม”
นักบุญหญิงไม่ตอบ นักบวชเริ่มขบกรามแน่น
“ระฆังเอล โรคร่า เบลล่า… ยุคทองเริ่มต้นขึ้นแล้ว ศาสนจักรเตรียมตัวมาเนิ่นนานเพื่อวันนี้ ท่านนักบุญหญิงก็คงทราบดี”
เธอยังคงไม่ตอบ
“ท่านคือนักพยากรณ์ หนึ่งในสิบสองโฉมผู้ปกครอง”
นักบุญหญิงไม่ปริปาก
“ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าหน้าที่ของนักพยากรณ์คืออะไร ท่านไม่รู้หรือว่าทำไมนักพยากรณ์รุ่นแล้วรุ่นเล่าถึงได้รับสถานะผู้ปกครอง…?”
นักบุญหญิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
โดยไม่ยอมกล่าวคำใด
นักบวชพูดไม่ออกสักพัก ลมหายใจของมันแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับเป็นปรกติ
“…นักพยากรณ์คือศูนย์รวมความสามัคคีและยังเป็นผู้นำทางของศาสนจักร… พวกเราต้องกลับไปรุ่งโรจน์ดังเดิมให้ได้”
นักบวชโยนไม้เท้าในมือทิ้ง
“ในเมื่อเวลานั้นมาถึงแล้ว ทำไมท่านถึงไม่ยอมทำหน้าที่? ข้าเคยหวังมาตลอดว่ายุคทองจะไม่มาถึงในช่วงที่ท่านยังเป็นนักพยากรณ์!”
นักบุญหญิงคือนักพยากรณ์แห่งศาสนจักร
เธอเคยเป็นที่รักของทุกคน และเคยเป็นผู้ศรัทธาอันแรงกล้าที่ไม่ทำให้ใครผิดหวัง
หญิงสาวถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นเจ้าของโฉมผู้ปกครองที่เก่งกาจ
แต่แล้ววันหนึ่ง เธอกลับปฏิเสธที่จะทำนาย
ศาสนจักรใช้สารพัดวิธีเพื่อโน้มน้าวเธอ สิ้นเปลืองเวลาไปมากมาย
ลงเอยด้วย เมื่อความอดทนหมดลง พวกมันใช้กำลังเข้าบังคับ
แต่จนแล้วจนรอด ความพยายามในการเปิดปากนักพยากรณ์ยังคงล้มเหลว
ตรงกันข้าม พฤติกรรมดังกล่าวสร้างผลลัพธ์ที่มิอาจหวนกลับ
“เราทำเพื่อท่านมานานแค่ไหน… ทำไมถึงคิดละทิ้งหน้าที่นักพยากรณ์? ท่านแบบนี้ได้ยังไง…”
นักบุญหญิงหันหลังกลับ ด้วยสีหน้าและแววตาไร้อารมณ์
จากนั้นก็เดินเข้าหานักบวช
ในการมองเห็นของนักบวชที่ประสานสายตากัน มันพบความเศร้า มิใช่ความโกรธ
“ทำไมกัน… ทำไมท่านถึงต้องเลือกเส้นทางนี้? ศาสนจักรบกพร่องตรงไหน? พวกเราทำให้ท่านหนักใจเกินไปหรือ?”
นักบุญหญิง วีว่าซิสซิโม่
นักบวชสตรีเจ้าของเส้นผมสีแดงยาว
เจ้าของโฉมนักพยากรณ์รุ่นปัจจุบัน
ในปากของเธอกำลังคาบมีด
หากหลุดออกจากปาก มีดจะนำมาซึ่งหายนะร้ายแรงที่มีอาจแก้ไข รวมถึงทำลายตัวเธอเองด้วย
นี่มิใช่คำสาปหรือการเสียสละ
เป็นเพียงความต้องการของเจ้าตัว เพื่อตอกย้ำความหนักแน่นของจิตใจ
หญิงสาวผู้สาบานว่าจะไม่มอบคำทำนายใดอีก
ผู้สาบานว่าจะไม่เปิดปากเปล่งคำใดอีก
วีว่าซิสซิโม่เดินผ่านนักบวชออกไปจากวิหาร
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel