วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0052
บทที่ 20 ฤดูกาลแห่งความวุ่นวาย (2)
* * *
หนวดเครายุ่งเหยิง ผมบ๊อบหยักศก
สีหน้าร่าเริงตรงข้ามกับรูปลักษณ์อันขึงขัง
เป็นรูปปั้นในท่านั่ง กำลังใช้ปากกาเขียนบางสิ่งลงบนหนังสือเล่มใหญ่ บนหน้ากระดาษมีประโยครูนหนึ่งประโยคที่สมบูรณ์แบบ
“นี่ใคร?”
“…หนังสือและปากกา”
ลิลี่ทราบได้ทันที
“น่าจะเป็นนักบันทึกคนแรก”
“นักบันทึก?”
“หนึ่งในผู้ปกครอง เชื่อเต็มของเขาคืออันโตนิโอ·ชูก้า”
มีกระเป๋าใบหนึ่งวางอยู่ข้างๆ กัน แต่เป็นกระเป๋าจริงๆ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของรูปปั้น
กระเป๋าหนังที่ดูทนทาน ประดับประดาด้วยโลหะ เลียบขอบทองในบางจุด
ดูเหมือนจะมีความพิเศษ ฉันจึงเข้าใกล้ด้วยความไม่ประมาท
มันดูโดดเด่นจนอดไม่ได้ที่จะระแวง จึงต้องตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่ใช่กับดัก
กว่าจะได้ลองจับจริงๆ ก็ผ่านไปแล้วสามสิบนาที ลิลี่ซึ่งเข้าใจเจตนาก็ยืนรออยู่ด้านหลังโดยไม่ปริปาก
หลังจากยกกระเป๋าขึ้น ฉันบรรจงเปิดมันออก
ทันใดนั้น
“…ไม่เห็นอะไรเลย”
มืดเกินกว่าจะเห็นอะไร
แสงไฟจากช่องว่างกำแพงยังมีข้อจำกัดด้านการมองเห็น
“โมห์สmohs”
ฉันเสกลูกไฟ
“…?”
ถึงตรงนี้ ลิลี่เริ่มขยับเข้ามาใกล้
คงเพราะอากัปกิริยาของฉันค่อนข้างประหลาด
และไม่นาน ลิลี่ก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน
“ไม่… เห็นอะไรเลย…”
ใช่แล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย
ลิลี่กับฉันครุ่นคิดกันต่ออีกประมาณสามสิบนาที
ดังที่เคยย้ำเตือนไปหลายครั้ง คำว่านักผจญภัยไม่ได้เขียนเหมือนนักฆ่าตัวตาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กระเป๋าที่มองไม่เห็นก้นใบนี้ กระตุ้นจิตวิญญาณของนักผจญภัยอย่างเต็มเปี่ยม
ข้างในจะมีอะไรอยู่? อยากรู้ใจแทบขาดแล้ว!
แต่ถ้าสอดมือเข้าไป นั่นอาจเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
ฉันตัดสินใจทดสอบด้วยวิธีง่ายๆ
<คันศรนักพเนจร>
เสกลูกศรเชือกและยิงเข้าไปในปากถุง
ง่ายๆ แค่นั้นเลย
ลูกศรเชือกพุ่งหายเข้าไป และพุ่งต่อไม่หยุดจนเชือกใกล้หมด
หากฉันไม่ตัดสินใจจับเชือกไว้ มันคงหายเข้าไปข้างในทั้งเส้น
พอลองดึงออกมาก็พบว่า ไม่มีส่วนใดที่เสียหายหรือถูกโจมตี
เท่ากับว่าปลอดภัยสินะ?
ฉันสอดมือเข้าไปทันที
จากนั้นก็ต้องประหลาดใจ
เพราะสัมผัสด้านในเหมือนกับกระเป๋าทั่วไปทุกประการ
แถมยังรู้สึกเล็กกว่าที่คิด
เมื่อสักครู่ เชือกที่ยาวกว่าสองร้อยเมตรยังถูกดูดเข้าไปจนเกือบหมด
“…เรียกว่าไอ้นั่นรึเปล่านะ… กระเป๋าห้วงมิติ?”
“คนโบราณคงใช้กระเป๋าแบบนี้”
กระเป๋าห้วงมิติที่ถูกสร้างโดยเทคโนโลยีระดับสูงของอารยธรรมโบราณ
“โกงมาก… ของแบบนี้”
ฉันฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงพยายามควานหาข้างใน และคว้าบางสิ่งติดมือกลับมา
ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสองข้างพลันเบิกกว้าง
วัตถุทรงกลมมุมแหลม ซึ่งกำลังถูกคีบระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้
ไม่สิ มันคืออัญมณี
“…”
ลิลี่ทำตาลุกวาว ฉันก็เช่นกัน
“สมบัติทองคำ…”
เจอง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?
ไม่สิ อาจจะปรกติแล้วก็ได้ เพราะเดิมที คนทั่วไปคงไม่มีทางเข้ามาถึงที่นี่
ไม่เพียงโบราณสถานจะถูกอำพรางและปกป้องอย่างแน่นหนา แต่ยังต้องใช้พลังของฉันกับลิลี่เพื่อเปิดห้องใต้ดิน
หลังจากหาเหตุผลมารองรับ ฉันกำอัญมณีไว้ในมือและค่อยๆ บีบหมัด
เมื่อตระหนักว่าจะมีบางสิ่งพุ่งออกมา ลิลี่รีบก้าวถอยหลัง
ฉันเริ่มสัมผัสถึงความอบอุ่นจากแสงสีฟ้าที่แผ่ไปทั่วฝ่ามือ
แสงสว่างพุ่งออกมาตามช่องว่างระหว่างนิ้ว
จากนั้น ทุกสิ่งจบลง
“หา? ไม่ได้ผล?”
เป็นธรรมดาที่ลิลี่จะตอบสนองแบบนั้น
แต่ฉันทราบดี ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น
ฝ่ามือค่อยๆ คลายออก
และสิ่งที่อยู่ตรงกลาง
“…แหวน”
แหวนซึ่งมีอัญมณีสีน้ำเงินเข้มห้าเม็ดฝังไว้ในระยะห่างที่เท่ากัน
ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องลังเลอีก ฉันรีบสวมมันลงบนนิ้วชี้ข้างขวา
แค่บังเอิญจริงๆ หรือ?
หรืออาจเหมือนกับคันศรนักพเนจร ดูเหมือนว่าสมบัติทองคำจะอ่านเจตนาของผู้ใช้งานได้
“พอดีนิ้วเลย… ไม่น่าเชื่อ”
ได้ยินคำพูดของฉัน ลิลี่พยักหน้า
“เหมือนกับคันศรนักพเนจร สมบัติเหล่านี้เข้าใจเจตจำนงของผู้ใช้งาน”
“ไม่อึดอัดเลยสักนิด เหมือนกับไม่ได้สวมอยู่”
“ก็เป็นถึงสมบัติทองคำล่ะนะ ย่อมต้องไม่ธรรมดา”
“…แต่หลังจากสวม ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”
“…?”
ตามปรกติแล้ว ถ้าพูดถึงแหวน ผู้สวมก็ควรได้รับบัฟสักอย่างไม่ใช่หรือ? เช่นสถานะล่องหนหรืออะไรทำนองนั้น
ฉันคาดหวัง แต่กลับไม่ใช่
“ต้องหาให้พบ”
ลิลี่ที่ไม่ทราบเช่นกัน กับฉัน ตัดสินใจใช้เวลาสักพักเพื่อค้นหาพลังของแหวน
ตอนนี้พวกเราเก็บเกี่ยวทุกสิ่งจากโบราณสถานได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะกระเป๋าห้วงมิติ สมบัติทองคำชิ้นที่สอง หรือแม้กระทั่งบาเรียกระจกยักษ์ที่สามารถพับเก็บได้
เป็นผลประกอบการที่สูงกว่าความคาดหมายมาก ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ทั้งหมดจากโบราณสถานเพียงแห่งเดียว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังไม่ลืม
หนังสือที่รูปปั้นของนักบันทึกคนแรกกำลังถือ นั่นไม่ใช่แค่ของตกแต่ง
“เป็นอักษรรูนไม่ผิดแน่”
ลิลี่เดินเข้ามาใกล้ด้วยความสนใจ ขณะเดียวกัน ฉันวางนิ้วลงบนอักษรรูนเพื่อทดสอบผลลัพธ์
“คา…”
แค่พยางค์แรกยังเปล่งไม่ออก
เสียงหายไปกลางคัน
“…?”
ฉันก้มมองแหวนที่มือขวา
จากบรรดาอัญมณีสีน้ำเงินที่เรียงกันอย่างสม่ำเสมอ หนึ่งในห้าเม็ดส่องแสงเจิดจ้า
ไม่สิ ที่จริงมันแค่ส่องแสงสลัว แต่ดูสว่างมากในห้องมืด
อักษรรูนลอยเข้ามาในอัญมณีและส่องแสง
* * *
ฉันทดสอบพลังของแหวนทันที
และพบว่ามันมีพลังที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน
สามารถกักเก็บอักษรรูนได้ห้าตัว และนำออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ
ฉันมองเห็นประโยชน์การใช้งานในหลายด้าน
อันดับแรก
ซ่า!
ทันทีที่วางมือลงบนพื้น สายน้ำสาดกระเซ็นไปทุกทิศ เป็นพลังจากเซียร์thir ในรูปแบบอักษรรูน
ในเวลาเดียวกัน จำนวนอักษรรูนที่บันทึกในแหวนก็ลดลงไปหนึ่ง
ถัดมา
คราวนี้ฉันเหยียดแขนไปทางกำแพงฝั่งไกล
ซู่ว!
บนกำแพง อักษรรูนปรากฏขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ตามด้วยการระเบิดของสายน้ำ
กล่าวคือ ฉันสามารถ ‘โยน’ อักษรรูนไว้บนพื้นผิวของทุกสิ่งในระยะทางจำกัด
หรืออีกนัยหนึ่ง โมห์สmohs และเซียร์thir สามารถใช้งานได้ในระยะไกล
“ในภาษาทำนองนี้แทบทุกชนิด รูปแบบการเขียนจะทรงพลังกว่ารูปแบบการพูดเสมอ”
“ใช่ ข้าก็เคยเรียนมา”
“หมายความว่า โมห์สที่บันทึกไว้ในแหวนจะทรงพลังกว่าการเปล่งออกมาเฉยๆ”
แม้จะไม่ได้มีพลังทำลายมหาศาล แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าของเก่า
นอกจากนั้น ประสิทธิภาพและความเร็วยังเพิ่มขึ้น
ไม่ว่าจะเปล่งเสียงได้เร็วแค่ไหน แต่ภาษารูนก็ยังเป็นภาษารูน แม้แต่ฉันก็ไม่สามารถรัวยิงได้เหมือนปืนกล เพราะยังต้องคอยรักษาเงื่อนไขด้านความถูกต้องเอาไว้
แต่ถ้าเป็นเจ้านี่ล่ะก็
วิ้ง!
ด้วยแหวนวงนี้ ขอเพียงเหยียดมือออกไป อักษรรูนจะทำงานทันทีโดยไม่มีช่องว่าง
“…นี่คือแหวนของนักบันทึก?”
พลังของมันอาจดูเรียบง่าย แต่ก็เหมือนกับคันศรนักพเนจร ศักยภาพจะไร้สิ้นสุดถ้าฉันเกิดไอเดียใหม่ๆ
นอกจากนั้นยังมีประโยครูนที่ถูกเขียนไว้บนหนังสือของรูปปั้น มันคือสิ่งสุดท้ายที่ถูกบันทึกไว้ในแหวน
ความสามารถนั้นคืออะไร…
“คึฮ่าฮ่า!”
ไม่ใช่เสียงของฉัน
เป็นเสียงจากอักษรรูน
“…”
“…”
ลิลี่เผยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
บางที สีหน้าของฉันอาจไม่ต่างกัน
ลิลี่กล่าวพลางข่มอารมณ์
“…นักบันทึกคนแรกคงมีนิสัยขี้เล่น”
“นั่นสินะ… แบบนี้จะเชื่อในสิ่งที่เขาบันทึกได้หรือ”
“เรื่องนั้น… เขาเป็นถึงผู้ปกครอง คงเชื่อได้แหละ”
มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันลองวาดอักษรรูนขึ้นมาใหม่และยิงออกไป
“คึฮะฮะ!”
จากนั้นก็มองไปทางลิลี่
“ฮะ? เธอออกเสียงผิดแล้ว ต้องพูดว่า ‘ฮ่า’ สิ ไม่ใช่ ‘ฮะ’”
“…ตลกมากไหม”
ฉันแค่เงียบ และตัดสินใจเลิกแกล้งเธอ
ตัวอักษรนี้ใช้งานยังไง?
ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่จดจำไว้ก็ไม่เสียหาย ไม่ได้เปลืองสมองขนาดนั้น
ยังเหลือสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ
หลังจากเปลี่ยนแหวนนักบันทึกกลับเป็นไปเครื่องประดับ ฉันสอดอัญมณีเข้าไปในเข็มชี้
ทันใดนั้น เข็มชี้หันไปยังทิศทางอื่นทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นคือตำแหน่งของสมบัติชิ้นถัดไป
“มาร์คามา ทูซาลี-วอนด์ เดอโมห์สMarlkaama to sali-wond de mohs”
หลังจากเรียกเข็มทิศส่วนตัว ฉันหมุนหน้าปัดทองคำให้ตรงกับทิศจริง จากนั้นก็ใช้ปากกาทำสัญลักษณ์ในทิศทางที่เข็มชี้หันไป
“เจ้ากำลังทำอะไร”
“ไว้อธิบายทีหลัง”
นี่คือเทคนิคการอ่านแผนที่ เป็นการเทียบเข็มทิศระหว่างจุดสองจุดเพื่อหาตำแหน่งที่แม่นยำ
เดิมที วิธีนี้จะใช้ดาวเหนือและดวงอาทิตย์อ้างอิง แต่ก็นำมาปรับใช้แบบนี้ได้เช่นกัน
ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ไว้กลับถึงเบสแคมป์ก็คงรู้
เมื่อลุกขึ้นยืน สัมภาระในกระเป๋าของฉันกับลิลี่ถูกย้ายไว้ในกระเป๋าห้วงมิติ
ทั้งหมดเข้าไปได้อย่างไร้อุปสรรค
เมื่อลองยกดูก็พบว่า น้ำหนักหายไปเยอะมาก
หายไปประมาณหนึ่งในสาม…
ในอนาคต ถ้าไม่เล่นพิเรนทร์ใส่ของแปลกๆ ลงไป ก็คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักสัมภาระอีก สามารถเพิ่มตัวเลือกใหม่ๆ สำหรับการเดินทาง
“ฉันชอบเจ้านี่มากที่สุด”
“มากกว่าสมบัติทองคำ?”
“ใช่… อาจเหลื่อมล้ำไม่มาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ฉันประทับใจที่สุด”
กรัมคือกิโลกรัม
เมื่อตระหนักว่าการสำรวจในอนาคตจะประสบปัญหาด้านน้ำหนักน้อยลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กระเป๋าใบนี้สำคัญกับฉันมากแค่ไหน
หลังออกจากห้องใต้ดิน ฉันแหงนมองท้องฟ้าอยู่สักพัก
ยังอีกนานกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน นี่คือช่วงเวลาที่ควรเดินทางกลับ
ปัญหาด้านอาหารยังไม่ถูกสะสาง จึงเป็นการดีกว่าถ้าจะกลับเข้าป่าแทนการค้างคืนที่นี่
พวกเราเดินผ่านแท่นบูชาและได้พบกับแมวหุ่นยนต์
ฉันวางมือลูบหัวพลางกล่าว
“จะกลับแล้วนะ”
แมวหุ่นยนต์ทำเพียงก้มเลียอุ้งเท้าหน้าราวกับไม่ได้ใส่ใจ
แม้จะเป็นแค่เครื่องจักร แต่ฉันกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
พวกเราเดินทางออกจากโบราณสถาน
“ทุกครั้งที่เดินทางกลับ ฉันมักจะกังวลว่ายังลืมทำอะไรอีกไหม”
“แล้วทำไมถึงไม่ค้างสักคืนก่อนกลับ”
ฉันส่ายหน้า
นั่นก็แค่ความกังวล แล้วอีกอย่าง ถึงจะกลับไปแบบนึกเสียดายทีหลัง แต่นั่นจะเพิ่มคุณค่าให้กับการมาเยือนครั้งถัดไป ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนบรรลุทุกสิ่งในการสำรวจครั้งเดียว
พวกเราเดินผ่านป่ากลับมาทางเก่า จนกระทั่งพบคนบางกลุ่มยืนรอใกล้กับทางเข้า
“กลุ่มเอลซินี่ก่อนหน้านี้”
“…พวกเขามีปัญหาอะไร”
กลับมาแก้แค้น?
ตอนแรกฉันคิดแบบนั้น แต่เมื่อระยะห่างลดลงจนมองเห็นสีหน้า ดูเหมือนจะเป็นการเข้าใจผิด
“ท่านผู้ปกครอง”
เอลซินี่ทุกตนโค้งศีรษะคำนับฉันโดยพร้อมเพรียง
“ข้าได้ยินระฆังแล้ว… ระฆังที่ประกาศจุดจบของยุคสมัย”
“ดังมาไกลเหมือนกันนะ”
หัวหน้าเอลซินี่ เอลฟ์หนุ่มผมดงสีแดงเพลิงเงยหน้าขึ้น
“เอล โรคร่า เบลล่าEl Locra Bella ไม่มีระยะทาง ทุกคนทั่วโลกที่กำลังเปิดโสตประสาทจะได้ยินเสียงเริ่มต้นของยุคใหม่อย่างทั่วถึง ไม่เว้นแม้กระทั่งเหยี่ยวจากความมืดมิดนิรันดร์”
ฉันได้ฟังตำนานมาจากลิลี่แล้ว
แต่ถ้าคนทั้งโลกได้ยินจริง นั่นจะไม่วุ่นวายเอาหรือ?
“…ทั่วโลกกำลังวุ่นวาย แต่พวกเราจะยังฝึกฝนต่อไป”
อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อพูดแค่นี้? บ้านอยู่แถวนี้หรือไง
ขณะฉันครุ่นคิด หัวหน้าเอลซินี่ยื่นบางสิ่งให้
“ข้าพกมาด้วยเพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้ปกครอง”
จ้องมองสักพัก ฉันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เพราะสิ่งนี้คือสมาร์ตโฟน แถมยังเป็นรุ่นใหม่
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel