เล่มที่ 1: ถิ่นทุรกันดาร – บทที่ 6: ชาง [อ่านฟรี]
“ของขวัญสามชิ้น?” อเล็กซ์ถามขณะเลิกคิ้วขึ้น
“ใช่ ของขวัญสามชิ้น” ชายหนุ่มตอบขณะเอนหลังพิงบัลลังก์พร้อมแสยะยิ้ม “คนที่แข็งแกร่งสุดไม่ได้เดินตามเส้นทางแห่งเวทมนตร์ก็เกือบจะไปไม่ถึงอาณาจักรที่สี่ซึ่งที่นั่นมีอาณาจักรให้ไปอีกมากมาย”
“เจ้าไม่มีการสืบทอดเคล็ดวิชาหรือบุคคลอื่นใดที่สามารถช่วยเจ้าได้เมื่อเจ้าไปถึงอาณาจักรที่สาม สองอาณาจักรแรกไปถึงไม่ยาก แต่เจ้าต้องเริ่มเส้นทางของเจ้าเองในอาณาจักรที่สาม”
“ฉะนั้นเจ้าจึงต้องได้รับความช่วยเหลือสักเล็กน้อย มิฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถไปถึงระดับพลังสำคัญใด ๆ ได้เลย”
อเล็กซ์ถอนหายใจ
‘ไม่มีความช่วยเหลือ หือ?’ อเล็กซ์คิด ‘ฉันต้องสร้างเส้นทางสู่พลังขึ้นมาเองสินะ’
อเล็กซ์มองชายหนุ่มครู่หนึ่งขณะที่ชายหนุ่มแสยะยิ้มให้เขา
อเล็กซ์สั่นเล็กน้อย
‘ไว้ในอะไรไม่ได้เลย ไม่มีใครที่ฉันจะขอคำแนะนำได้เลย’
‘ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเองล้วน ๆ!’
‘ฟังดูน่าตื่นเต้นชะมัด!’
ใช่ ร่างกายของอเล็กซ์ไม่ได้สั่นเพราะความกลัวหรือความกังวลแต่เป็นยความตื่นเต้น!
ที่ผ่านมาอเล็กซ์ไม่ค่อยได้เล่นเกมมากนัก แต่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ อเล็กซ์ยังต้องการให้ชีวิตได้รับการเติมเต็มด้วยความตื่นเต้นบ้าง
โลกสีเทาและระบบที่ไร้ประโยชน์ของโลกเก่าช่างน่าเบื่อ
สองกำปั้นไม่อาจสู้สี่มือได้
นี่เป็นวลีเก่าที่อเล็กซ์เคยได้ยินมากจากโค้ชคนหนึ่งของเขาในอดีต หมายความว่า จำนวนที่มากกว่าสามารถเอาชนะความแข็งแกร่งได้
นักสู้ที่แข็งแกร่งอาจจะสามารถเอาชนะสองคน สามคน หรืออาจจะสี่คนพร้อมกันได้ในการต่อสู้ แต่ถ้าสิบคนล่ะ? ร้อน? พัน?
เป็นไปไม่ได้
เพียงแค่การล้มทับตัวนักสู้ด้วยน้ำหนักตัว มวลของคู่ต่อสู้ที่ทับกันหลายคนก็พอที่จะทำให้นักสู้คนนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากกล้ามเนื้อของชายหนึ่งคนก็มีเพียงแค่เท่านั้น ไม่อาจต่อต้านน้ำหนักมหาศาลหลายร้อยกิโลที่กดทับลงบนร่างกายขนาดนั้นได้
อเล็กซ์มองชายหนุ่ม
‘แต่ความจริงนั่นมันใช้กับเขาได้เหรอ?’ อเล็กซ์คิด ‘จำนวนของมนุษย์ปกติแบบฉันยังสำคัญอยู่เหรอถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเขาได้? จำนวนยังสำคัญอยู่อีกไหมในเมื่อเขาสามารถฆ่าทุกคนได้เพียงแค่โบกมือไปมา?’
‘การต่อสู้คือวิถีชีวิตฉันมาโดยตลอด แต่ตราบใดที่ฉันไม่ได้ยืนอยู่จุดสูงสุด และตราบใดที่ฉันไม่ได้อยู่ในหนึ่งเปอร์เซ็นต์แรกของนักสู้ ฟันธงเลยว่าคงเอาชีวิตไม่รอดแน่’
‘ยิ่งไปกว่านั้น การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยครั้งเดียวอาจทำให้ฉันไม่สามารถต่อสู้ได้อีกเลยในอนาคต’
‘แต่ในโลกนี้ ฉันสามารถทำลายกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้! ฉันสามารถไปสู่พลังที่แท้จริงได้!’
“ว่ามา” อเล็กซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง แต่ก็ยังความสั่นเล็ก ๆ ในน้ำเสียงของตัวเอง
ชายหนุ่มหัวเราะในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ออกความเห็นกับความคิดของอเล็กซ์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เขาได้บอกอเล็กซ์มากกว่าหนึ่งครั้งว่าเขาเหมาะสมกับโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
ชิ้ง!
เกิดแสงสีขาววาบมาครู่หนึ่ง และลูกบาศก์สีดำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าอเล็กซ์ ลอยอยู่ในอากาศ
“นี่คืออาวุธของเจ้า” ชายหนุ่มอธิบาย
อเล็กซ์จับลูกบาศก์และมันเกือบจะทำให้เขาล้มคะมำไปข้างหน้า
ลูกบาศก์นี่หนักมาก!
“มันดูไม่เหมือนอาวุธเลยนะ” อเล็กซ์พูดพลางขมวดคิ้ว
“นั่นเพราะว่ามันยังไม่รู้ว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางใด” ชายหนุ่มว่า “เมื่อใดก็ตามที่เจ้าตัดสินใจเลือกเส้นทางสู่พลัง จงบอกลูกบาศก์ว่าอยากจะให้มันกลายเป็นอะไร และมันจะกลายเป็นรูปแบบนั้น จงจำไว้ว่าต้องเป็นรูปแบบที่ถาวรและจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่ายในอนาคต”
“เพราะในโลกข้าไม่มีช่างทำอาวุธที่รู้วิธีสร้างอาวุธอันทรงพลังอื่นนอกจากอาวุธของจอมเวทย์ เมื่อถึงจุดนั้น หากเจ้าได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับอาวุธนั้นแล้วเจ้าจะต้องสร้างอาวุธของเจ้าเอง หากทำเช่นนั้น เจ้าจะต้องมุ่งไปยังสองเส้นทางแทนที่จะเป็นหนึ่ง เรายังไม่ควรกดดันเจ้าตอนนี้ใช่ไหม?” ชายหนุ่มอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
อเล็กซ์เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาทันที “คือตอนนี้ฉันยังใช้อาวุธนี้ไม่ได้ หรือมันจะหลายเป็นของไร้ประโยชน์ในอนาคต ถึงอย่างนั้น อาวุธก็ไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างเท่าเทีนยมกันอยู่ดี”
ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อย “แต่อาวุธนี้ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” เขาว่า
อเล็กซ์กระพริบตาสองครั้งในความสับสน
“อาวุธสามารถพัฒนาได้โดยดูดซับโลหะอันทรงพลัง” เขาอธิบาย “ในตอนแรก มันจะไม่ได้ดีไปกว่าดาบธรรมดาหรือหอกธรรมดาเล่นหนึ่งหรอกนะ แต่ตราบใดที่เจ้ามอบวัสดุชั้นดีให้มัน มันจะมีพลังมากขึ้น”
“สั้น ๆ อาวุธชิ้นนี้จะรับใช้เจ้าไปตลอดชีวิต ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม”
อเล็กซ์มองลูกบาศก์ด้วยความซาบซึ้งที่เพิ่งเกิดขึ้น
‘ฟังดูเวทมนตร์มาก แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉันต้องเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยจอมเวทย์’
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่ออ่านความคิดอเล็กซ์ ความจริงอันเจ็บปวดคือโลกที่เขาสร้างขึ้นกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
“ของขวัญชิ้นต่อไปคือพื้นที่แตกแยก” เขาว่า “พื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็นโลกส่วนตัว แต่เป็นโลกใบเล็ก ไม่ต้องรีบหามันมาใช้หรอกนะเพราะเจ้าจะยังใช้มันไม่ได้จนกว่าจะเข้าสู่อาณาจักรที่สอง ทุกอย่างเกี่ยวกับพื้นที่นี้ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง”
อเล็กซ์พยักหน้า การมีมิติเศษหรืออะไรก็ตามทำนองนั้นมันฟังดูมีประโยชน์มาก นอกจากนี้ อเล็กซ์ก็มั่นใจมากว่าพื้นที่แตกแยกของเขาจะต้องไม่ธรรมดา มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นอีก
“และสำหรับของขวัญชิ้นที่สาม ชิ้นสุดท้ายของเจ้า” ชายหนุ่มพูดขณะเอนหลังพิงบัลลังก์พร้อมแสยะยิ้ม
“ข้าจะให้เจ้าถามคำถามอะไรก็ได้ทั้งหมดเก้าคำถาม และข้าจะตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา” เขาพูด
อเล็กซ์มองชายหนุ่มในความประหลาดใจ เขาจะได้ถามคำถามกับพระเจ้าถึงเก้าคำถามเลยหรือ? หมายความว่าต้นกำเนิดของโลกนี้เขาก็ถามได้งั้นหรือ? เขาถามเกี่ยวกับเคล็ดวิชาลับอะไรก็ได้ที่มีเพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ก็ได้งั้นหรือ?
“ใช่ ย่อมได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มตอบ
“แต่ว่า!” เขาตะโกน “เจ้าจะยังจดจำทั้งคำถามและคำตอบในทันทีไม่ได้”
อเล็กซ์ขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ ต่อหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญ” ชายหนุ่มว่า “เจ้าจะได้ถามเก้าคำถามเพราะโลกข้ามีอาณาจักรแห่งพลังเก้าแห่ง เจ้าต้องถามมาให้หมด แต่ความทรงจำจะถูกปลดล็อคเมื่อความแข็งแกร่งเจ้าเพิ่มขึ้น”
อเล็กซ์สูดหายใจลึก
เงื่อนไขนี้ทำให้ความหมายทั้งหมดของทั้งเก้าคำถามเปลี่ยนไป
ตอนแรกอเล็กซ์สนใจว่าโลกนี้ทำงานอย่างไรเพื่อสนองความอยากรู้ของเขาเอง แต่เงื่อนไขนี้จะทำให้คำถามทั้งเก้ากลายเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาในอนาคต
อเล็กซ์รู้ดีว่าการกลายเป็นผู้ทรงพลังอย่างแท้จริงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในโลกนี้มีผู้ทรงพลังอยู่อีกกี่คน? อเล็กซ์ไม่ได้ทะนงตนถึงขนาดที่เชื่อว่าเขาจะสามารถบรรลุบางสิ่งได้สำเร็จโดยง่ายในขณะที่อีกหลายล้านคนไม่สามารถทำได้
อเล็กซ์เงียบไปครู่หนึ่งพลางคิดสิ่งที่เขาควรถามออกไป
ชายหนุ่มไม่ขยับเขยื้อนตลอดช่วงเวลาอันเงียบสงัด
“เอาล่ะ” อเล็กซ์พูดขึ้นหลังจากผ่านไปหลายนาที “คำถามแรกของฉัน ฉันควรเริ่มต้นการเดินทางสู่พลังแบบไหนถึงจะดีสุด?”
คำถามได้รับการตอบกลับ และอเล็กซ์ก็ได้สละคำถามนี้เพื่ออนาคตของเขา
“ถามได้ฉลาดนี่” ชายหนุ่มพูดด้วยความยินดี
“อย่างแรก เจ้าต้องมีพื้นฐาน เจ้าต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตใจที่แข็งแกร่ง มานา และประสบการณ์การต่อสู้ที่เพียงพอ”
“การจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเพียงพอนั้น เจ้าต้องมีวินัยที่ต้องปฏิบัติตามทุกวัน ฝึกฝนร่างกายจนกว่าร่างกายจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้น พักผ่อน หลับตาลง และดูดซับพลังงานจากบรรยากาศ เนื่องจากโครงสร้างพิเศษของเจ้าทำให้การฝึกฝนเวทมนตร์เป็นไปไม่ได้ พลังงานจึงจะไม่เข้าตรงสู่วิญญาณแต่จะเป็นร่างกายแทน ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นและได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง”
“กิจวัตรนี้จะช่วยให้เจ้าได้รับมานาและความแข็งแกร่งจิตใจที่เพียงพอ การดูดซับพลังงานในบรรยากาศ มันคือคำที่ผู้คนในโลกข้าเรียกว่ามานา ที่กักเก็บมานานจะเพิ่มขึ้น ในขณะเดียว ยิ่งทำลายร่างกายมากขึ้น มากขึ้น จะเพิ่มจิตตานุภาพให้เจ้าขณะดูดซับมานาซึ่งมีผลในการบำรุงจิตใจของเจ้า”
“การได้มาซึ่งประสบการณ์การต่อสู้ที่เพียงพอ ข้าแนะนำให้เจ้าอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ใกล้กับหมู่บ้านที่ข้าจะส่งเจ้าไป เอาชีวิตรอดจากที่นั่นโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากมนุษย์คนใด หากเมื่อใดที่เจ้ารู้สึกว่าไม่มีอันตรายอีกต่อไปแล้ว จงออกไปในป่าและเอาชีวิตรอดจากที่นั่น อันตรายจะนำมาซึ่งพลังแก่เจ้า”
“ทำตามสิ่งเหล่านี้ไปตลอดสองปี และเจ้าน่าจะพร้อมพอที่จะเข้าร่วมสังคมมนุษย์อีกครั้ง เมื่อเจ้าทำสำเร็จ ให้หาโรงเรียนใกล้ ๆ เมือง ไม่ต้องห่วง จะมีโรงเรียนเฉพาะสำหรับคนอย่างเจ้าเท่านั้น”
“นั่นคือทั้งหมดของคำตอบ” ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง “นั่นน่าจะทำให้การเริ่มต้นเดินทางของเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด”
อเล็กซ์กำลังจดจำรายละเอียด
“เอาล่ะ ต่อกันที่คำถามที่สอง...”
ปั้ก!
จู่ ๆ ร่างกายของอเล็กซ์ก็กระตุกอย่างรุนแรง เขารู้สึกเหมือนจิตใจถูกทุบด้วยค้อน เขามองไปรอบ ๆ เขายังอยู๋ในห้องโถง ชายหนุ่มก็อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกัน
แต่ชายหนุ่มกลับโพล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา
“เกิดอะไรขึ้น” อเล็กซ์ในความสับสน
ชายหนุ่มสงบลง แต่ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความอภิรมย์
“เจ้าเพิ่งถามคำถามสุดท้ายไป และให้ตายสิ คำถามสุดท้ายของเจ้าไร้สาระเป็นบ้า!” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ
ครู่หนึ่งที่อเล็กซ์อยากจะถามว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาได้สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป
เห็นได้ชัดว่ามันเกิดขึ้นแล้ว
“ข้าเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับคำถามสุดท้ายของเจ้า” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มกว้างในความตื่นเต้น “เดิมที ข้าไม่ต้องการมอบคุณสมบัติธาตุให้กับเจ้า มันจะไร้ความหมายเพราะเจ้าไม่สามารถฝึกฝนเวทมนตร์ได้”
“คำถามสุดท้ายของเจ้า โยนมันออกนอกหน้าต่างไปเสีย” ชายหนุ่มตะโกนในความตื่นเต้น “ข้าจะมอบคุณสมบัติเฉพาะให้กับเจ้า เจ้าอาจจะได้ใช้มันก็ได้หากเจ้าฝึกฝนอย่างหนัก ใครจะรู้?”
อเล็กซ์ยังคงสับสนเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกส่งตัวไปยังอนาคต
“เพิ่มเติม!” ชายหนุ่มตะโกนขณะยิ้มกว้าง “เจ้าจะได้รับชื่อใหม่!”
อเล็กซ์กระพริบตาสองสามครั้ง “ชื่อใหม่? ทำไม?”
“ก็เพราะข้าบอก!” ชายหนุ่มตะโกนพร้อมหัวเราะ “พ่อแม่ย่อมมีสิทธิ์ตั้งชื่อให้กับลูก ๆ เจ้าจะได้รับร่างกายใหม่ที่ข้าเป็นผู้มอบชีวิตให้! โดยพื้นฐานแล้ว ข้าคือพ่อของเจ้า เช่นนั้น ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้กับเจ้า!”
อเล็กซ์ไม่ชอบเลยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเป็นอเล็กซ์มาตลอดทั้งชีวิต จู่ ๆ จะให้มาเปลี่ยน มันฟังดู... แปลกไปหน่อย
“ข้าไม่สน!” ชายหนุ่มตะโกน แต่เขาก็ไม่ได้ดุโมโหแต่อย่างใด เขากลับดูตื่นเต้นเป็นบ้า อย่างกับเขากำลังจะได้ดูการแสดงอันยอดเยี่ยม
“เจ้าจะต้องใช้ชื่อนี้! เจ้าจะถูกบังคับให้ใช้ชื่อนี้! ข้าจะเจ็บปวด หากเจ้ายังใช้ชื่อเดิม!”
อเล็กซ์ไม่ได้ต้องการแบบนั้น
แต่พระเจ้าก็ไม่สนใจ
“นับตั้งแต่นี้ไป ชื่อของเจ้าคือ ชาง!”
“จงจำชื่อของเจ้าไว้ชาง!”
‘ชาง?’ อเล็กซ์คิด ‘พิลึกโค...’
ชิ้ง!
และอเล็กซ์ก็หายวับไป เขาถูกส่งไปยังโลกใหม่
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักพร้อมหัวเราะคิกคัก
“โอ้ มันต้องสนุกแน่” ชายพูดกับตัวเองพร้อมแสยะยิ้ม