เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 254
ตอนที่ 254
พลังสีแดงเลือดสว่างวาบขึ้นที่กรงเล็บของฉยงฉีก่อนที่มันจะตะปบลงไปยังตำแหน่งที่หลินซวนยืนอยู่ด้วยหวังจะฉีกกระชากเขาให้กลายเป็นเศษเนื้อ
“หมัดพยัคฆ์!”
ร่องรอยความโหดเหี้ยมทาทับบนใบหน้าของซู่อู๋เฟิ่งในระหว่างที่มันกำลังดูดซับปราณวิญญาณรอบด้านเข้าไปยังจุดตันเถียน นัยน์ตาของมันกลายเป็นสีแดงสดราวกับอสูรร้าย มันคำรามลั่นก่อนจะพุ่งออกไปกระแทกกำปั้นเข้าใส่หลินซวนทันที
ปราณวิญญาณที่มันดูดซึมเข้าไปในร่างกายมากกว่ายามปกติถึงสองเท่าตัว นี่ส่งผลต่อเส้นลมปราณในร่างของมันโดยตรง และทำให้มันกลับกลายเป็นบ้าคลั่งจนสามารถดึงเอาพละกำลังสูงสุดของตัวเองออกมาได้
ทางด้านชายชุดม่วงกำลังหลับตาของมันลงก่อนจะกัดที่ปลายลิ้น โลหิตสีแดงสดถูกกลืนลงลำคอ ทำให้ปราณวิญญาณรอบกายของมันกลับกลายเป็นสีแดงคล้ำ พร้อมทั้งบังเกิดวงแหวนปราณสีม่วงเข้มขึ้นด้านหลังของมัน
ในตอนนี้เอง บริเวณรอบกายของมันนับสิบฉื่อคล้ายกลายเป็นแดนต้องห้าม ต้นหญ้าที่เคยเขียวขจีเริ่มแห้งกรอบ และพลังชีวิตที่แฝงอยู่ในผืนปฐพีล่องลอยเข้าสู่วงแหวนสีม่วงนั้นก่อนที่มันจะปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมา
“ศาสตร์แห่งการร่วงโรยและผลิบาน!”
ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นเปิดเปลือกตาของมัน และสีหน้าของมันบัดนี้ขาวซีดยิ่ง นี่คือทักษะลับของตระกูลสี ศาสตร์แห่งการร่วงโรยและผลิบาน
เมื่อบ่มเพาะทักษะเช่นนี้จนถึงขั้นสูงสุด พวกมันจะสามารถช่วงชิงพลังชีวิตของผู้อื่นได้อาศัยเพียงความคิดเท่านั้น หรือแม้กระทั่งสามารถจะเติมเต็มชีวิตที่แห้งเหือดของผู้คนได้ในอึดใจเดียว เป็นทักษะที่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตและความตายโดยตรง
ทั่วทั้งตระกูลสี มีเพียงบรรพบุรุษของพวกมันเท่านั้นที่บรรลุได้ถึงขั้นที่ว่า สำหรับชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นแล้ว มันเพิ่งจะได้เรียนรู้ทักษะนี้เสียด้วยซ้ำ มันจึงไม่อาจประมาทได้ ในกระบวนการใช้ทักษะเช่นนี้ พลังแห่งความตายจะคอยกัดกร่อนพลังชีวิตในร่างของศัตรู และพลังแห่งการผลิบานจะดูดซับพลังที่อยู่รอบกายเข้ามาเพื่อเปลี่ยนมันเป็นพลังชีวิตให้เจ้าของทักษะ นั่นจึงหมายความว่านี่คือทักษะไร้เทียมทาน
ในอีกด้านหนึ่ง ยู่ซวนเทียนหยูกำลังท่อนคาถาบางอย่างอยู่ กระบี่คมกล้ากำลังโบยบินอยู่เหนือศีรษะของมันพลางสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ และทิ้งเงากระบี่ไว้เบื้องหลัง หากสังเกตให้ดี จะค้นพบว่าเงากระบี่เหล่านั้นมิได้แตกต่างไปจากกระบี่ต้นแบบของมันแม้แต่น้อย ทุกเงานั้นราวกับเป็นกระบี่ของจริงอย่างไรอย่างนั้น
เงากระบี่เหล่านั้นกำลังรวมตัวกันจนกลายเป็นมังกรกระบี่ที่มีความยาวนับร้อยจั้ง มันหมุนวนไปรอบกายของยู่ซวนเทียนหยูพลางคำรามออกมา
พวกมันทั้งสามเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันและพุ่งเข้าปะทะกับหลินซวน
“ตาย!” ซู่อู๋เฟิ่งคำราม
พลังของฉยงฉีรุนแรงจนสามารถทำลายได้ทั้งใต้หล้า!
พลังของศาสตร์แห่งการร่วงโรยและผลิบานสามารถจะทำได้ทั้งสร้างเสริมและบดขยี้!
พลังของมังกรกระบี่คมกล้าถึงขีดสุด!
พลังแห่งเต๋าของหมัดพยัคฆ์ก็คุกคามอย่างยิ่งยวด!
ทุกการจู่โจมทั้งแฝงไปด้วยจิตสังหารและความรุนแรงเกินต้านทาน
“นัยน์ตาผู้ยิ่งใหญ่ จงเปิด!”
หลินซวนเปิดเปลือกตาของตนอย่างเชื่องช้า ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ ผืนแผ่นดินทั้งแตกแยกเป็นชิ้นส่วนและเริ่มสลายไป สิ่งมีชีวิตมากมายกรีดร้องอย่างไม่ยินยอม ห้วงจักรวาลสั่นสะท้าน ทุกสรรพสิ่งถูกทำลายสิ้น
ในเวลาเดียวกัน ส่วนลึกในดาราจักรอันไกลโพ้น ดาวดวงหนึ่งกำลังกำเนิดขึ้นด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า พลังแห่งกฎเกณฑ์ทะลักทลาย สิ่งมีชีวิตมากมายกำลังถือเกิดขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคปฐมกาล วิถีการบ่มเพาะค่อยถูกค้นพบและเปิดเส้นทางแห่งการฝึกตน สถานที่ซึ่งเติมเต็มไปด้วยความสงบสุขเริ่มกลายเป็นดินแดนแห่งการฆ่าฟัน...
การทำลายล้างและชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นกำลังบังเกิดในสายตาของหลินซวน นี่ราวกับเป็นกระจกเงาสะท้อนช่วงเวลาบรรพกาล คล้ายเป็นจุดจบแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่
เพียงสบตาของหลินซวน พวกมันทั้งสี่คนที่แต่เดิมเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้าก็หยุดการเคลื่อนไหว พร้อมกันนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย
ทว่า นั่นก็ช้าเกินไปเสียแล้ว พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากจะโจมตีต่อไปเท่านั้น มันทำได้เพียงคำรามอย่างเสียสติและพุ่งตัวออกไปด้านหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“ตาย!”
เผชิญหน้ากับซู่อู๋เฟิ่งซึ่งเป็นคนแรกที่บรรลุถึง สีหน้าของหลินซวนกลับไร้อารมณ์ยิ่ง เขาเพียงปรายตามองมันจากนั้นปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลก็ปะทุออกมา พลังที่แฝงอยู่นั้นมากเพียงพอจะทำให้ผู้คนยอมแพ้โดยไม่ขัดขืน
ซู่อู๋เฟิ่งส่งปราณวิญญาณของตนออกไปเป็นลำแสง แต่ไม่ว่ามันจะพยายามมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถจะหลบหนีพลังปราณของหลินซวนไปได้
“มาสู้กับข้าตรงๆ เสียหากเจ้ามีความกล้ามากพอ!”
หลินเพียงมองมันด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าคู่ควรหรือ?”
ลำแสงสองสายถูกยิงออกจากนัยน์ตาของเขาและบรรลุถึงเบื้องหน้าของซู่อู๋เฟิ่งในชั่วพริบตา พลังที่คุกคามและแสนยิ่งใหญ่ของหมัดพยัคฆ์กลับกลายเป็นเพียงความอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลำแสงของหลินซวน
ลำแสงนั้นพุ่งทะลุหน้าอกของมัน ดวงตาของซู่อู๋เฟิ่งเบิกกว้าง เพียงชั่วลมหายใจ มันก็ทอดร่างลงบนผืนดินด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“พี่รอง!”
“น้องรอง!”
น้องสามของซู่อู๋เฟิ่งและชายผมแดงที่กำลังต่อกรกับหวงหาวอยู่ตะโกนออกมาด้วยความปวดร้าว
เห็นซู่อู๋เฟิ่งตกตายลงตรงหน้าด้วยตาของพวกมันเองนั้นราวกับเป็นหินก่อนใหญ่ที่กดทับบนหน้าอกของพวกมัน นี่เป็นคราแรกที่พวกมันได้สัมผัสกับความตายที่ย่ำกรายเข้ามาใกล้ตนเองถึงเพียงนี้
เหล่ารุ่นเยาว์ที่อยู่ไกลออกไปต่างยกมือขึ้นปิดปากของตนเองด้วยความตื่นตระหนกและเพื่อห้ามไม่ให้ส่งเสียงตะโกนออกมา
เซียนน้อยตระกูลซู่ตกตายลงเพียงโดยศัตรูปรายตามอง?
พวกเขาจะทำใจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
กระทั่งอัจฉริยะไร้เทียมทานเช่นเซียนน้อยตระกูลซู่ยังถูกสังหารลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ หากพวกเขาเผชิญหน้ากับหลินซวน พวกเขาคงถูกเข่นฆ่าราวกับเป็นเพียงวัชพืชอย่างแน่นอน
…………………
ด้านนอกของแดนลึกลับ ตาแก่ตระกูลซู่ยังคงล้อเลียนราชวงศ์อมตะอย่างอารมณ์ดี ทว่าในขณะที่กำลังหัวเราะอยู่ ความปั่นป่วนก็บังเกิดที่หน้าทางเข้าแดนลึกลับ และดวงวิญญาณที่แลดูคุ้นตาก็ปรากฏขึ้น
ในตอนนี้ รุ่นเยาว์อัจฉริยะทุกคนที่ปรากฏขึ้นต่างก็ดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือมากมาย
วิญญาณดวงนั้นที่เพิ่งปรากฏขึ้นกลายเป็นว่ามันคือเซียนน้อยตระกูลซู่ ซู่อู๋เฟิ่ง!
อาวุโสตระกูลซู่ยังไม่อาจจดจำเซียนน้อยของตระกูลตนเองได้ ทันใดก็เป็นอาวุโสจากตระกูลอื่นที่เอ่ยขึ้นด้วยความสับสน
“ผู้เฒ่าซู่ เหตุใดวิญญาณดวงนั้นจึงดูคล้ายเซียนน้อยจากตระกูลของท่าน?”
“นั่นเป็นไปไม่ได้ เซียนน้อยของข้าคือ...”
จิตสำนึกของตาแก่ซู่ปฏิเสธสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แต่มันกลับหยุดคำพูดตนลง มันมองไปยังวิญญาณดวงนั้นและขยี้ตาของตนอีกครั้ง
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเซียนน้อยของมันจริงๆ
มันที่เพิ่งจะเย้ยหยันอัจฉริยะจากตระกูลผู้อื่นไปเมื่อครู่ ในชั่วพริบตา อัจฉริยะของตระกูลมันเองกลับกลายเป็นวิญญาณเช่นนี้ นี่มันน่าอับอายเกินไปแล้ว
หรือว่าเจ้าเซียนน้อยผู้นี้มิได้ใส่ใจจะต่อสู้เพื่อตระกูลของตนเอง?
ตาแก่ซู่รู้สึกขายขี้หน้าและเกรี้ยวกราดยิ่ง
“ตระกูลซู่เฝ้าฟูมฟักเจ้าอยู่ตั้งหลายปี แต่ท้ายที่สุด เจ้ากลับตกตายลงด้วยน้ำมือของผู้อื่น เจ้ามันเป็นตัวบัดซบไร้ประโยชน์!”
เหล่าคนจากตระกูลซู่ศีรษะร้อนผ่าว เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้พวกมันสบถออกมา
ซู่อู๋เฟ่งที่เพิ่งจะหายจากอาการตกใจ แต่กลับถูกตนของตระกูลตนเองสาปแช่งเช่นนี้ เป็นความผิดของมันเช่นนั้นหรือที่ถูกสังหาร?
อาวุโสตระกูลซู่กำลังจะต่อว่ารุ่นเยาว์ของมันซ้ำ แต่ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือซู่อู๋เฟิ่ง สีหน้าอัปลักษณ์ของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที
ซู่อู๋เฟิ่งนับว่าเป็นเซียนน้อยที่บรรพบุรุษสกุลซู่รักใคร่มากที่สุด แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะมิใช่ที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ แต่บุคลิกไร้ความเกรงกลัวและช่างประจบประแจงของมันกลับถูกใจบรรพบุรุษผู้นั้นเป็นที่สุด เมื่อมีการสนับสนุนจากบรรพบุรุษเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าแตะต้องมัน?
ตาแก่ตระกูลซู่ผู้นั้นเสียใจจนลำไส้กลายเป็นเขียวคล้ำ มันคิดว่าตนเองปากมากเกินไปเสียแล้ว เมื่อคิดว่าบรรพบุรุษของตนเองจะกราดเกรี้ยวมากเพียงใดในยามกลับไปถึงตระกูลซู่ มันก็แทบจะหมดสติ
“เซียนน้อยอู๋เฟิ่ง เจ้าสบายดีหรือไม่?” ตาแก่ผู้นั้นรีบส่งพลังวิญญาณของตนเองเพื่อเยียวยาส่วนที่เสียหายของวิญญาณซู่อู๋เฟิ่งทันทีด้วยรอยยิ้มจอมปลอม
“เจ้าเป็นตัวบัดซบโง่งมหรือไร!”
ตาแก่ตระกูลซู่ขมวดคิ้วพลางก่นด่าในใจเมื่อเห็นว่าวิญญาณของซู่อู๋เฟิ่งกำลังสบถใส่ตนเองอยู่...