วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0050
บทที่ 19 ตะวันออก, การเดินทางระยะกลาง (3)
* * *
ก้มมองแผนกระจกทรงสามเหลี่ยม ผิวกระจกสะท้อนใบหน้าของฉันอย่างชัดเจน
สิ่งนี้เคยเป็นบาเรียทรงโดมที่ครอบโบราณสถานทั้งหมดไว้
กางกลับไปเหมือนเดิมได้ไหม?
“ฟังดูดีนะ แต่ว่า…”
มันอลังการเกินไป
ถึงขนาดต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฉันต้องการพลังแบบนี้จริงหรือ
ขายดีไหม? แต่จะขายก็เสียดาย
ในกรณีนี้ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก
“เก็บไว้ในคอลเลกชันดีกว่า”
ถ้าได้ก้าวเข้าไปในวงการสะสมคอลเลกชันแล้วล่ะก็ การถอนตัวไม่ใช่เรื่องง่าย
ต่างโลกคือสถานที่ที่เหมาะกับงานอดิเรกประเภทนี้มาก เพราะสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยแรงขับเคลื่อนแบบเดิมตลอดเวลา
หลังจากครุ่นคิด ฉันยัดมันใส่กระเป๋าเป้โดยไม่ใส่ใจนัก ทันใดนั้น เหล่าเอลฟ์ด้านข้างต่างพากันเอาหัวโขกพื้น
“พวกเราผิดไปแล้วที่มิอาจจดจำท่านผู้มาจากตระกูลดัง!”
“ได้โปรดให้อภัยการเสียมารยาทของพวกเราด้วย!”
ดูเหมือนว่าท่าทีจะกลับตาลปัตรอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ฉันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ต่อให้ไม่สนใจโลกภายนอกสักเพียงใด แต่หลังจากเห็นฉากเมื่อครู่เข้าไป คงช่วยไม่ได้ที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง
ฉันใช้ศอกแยงลิลี่และกล่าว
“เธอบอกว่าฉันเป็นผู้ปกครองใช่ไหม”
ดูเหมือนฉันจะเข้าใจบางอย่างผิดไป ลิลี่ส่ายหน้า
“ถูกครึ่งเดียว”
“…ครึ่งเดียว?”
“เกรงว่าเจ้าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลดัง”
ตระกูลดัง
หมายถึงตระกูลที่มีชื่อเสียงสินะ
“พวกเขากลัวว่าฉันจะทำลายป่านี้?”
“คงงั้น”
กล่าวคือ ผู้ปกครองมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับตระกูลดัง และพวกตระกูลดังมีอิทธิพลมากชนิดที่จะกำจัดใครทิ้งก็ได้หากไม่ชอบขี้หน้า เอลฟ์เหล่านี้จึงกลัวว่าฉันจะโกรธแค้นและเอาคืน
เมื่อลองย้อนนึกดู ชาวบ้านทางใต้ก็เคยถามว่าฉันมาจากตระกูลดังหรือไม่
ไม่ใช่ผู้ปกครองทุกคนที่มาจากตระกูลดัง แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่เป็นคนของตระกูลดัง ลิลี่คือหนึ่งในนั้น
แต่ฉันไม่ใช่สักหน่อย
ถ้ายังยืนกรานว่าทายาทรุ่นที่ยี่สิบแปดของตระกูลคังแห่งเมืองจินจูเป็นตระกูลดัง ฉันก็ไม่มีอะไรจะเถียง แต่ชาวต่างโลกคงไม่ได้หมายถึงสิ่งนั้นแน่นอน
อย่างไรก็ดี ในเมื่อคนพวกนี้เข้าใจผิดคิดว่าฉันมาจากตระกูลดัง และคอยอำนวยความสะดวกอย่างนอบน้อม เช่นนั้นแล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องแก้ไขความเข้าใจผิด?
“ฮึ!”
ฉันกระแอมแห้ง
“พวกนายรู้อะไรเกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้บ้าง”
“ทราบเพียงว่า ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของดารากรเอลฟ์ นอกจากนี้ข้าไม่รู้ พวกเราเป็นเอลฟ์เร่ร่อนที่ถูกเมืองหลวงสั่งให้มาอยู่ในป่า”
ไร้ประโยชน์ชะมัด
“แต่ว่า”
หัวหน้าเอลซินี่เงยศีรษะ
“แต่?”
“เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ที่น่าจะสืบเชื้อสายจากตระกูลดังได้แวะมาที่ป่า”
“หมายถึงผู้รุกรานชาวมนุษย์ที่เคยพูดถึง?”
“ไม่ใช่ขอรับ ดูไม่เหมือนมนุษย์”
ได้ยินแบบนี้ ฉันยิ่งเพิ่มความคาดหวัง
เพราะนั่นหมายความว่า โบราณสถานแห่งนี้มีมูลค่าสูง
“ดี… หลังจากนี้ถ้าไม่ได้เรียก ก็อย่าเสนอหน้าให้ฉันเห็นอีก”
“ด…ได้โปรดอภัยให้พวกเราด้วย…”
“ฉันไม่ให้อภัย แต่ตอนนี้ยังไม่ทำอะไร”
“ขอบคุณขอรับ พวกเราเป็นแค่นักบวช ขอบคุณที่เมตตา”
กล่าวจบพวกมันรีบถอยหลังและหนีไป
ฉันหันไปมองลิลี่
“ฉันเป็นยังไงบ้าง”
ลิลี่ ‘หึ’ ในลำคอก่อนจะขำแห้ง
“ก็พอใช้ได้”
“ในอนาคต มุกนี้ยังใช้ได้เรื่อยๆ ไหม?”
“ที่เจ้าทำสำเร็จเพราะที่นี่ห่างไกลความเจริญ แถมอีกฝ่ายยังเป็นเอลฟ์นักบวช ย่อมไม่รู้เรื่องทางโลกมากนัก”
“อ้อ”
“ถ้าการเกิดเป็นตระกูลดังทำให้ชีวิตสุขสบายขนาดนั้น ข้าคงไม่ต้องตกระกำลำบากในช่วงที่เร่ร่อน ตรงข้ามกันด้วยซ้ำ มีหลายแห่งไม่ต้อนรับตระกูลดัง โดยเฉพาะภาคเหนือของทวีป”
ดูเหมือนว่าหลังจากสงครามปะทุ ลิลี่จะใช้เวลาเร่ร่อนค่อนข้างนาน
แม้จะไม่ได้ฟังรายละเอียด แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก
พอเอลฟ์ลับสายตา พวกเราหันไปอีกทางหนึ่ง
“ดูสำคัญอยู่นะ”
ลิลี่กับฉันแหงนหน้ามองโบราณสถานเบื้องหน้า
ผนังด้านนอกกว้างใหญ่ ต้นเสาที่ตกแต่งอย่างวิจิตร ทางเดินที่มีซุ้มโค้งและหลังคาทรงโดม
ไม่มีใครเข้าไปสำรวจมานานแค่ไหนแล้วนะ
อาจจะไม่มีใครเคยเห็นด้วยซ้ำ
ฉันลังเลที่จะก้าวเท้าเข้าไป การได้พบเจอสิ่งที่ไม่รู้จักเป็นครั้งแรก มักจะมอบความรู้สึกเช่นนี้เสมอ
ดูเหมือนลิลี่ก็รู้สึกแบบเดียวกัน
“อารยธรรมของเมืองโบราณ”
“เคยเห็นหรือ”
“เคยเห็นเป็นบางอาคาร เหมือนกับโบราณสถานใต้ดินที่พวกเราค้นพบเมื่อตอนนั้น”
ตึก!
พื้นทางเดินถูกปูอย่างดี ทั้งที่โบราณสถานมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ถนนกลับแข็งแรง หมายความว่าสิ่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมขนาดใหญ่
“เก่าแก่ประมาณไหน”
“เก่าชนิดที่พวกเราไม่มีข้อมูลของยุคนั้นเลย”
แสงอาทิตย์กำลังสาดส่องลงมายังโบราณสถานใจกลางผืนป่า
ภายในป่าเขียวชอุ่มที่มอบรู้สึกเหมือนห้องปิดตาย โบราณสถานแห่งนี้กลับแหงนหน้ามองพระอาทิตย์ด้วยสภาพแวดล้อมเปิดโล่ง
ถ้ามองจากข้างบนจะเห็นเป็นยังไงกันนะ
เรื่องนั้นช่างมันก่อน เรามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ชัดเจน
ประการแรก โบราณสถานแห่งนี้เรียงตัวกันเป็นรูปร่างอักษรรูน
ประการที่สอง สมบัติทองคำถูกฝังอยู่ที่นี่
ฉันตัดสินใจค่อยๆ สำรวจไปทีละเรื่องอย่างไม่รีบร้อน
“ที่นี่ถูกสร้างเพื่ออะไรกันแน่”
ดูเหมือนลิลี่ก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เอาแต่มองทางนั้นทีทางนี้ที
ด้านหน้ามียอดแหลมสูงสามถึงสี่ชั้น ใจกลางโบราณสถานมีหอคอยทรงพีระมิดสูงกว่าสิบชั้น
ฉันลองตั้งข้อสันนิษฐาน
“อาคารชั้นเดียวน่าจะเป็นศูนย์การค้า หน้าต่างใหญ่เกินกว่าจะเป็นบ้านคน”
“ถ้าอย่างนั้น ที่นี่คือหมู่บ้าน?”
“เล็กเกินกว่าจะเป็นเขตที่อยู่อาศัย”
ใจกลางโบราณสถานมีจัตุรัสขนาดเล็ก สิ่งที่น่าจะเป็นแปลงดอกไม้ถูกจัดเรียงอย่างสมมาตร อิฐบนพื้นมีความประณีตและวิจิตรกว่าบริเวณอื่น
กล่าวคือ ที่นี่มีระดับความสำคัญสูงสุด
“หืม…”
เดินมายืนกลางจัตุรัส ระหว่างฉันกับยอดหอคอยมีแท่นบูชาที่สูงกว่าเอวเล็กน้อย ขนาดของแท่นใหญ่พอสำหรับสองคนขึ้นไปนอน
แหงนมองขึ้นไปบนยอดพีระมิดสิบชั้น
ฉันลองจินตนาการถึงอดีตผู้อยู่อาศัย คงมีสักคนที่มายืนและแหงนมองแบบเดียวกัน
บนยอดหอคอยมีรูเล็กๆ จำนวนมาก แต่เนื่องจากเรียงกันไม่สม่ำเสมอ จึงไม่น่าจะใช่หน้าต่าง
ไตร่ตรองสักพัก ฉันคุกเข่าพร้อมกับวางฝ่ามือลงบนพื้น
“คาห์สkaahz”
คาห์สkaahz คือคำที่ใช้กระตุ้นพลังอักษรรูน กฎของมันไม่ซับซ้อน แค่ต้องวางอวัยวะบางส่วนลงบนใจกลางอักษรรูน
จะส่วนใดของร่างกายก็ได้ แม้แต่เลือดสดก็ไม่มีปัญหา
ในเมื่อโบราณสถานทั้งหลังมีรูปทรงคล้ายอักษรรูน ฉันจึงลองทดสอบดู
“…ไม่ได้ผล”
ลิลี่ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ดูจากแผนที่ โบราณสถานแห่งนี้อาจมีรูปร่างเหมือนอักษรรูน แต่ก็ไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว คล้ายกับเคยถูกถล่มด้วยเครื่องยิงหิน
เข็มชี้สีทองหมุนด้วยความเร็วสูง
สมบัติอยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่
“ทำยังไงกันต่อดี”
ลิลี่ใคร่ครวญ
“หอคอยสามเหลี่ยมนั่น ข้าลองเดินวนรอบนึงแล้ว ดูยังไงก็ไม่มีทางเข้า ราวกับสร้างขึ้นมาโดยไม่คิดจะให้ใครเข้าออก”
กล่าวจบ เธอเดินเข้าใกล้แท่นบูชา
“นั่นกองทรายนี่ บนแท่นบูชา”
ได้ยินเช่นนั้น ฉันลองเดินตามไป
จริงด้วย มีทรายละเอียดวางกองอยู่
ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นร่องรอยความเก่าแก่ แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่ามีใครบางคนจงใจวางไว้
เป็นทรายโปร่งใส เม็ดเล็กคล้ายกับสร้างจากการบดแร่บางชนิด
“ทำไมทรายถึงถูกกองไว้ตรงนี้? มีเหตุผลอะไร”
ลิลี่พึมพำไม่หยุดปาก จนกระทั่งเธอสังเกตเห็นสายตาของฉัน
“จ้องข้าทำไม”
“เริ่มสนใจแล้วใช่ไหม”
“แน่สิ พวกเราต้องหาสมบัติชิ้นที่สองให้พบ”
ฉันมองไปรอบตัวและนั่งครึ่งก้นบนแท่นบูชา
“นั่งชมวิวกันก่อน กินอะไรไหม? ยังเหลือซุปเลือดวัวอยู่นะ”
ลิลี่จ้องฉัน
“ดูเจ้าไม่รีบร้อนเลยนะ”
เธอจ้องฉันต่ออีกสักพัก ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ
“ข้าดีใจที่เจ้าผ่อนคลายได้แบบนี้”
“พนันกันไหม”
“พนันอะไร”
“อีกไม่นานเธอจะเป็นแบบฉัน”
“ไม่มีทาง”
ลิลี่กับฉันนั่งย่อยหลังจากกินอาหารเสร็จ
แต่คล้ายกับทนไม่ไหว ลิลี่ตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินเตร่ไปรอบๆ
ส่วนฉันยังคงเขี่ยทรายบนแท่นบูชาเล่น
ผ่านไปสักพัก ลิลี่วิ่งมาหาจากด้านหลัง
“ดูนี่!”
เธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ ฉันจึงเอียงคอมองด้วยความสงสัย และพบกับบางสิ่งเปื้อนฝุ่นในอ้อมแขนหญิงสาว
“นี่คือ?”
สิ่งที่ลิลี่ยื่นมาให้ดู คืออุปกรณ์กลไกบางอย่าง
รูปร่างแมว
ตาทั้งสองข้างสร้างจากอัญมณีปริศนา หน้าอกฝังด้วยอัญมณีสีเขียวที่แกะสลักอย่างประณีต
แทนที่จะเรียกตุ๊กตา เรียกว่าหุ่นยนต์คงเหมาะกว่า แน่นอนว่ามันใช้งานไม่ได้
ลิลี่จ้องพลางยิ้ม
“น่ารักจัง”
“รสนิยมของเธอแปลกดีนะ”
แต่ฉันก็ไม่ได้ไม่ชอบ สายตาหันกลับไปทางแท่นบูชาอีกครั้ง
ทราย… ทำไมทรายถึงมาอยู่ที่นี่…
ในพิธีกรรมทางศาสนาของอารยธรรมโบราณ มีส่วนใดจำเป็นต้องใช้ทรายบ้าง?
ฉันฉุกคิดบางสิ่งได้ทันที
“…ลิลี่”
“หือ?”
“ภาษารูนมีต้นกำเนิดจากอารยธรรมโบราณใช่ไหม”
ลิลี่ส่ายหน้า
“ไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่เนื่องจากหลายคำในภาษารูนสอดคล้องกับคำในอารยธรรมโบราณ พวกจอมเวทจึงอ้างว่ามาจากอารยธรรมโบราณ”
ถ้าภาษารูนเกิดจากอารยธรรมโบราณจริง
พิธีกรรมทางศาสนาก็ต้องใช้ภาษารูนเป็นส่วนประกอบด้วยไม่ใช่หรือ
ในบรรดาประโยคภาษารูน ประโยคใดมีโอกาสถูกใช้ในพิธีกรรมโบราณ?
ประโยคซึ่งไม่มีประโยชน์ในเชิงการใช้งานจริง
ฉันรู้จักอยู่หนึ่งอัน
วางนิ้วลงบนทราย ฉันวาดเส้นตรงยาว
ทรายตอบสนองเจตจำนงของฉันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับมันเกิดมาเพื่อวาดบางสิ่งตั้งแต่ต้น
ลิลี่เดินเข้ามาใกล้เพื่อสังเกตสิ่งที่ฉันทำ
ประโยครูนประโยคแรกที่ฉันได้เรียน
บางที มันอาจเป็นประโยคที่พาฉันมาถึงจุดนี้
ประโยคที่เปรียบดังเชือกซึ่งคอยลากจูงจิตวิญญาณของฉัน ไม่ให้หลงทางท่ามกลางการภัยคุกคามนานัปการในต่างโลก
『อาณาจักรแห่งทองคำที่ถูกเทพทอดทิ้ง ดาบแห่งราชันถูกฝังไว้ที่นั่น』
『ชายผู้ถือดาบแห่งราชันไว้ในมือ』
『จักประทับบนบัลลังก์ชั่วนิรันดร์』
“คาห์สkaahz”
ทรายสั่นและก่อตัวเป็นเมือง
ไข่มุกสิบสองเม็ดรายล้อมรอบทิศ กึ่งกลางมีดาบที่ผงาดในแนวตั้ง
ผลลัพธ์เหมือนเดิมทุกครั้ง แต่มันทำให้ฉันใจเต้นได้เสมอ
ไข่มุกสองเม็ดจากสิบสองกำลังส่องแสง
เม็ดหนึ่งสั่นพ้องกับรอยสักของฉันอีกเม็ดสั่นพ้องกับของลิลี่
ลิลี่ที่ยืนมองด้านข้าง เริ่มวาดภาพหนึ่งลงบนทราย
“คาห์สkaahz”
อักษรที่ลิลี่วาดกลายเป็นภูเขา
ไข่มุกสิบสองเม็ดลอยขึ้นรอบภูเขาในทำนองเดียวกัน
กริ๊ก!
ทันใดนั้น ฉันได้ยินเสียงสวิตช์ดังมาจากด้านในแท่นบูชา
ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง ต้นคอเย็นวาบก่อนจะแล่นขึ้นไปที่หัว
แหงนมองหอคอยทรงสามเหลี่ยม
“…”
ไม่มีการตอบสนอง
ตามปรกติแล้ว เวลาแบบนี้ต้องมีเสียง ‘วิ้ง!’ หรือ ‘ครืน!’ ดังขึ้นด้วยความอลังการไม่ใช่หรือ
ขณะคิดเช่นนั้น
ตุ้บ!
บางสิ่งกระโดดขึ้นมาบนแท่นบูชา เนื่องจากสัมผัสถึงตัวตนไม่ได้เลย ฉันจึงตกใจผงะถอยหลัง
“แมวตัวนั้น…”
แมวจักรกลที่ลิลี่เคยอุ้ม กำลังส่ายหางที่เต็มไปด้วยข้อต่อพลางมองมาทางฉัน
ในสถานการณ์สุดเหลวไหล ฉันทำได้แค่ยืนมอง
หุ่นยนต์แมวตัวนี้ เมื่อครู่มันขยับไม่ได้สินะ?
“…ฮะฮะ”
เสียงหัวเราะแห้งดังขึ้น ผลของการไขปริศนาช่วยเดินเครื่องให้แมวหุ่นยนต์?
“สนุกจัง… ใครเป็นคนสร้างโบราณสถานขึ้นมานะ”
ดูเหมือนลิลี่จะรู้สึกแบบเดียวกันฉัน
ทว่า
“…แมวจักรกลที่หยุดทำงานไปนานมาก จู่ๆ ก็กลับมาขยับได้?”
มองสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยได้ด้วยหรือ?
ถึงจะเล็กน้อย แต่ก็แปลว่าบางส่วนของโบราณสถานที่เคยหลับใหล กลับมาคืนชีพอีกครั้งไม่ใช่หรือ
ขณะคิดเช่นนั้น
“เมี๊ยว!”
แมวร้องเสียงร่าเริง
นับตั้งแต่วินาทีดังกล่าว ตาของแมวเริ่มส่องแสง
ทุกสิ่งเริ่มจากจุดนี้
ครืนนนนน!!
กำแพงส่วนหนึ่งของโบราณสถานยกตัวขึ้นจากพื้น แรงสะเทือนแผ่ขยายไปจนทั่ว
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ราวกับยักษ์หลับตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจ
ฉันหลับตาลง
“ธาม-ทัตซาTham-tatha”
ยืมการมองเห็นของเหยี่ยวที่บินเหนือโบราณสถาน ภาพจากสายตาของมันทั้งชัดเจนและเป็นมุมกว้าง ทิศทางการมองคือโบราณสถานด้านล่าง
ตึง!
กำแพงที่ยกขึ้นมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย
มันเชื่อมเข้ากับเส้นอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะขาดกลางคัน
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หอคอยทรงสามเหลี่ยมกำลังหันมาทางฉัน
ประหนึ่งหุ่นยนต์แปลงร่างที่เคยสร้างความโรแมนซ์ในวัยเด็ก หอคอยทรงสามเหลี่ยมกำลังจัดระเบียบตัวเองใหม่
เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของอักษรรูน
ฉันหลับตาลงอีกครั้ง
สัมผัสได้ว่าลิลี่กำลังจับชายแขนเสื้อด้วยความตื่นตระหนก
ฉันเปล่งเสียงหนึ่งด้วยความระมัดระวัง
“คาห์สkaahz”
ถ้อยคำสำหรับกระตุ้นการทำงาน ถูกเปล่ง ณ ใจกลางอักษรรูนขนาดมหึมา
ลำแสงหนึ่งถูกยิงจากหอคอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
* * *
จินซอยอนและจองจีฮุนกำลังอยู่ในเบสแคมป์ พวกเธอถูกส่งมาทำงานนอกสถานที่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในหนึ่งเดือน ไม่มีอะไรแปลกใหม่
“เฮ้อ… งานนอกสถานที่น่าเบื่อชะมัด ไร้ความหมาย ไร้ความประทับใจ”
“เขาออกเดินทางได้เดือนนึงแล้วสินะ”
“นายหมายถึงคังซอนฮู?”
จองจีฮุนพยักหน้ารับ
กาแฟที่มันสั่งเย็นชืดหมดแล้ว จินซอยอนได้แต่สงสัยว่า หมอนี่สั่งกาแฟทำไมถ้าไม่อยากได้คาเฟอีน
“ได้ยินเกี่ยวกับจุดหมายของเขามาบ้าง ขาไปต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน กว่าจะกลับถึงก็คงสามเดือน แถมป่าก็ยังกว้างมาก… ต่างโลกเต็มไปด้วยสถานที่แปลกประหลาดจริงๆ”
“ใช่”
“ฉันไม่กังวลเท่าไร ชายคนนั้นน่าจะเคยผ่านสถานการณ์ทุกรูปแบบมาแล้ว”
“พี่สาว หวังไว้แค่ไหน”
“หืม… ก็สักยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“แล้วที่เหลือล่ะ”
“ได้แต่ภาวนา”
จองจีฮุนยิ้มเป็นนัยว่าเข้าใจ
ทันใดนั้น
“อะไรกัน!”
“นั่นมัน… อะไร?”
“ระเบิดหรือ”
“การโจมตีจากดาวเทียมรึเปล่า? OWIC แอบเอาดาบเทียมมาที่ต่างโลกอีกแล้ว?”
“เฮ้! นายน่ะเงียบไปเลย”
เสียงอึกทึกดังมาจากด้านนอกโรงแรม
เอะอะโวยวายอะไรกัน
จินซอยอนและจองจีฮุนรีบลุกขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากมีโอกาสเป็นเรื่องร้ายแรง จองจีฮุนผู้มีหน้าที่ยับยั้งเหตุ จำเป็นต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าอีกฝ่าย
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม สีหน้าของมันจึงเหม่อลอยก่อนจินซอยอน
“เกิดอะไรขึ้น”
เพียงไม่นาน จินซอยอนเผยสีหน้าแบบเดียวกัน
“นั่นมันอะไร”
ทางทิศตะวันออกจากที่นี่
ทิศของป่าเบอร์มิวด้า
ไม่สิ ถ้าจะเอาละเอียดกว่านั้น ตำแหน่งดังกล่าวอยู่ถัดจาก ‘กำแพง’ ด้านหลังเทือกเขาไปอีก
เสาลำแสงที่มองเห็นได้ชัดเจนแม้จะเป็นเวลากลางวัน
จองจีฮุนและจินซอยอนต่างปิดปากเงียบ
เพราะพวกมันเล่าไม่ได้
ถึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือใครก็ตาม
* * *
จ๊อก—
ณ ที่ใดสักแห่งในกรุงโซล
ซอจีอาซึ่งพักอยู่ในห้องชั่วคราวที่จองจีฮุนจัดหา กำลังรินกาแฟท่ามกลางความมืดที่ไม่มีแสงไฟแม้แต่หนึ่งดวง
เธอต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ เพราะเรื่องวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นกับเธอ สร้างแรงสะเทือนไปทั่วอุตสาหกรรมฮาวนด์
“…”
ซอจีอากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคังซอนฮูและลิลี่
การที่ผู้ปกครองสองคนมารวมตัวกัน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก
ท่ามกลางยุคสมัยที่คล้ายกับกระแสเวลาหยุดนิ่งมานาน นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
ทุกสิ่งเริ่มต้นจากการล่มสลายของอาณาจักรซินก้า
ไม่สิ มีลางบอกเหตุเป็นนัยก่อนหน้านั้นแล้ว
เพียงแต่ช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีสิ่งใดชัดเจน
ก๊อง—
จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงระฆัง
ก๊อง—
ซอจีอารีบวางถ้วยชาลงจนดูเหมือนโยน และเดินไปดึงผ้าม่านริมหน้าต่าง
ก๊อง—
เสียงระฆังที่ไม่ควรจะได้ยินจากใจกลางกรุงโซล กำลังดังกังวานท่วมท้นท้องฟ้า
ด้านหลัง ผู้คนที่กำลังเดินไปมาบนถนน ต่างชะงักฝีเท้าพร้อมกับแหงนหน้ามองฟ้า
ก๊อง—
ซอจีอาทราบดีว่าพิธีกรรมนี้หมายถึงสิ่งใด
“เอล โรคร่า เบลล่าel rokra bella”
ระฆังในตำนานที่มีไว้เพื่อประกาศว่า ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ผู้มีคุณสมบัติเพียงพอได้ทำการสั่นระฆัง
ในยุคสมัยใหม่ การผจญภัย วีรชน และเทวตำนานเก่าๆ จะเสื่อมคลายและเลือนหายไป
เป็นการประกาศว่ายุคสมัยเก่าได้จบลง และฤดูกาลใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel