642 - ความสงบของจิตใจ
1952 - ความสงบของจิตใจ
“ข้าต้องสัมผัสกับโลกมนุษย์ด้วยร้อยใบหน้าหรือ?” คิ้วของสือฮ่าวขมวดแน่น เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยุ่งยากซึ่งจะต้องใช้เวลานานมาก
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการทำให้หัวใจสงบเป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นกระบวนการที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่ว่าระยะเวลาของเขารู้สึกว่าจะมีไม่พอ
ราชันย์แห่งดินแดนปิดผนึกกล่าวว่า
“บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะมักจะมีด่านบางด่านที่พิเศษแม้ว่ามันจะเล็กน้อยแต่จำเป็นต้องใช้การทะลวงผ่านที่รุนแรงที่สุด ยิ่งตอนนี้เจ้ามาถึงคอขวดของระดับสูงสุดในเต๋ามนุษย์มันจึงยากเป็นพิเศษ”
“แล้วเหตุใดสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดจึงมองข้ามการขัดเกลาจิตใจได้โดยตรง เมื่อมีการสะสมพลังเพียงพอและเลือดที่บริสุทธิ์เพียงพอ” สือฮ่าวกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาสัมผัสกับโลหิตแห่งความมืดอย่างระมัดระวัง แต่เขาไม่ได้จมอยู่กับมันอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกันเขาก็สร้างร่างอื่นขึ้นมาและปรับตัวให้เข้ากับเลือดแห่งความมืดทีละนิดโดยไม่รวมเข้ากับมันโดยตรง
“ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีเพียงพละกำลังพวกมันเป็นทหารทาสไม่สามารถพัฒนาได้อย่างแท้จริง ความก้าวหน้าที่เรียกว่าอาณาจักรสูงสุดของเต๋ามนุษย์ของพวกมันยังคงเป็นเพียงแค่ในแง่ของพลังเท่านั้น
มันเป็นเพียงภาพลวงตาไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุดจริงๆ มีเพียงเมล็ดพันธุ์แห่งความมืดเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกมันก้าวหน้าขึ้นมาได้
แต่นั่นเป็นเพราะยังไม่มีใครตรวจสอบเบื้องหลังของเรื่องนี้บางทีมันอาจจะมีเรื่องที่น่าตกใจซุกซ่อนอยู่!” ราชันย์แห่งดินแดนปิดผนึกไม่ได้เหน็ดเหนื่อยในการอธิบาย
“ข้าจะไปทำให้จิตใจของตัวเองสงบ!”
สือฮ่าวจากไปแล้ว บางครั้งก็อยู่ในอาณาจักรที่ต่ำกว่าบางครั้งก็มุ่งหน้าไปยังสามพันแคว้นร่างของเขาปรากฏในทั้งสองแห่ง
ในสิบปีต่อมาเขาใช้เวลาในโลกของมนุษย์อย่างต่อเนื่องโดยทำตัวเป็นมนุษย์ธรรมดา บางครั้งเขาเป็นครูสอนหนังสือ บางครั้งเขาเป็นคนเก็บหม่อน แม้กระทั่งเป็นขอทานเขาก็เคยเป็นมาแล้ว
สือฮ่าวไม่ได้ใช้พลังพิเศษของตัวเอง พบเจอกับสิ่งต่างๆในโลกขณะอยู่ในฐานะมนุษย์ธรรมดา เขาจมอยู่กับสิ่งนี้อย่างสิ้นเชิง
สิบปีต่อมาเขากลับมาอีกครั้ง
น่าเสียดายที่เขายังล้มเหลวไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
“ทำให้จิตใจสงบลง!”
หลังจากผ่านการไตร่ตรองมาหลายเดือนสือฮ่าวก็ออกเดินทางอีกครั้งโดยไม่ได้ทำการบ่มเพาะอีกต่อไป
เขาใช้การเดินเท้าจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่หนึ่งเพื่อเยี่ยมชมทัศนียภาพของภูเขาแม่น้ำอันเลื่องชื่อ
ในระหว่างขั้นตอนนี้แม้ว่าเขาต้องการที่จะฝึกฝนเต๋าเขาก็ปล่อยทุกอย่างไปโดยไม่แตะต้องมันอีก มันทำให้เขาค้นพบบางอย่างและเต๋าของเขาก็พัฒนามากยิ่งขึ้น
น่าเสียดายที่หลังจากนั้นอีกสิบปีเขาก็ยังทำไม่สำเร็จไม่สามารถกลายเป็นผู้สูงสุดได้
สือฮ่าวถอนหายใจไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้จริงๆ เขากลับมาหาราชันแห่งดินแดนปิดผนึกอีกครั้ง
“เจ้าทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไปมันยิ่งทำให้จิตใจของเจ้ามีความซับซ้อนซึ่งจะกลายเป็นอันตรายที่แฝงอยู่” ราชันย์แห่งดินแดนปิดผนึกส่ายศีรษะเบาๆ
สือฮ่าวเงียบไม่กล่าวอะไร เขาต้องกลายเป็นผู้สูงสุดให้เร็วที่สุดเขาจะปล่อยวางเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“ในความคิดของเจ้ามีแต่การจะข้ามอาณาจักรไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นจากดินแดนอีกฟากหนึ่ง เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แก่ใจของตัวเองแต่เจ้าก็ไม่มีความต้องการที่จะตัดมันทิ้ง แล้วข้าจะช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าจะต้องข้ามไปช่วยนางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องข้ามไปอย่างแน่นอน!” สือฮ่าวกัดฟันแน่น
“หากเจ้ายังเป็นบ้าเช่นนี้อยู่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จตลอดกาล” ราชันย์แห่งดินแดนปิดผนึกเพียงกล่าวเท่านี้
ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของเขาก็ยิ่งใหญ่สง่างามและศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่ามีค้อนวิเศษอันยิ่งใหญ่ทุบลงมา
สือฮ่าวมีใบหน้าบิดเบี้ยวรู้สึกไม่ยินยอม
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สงบลง เขาโค้งคำนับให้ราชันย์แห่งดินแดนปิดผนึกพร้อมกับกล่าวว่า
“ขอบคุณที่อาจารย์ให้คำตักเตือน” ในตอนนี้เขาได้ยอมรับราชันแห่งดินแดนปิดผนึกเป็นอาจารย์ด้วยความเคารพที่แท้จริงแล้ว
สือฮ่าวจากไปแล้วเขาเดินทางกลับสู่หมู่บ้านหินผาและใช้ชีวิตอย่างสงบไม่คิดถึงเรื่องบ่มเพาะต่อไป
ในตอนนี้เขาลืมเรื่องวิธีการบ่มเพาะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง การบ่มเพาะสำหรับเขานั้นแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป
ในคราวนี้ไม่ใช่ว่าเขายอมแพ้ยกเลิกการบ่มเพาะไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาปล่อยวางทุกสิ่งในจิตใจปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีทางของเต๋าอันยิ่งใหญ่
“หลายปีผ่านไปแล้วเจ้ายังคิดไม่ได้อีกหรือ? เหตุไฉนเจ้าจึงปล่อยวางไม่ได้? ตอนนี้ข้าและพ่อของเจ้าก็แก่มากแล้วเราหวังว่าเจ้าจะมีทายาทให้กับพวกเราได้เชยชมสักคน!”
ฉินอี้หนิงนำเรื่องเก่ามาพูดอีกครั้ง
“เป็นอย่างนั้นเหรอ? ปรากฏว่าข้าคิดมากเกินไปจริงๆแม้แต่เรื่องแต่งงานมีลูกข้าก็ยังคิดไม่ได้” สือฮ่าวถอนหายใจเบาๆ
ในท้ายที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นดวงตาของเขาสว่างสดใสและชัดเจนมากราวกับว่าเขาตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง
“ข้าจะแต่งงานแล้ว”
สือจื่อหลิงและฉินอี้หนิงตกตะลึงและจากนั้นพวกเขาก็มีความสุข
หลังจากหลายปีที่ผ่านมาพวกเขายอมรับอวิ๋นซีแล้ว
นางหนูจากตระกูลเทพสวรรค์นั้นแม้ว่าจะมาอยู่ที่นี่หลายปีนางก็ไม่เคยทอดทิ้งพวกเขาไปไหน ไม่ว่าพวกเขาจะจัดการอย่างไรนางก็มีเพียงยิ้มและรับไว้ด้วยความยินดี
ในวันนั้นหมู่บ้านหินผาเต็มไปด้วยบรรยากาศอันรื่นเริง เมื่อข่าวเรื่องนี้ถูกกระจายออกไปทุกคนในหมู่บ้านตามรู้สึกยินดีจึงได้จัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โตขึ้น
เวลาหลายปีผ่านไปแม้กระทั่งเด็กๆที่เป็นทายาทของสหายสือฮ่าวก็ยังเติบโตจนมีลูกเต้ามากมาย บัดนี้ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านจะแต่งงานและมีทายาทจะไม่ให้ทุกคนมีความสุขได้อย่างไร
“แต่นางจะเต็มใจหรือ?”สือฮ่าวถามแม่ของเขาเบาๆ เขาไม่อยากบังคับอีกฝ่าย
“หัวใจของเด็กคนนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นนางจะอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีได้อย่างไร” ฉินอี้หนิงตอบ
สือฮ่าวเงียบและพยักหน้า
มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง แต่เขาก็ยังต้องเลือก
เขาจ้องมองไปในระยะไกล เขาจะสามารถข้ามผ่านยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ไปได้ทันเวลาหรือ? แม้ว่านางจะเป็นถึงเทพสวรรค์แต่ท้ายที่สุดเทพสวรรค์ก็มีอายุขัยจำกัดเช่นกัน?
จนกว่าจะถึงเวลาที่เขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถไปช่วยเหลือนางได้ เมื่อถึงเวลานั้นหญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นหม่อนเพลิงจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?
หลังจากถอนหายใจเบาๆมันเหมือนกับว่าตอนนี้เขามองไปเห็นหญิงสาวที่งดงามอยู่ใต้ต้นหม่อนเพลิงกำลังโบกมือและยิ้มให้กับเขา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอวิ๋นซีปลดปล่อยตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทางโลกอีกต่อไป นางมุ่งมั่นในการทำสวนยาขั้นเทพอยู่กับเด็กไม่กี่คนราวกับเซียนอมตะที่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
อย่างไรก็ตามในวันนี้ใบหน้าที่ขาวนวลเนียนเป็นประกายของนางกลายเป็นสีแดงเล็กน้อย นางไม่สามารถสงบสติอารมณ์จากข่าวที่ได้ยินได้
ฉินอี้หนิงมาขอให้นางและสือฮ่าวแต่งงานกัน!
แม้ว่านางจะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่หลังจากผ่านไปหลายปีนางก็เลิกคิดเรื่องนี้แล้วจู่ๆมาได้ยินอย่างกะทันหันทำให้นางเตรียมตัวไม่ทันอยู่บ้าง
นางควรจะเห็นด้วยหรือไม่? นางติดตามเขามาก็เพื่อจะดูแลเขานางไม่ต้องการให้เขาตอบแทนนางแบบนี้
อย่างไรก็ตามใครจะคิดว่าท้ายที่สุดแล้วเขากลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เขายังคงเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นอยู่เช่นเดิมแล้วเหตุไฉนนางจึงจะกล้าขอรับผลประโยชน์ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไร
นางไม่ได้มีโอกาสดูแลเขาเลย ก่อนหน้านี้นางเคยคิดที่จะจากไป แต่ฉินอี้หนิงไม่อนุญาตให้นางจากไปไหน
ตอนนี้ฉินอี้หนิงขอให้นางมาเป็นลูกสะใภ้
นี่ไม่ใช่การเป็นสหายเต๋าหรือคู่บ่มเพาะของเขา แต่นางจะกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องอย่างแท้จริงนั่นเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อวิ๋นซีนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีตทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้ทำร่วมกันทั้งสอง ตั้งแต่เป็นศัตรูจนกระทั่งเป็นสหายสนิทกัน
เพียงแต่เรื่องที่ตระกูลของนางได้ทำกับสือฮ่าวนั้นเปรียบเสมือนคมมีดที่คอยบาดหัวใจของนางอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่สนใจเรื่องนี้แต่นางก็รู้ว่าสือฮ่าวคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถมองข้ามแดนรกร้างรวมถึงเก้าสวรรค์สิบพิภพ และยังมีสหายหญิงมากมายที่รุมล้อมเขาอยู่
เป็นเพราะในอนาคตที่นางไม่สามารถติดตามเขาไปได้ หญิงสาวพวกนั้นก็จะปรากฏตัวอีกครั้งแล้วเขาจะสามารถสลัดพวกนางทิ้งได้จริงๆหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีฮั่วหลิงเอ๋อที่อยู่ภายในใจของเขาตลอดมา
ความคิดของอวิ๋นซีค่อนข้างซับซ้อนขัดแย้งเล็กน้อย แต่นางก็มีความสุขด้วยในเวลาเดียวกัน
ท้ายที่สุดนางก็ตอบตกลง