เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 251
ตอนที่ 251
“เจ้ากล้าจะโจมตีกลับเช่นนั้นรึ? รนหาที่ตาย!” เมื่อเห็นว่าการโจมตีของมันมิอาจสังหารหลินซวนได้ รุ่นเยาว์ที่มีขนสีขาวผู้นั้นก็กราดเกรี้ยวทันที
หลินซวนมองไปยังชายที่กำลังหงุดหงิดผู้นั้นก่อนเอ่ยบางอย่าง
“เจ้าเป็นใครกัน? ไม่รู้ความหนักเบาของฟ้าดินเพียงเพราะมีความแข็งแกร่งเล็กน้อย อยากสังหารข้า? เจ้าคู่ควรแล้วหรือ?”
ได้ยินเช่นนั้น คราวแรกมันชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะอย่างมีโทสะออกมา
มันคือ ยู่ซวนเทียนหยู อัจฉริยะไร้เทียมทานและมีระดับการบ่มเพาะถึงแดนสร้างรากฐาน กลับมีเจ้าเด็กบัดซบผู้หนึ่งกล้าเอ่ยถึงความแข็งแกร่งของมัน นี่เป็นเรื่องตลกยิ่งนัก
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เจ้าทำให้ข้าโมโหอย่างสมบูรณ์แล้ว” ยู่ซวนเทียนหยูคำรามเสียงต่ำ ปราณวิญญาณในร่างของมันควบแน่นจนกลายเป็นเสาแห่งแสง มันกระทืบส่วนความว่างเปล่าใต้เท้าก่อนจะส่งร่างตัวเองพุ่งเข้าหาหลินซวน
“คิดว่าจะสังหารข้าได้หรือ?” หลินซวนกล่าวอย่างเย็นชา ราวกับว่าน้ำเสียงของเขาจะแช่แข็งปราณวิญญาณทั่วทั้งใต้หล้าไว้ได้
หลินซวนกระแทกกำปั้นอย่างดุร้าย ความเร็วของหมัดนั้นมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นี่ทำให้ยู่ซวนเทียนหยูไม่มีทางเลือกนอกเสียจากหยุดการโจมตีของตน มันดึงเอาเสาแห่งแสงที่เกิดจากการควบแน่นของปราณวิญญาณมากขวางการโจมตีของหลินซวนเอาไว้
ต่อหน้าพลังสัมบูรณ์เช่นนี้ เสาแห่งแสงจากปราณวิญญาณของมันทานทนได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจก่อนจะกระจัดกระจายไปทั่วทั้งท้องนภา
ยู่ซวนเทียนหยูแม้จะมิได้อ่อนแอ แต่ร่างของมันก็ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง มันพยายามใช้ฝ่ามือของตนส่งหัตถ์ปราณออกมาไม่หยุดหย่อนคล้ายต้องการสลายปราณวิญญาณที่ถูกส่งมาจากการโจมตีของหลินซวน
หลินซวนสามารถมองทะลุการกระทำของมันได้อย่างทะลุปรุโปร่งและอดจะเยาะเย้ยไม่ได้
เขาคือผู้ที่เดินอยู่ในเส้นทางอันแข็งแกร่งสูงสุด ไม่มีผู้ใดในอดีตหรืออนาคตนับจากนี้จะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้
ทะเลปราณในร่างของเขาแตกต่างจากผู้บ่มเพาะคนอื่นโดยสิ้นเชิง ความเข้มข้นของพลังปราณในตันเถียนนั้นมากมายกว่าผู้อื่นนับร้อยเท่า เมื่อรวมกับทักษะลมหายใจปราณม่วงปฐมกาล ปราณวิญญาณในกายของเขาสามารถเติมเต็มได้ตลอดเวลา อย่าได้กล่าวถึงผู้บ่มเพาะแดนสร้างรากฐานตัวน้อย ต่อให้เป็นยอดฝีมือแดนอาณาเขตม่วง หลินซวนก็สามารถใช้พลังปราณของตนปะทะกับลมปราณของอีกฝ่ายจนมันตกตายจากการใช้ปราณจนหมดตัวได้
หรือต่อให้หลินซวนจะยังเป็นผู้บ่มเพาะแดนสร้างรากฐาน แต่ปราณวิญญาณในร่างของเขาก็ยังมากกว่าผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกันหลายเท่าตัว ต่อให้รูปลักษณ์ของเขาจะดูไม่เป็นเช่นนั้นแต่แล้วอย่างไร?
เผชิญหน้ากับหัตถ์ปราณที่ท่วมทับเต็มท้องฟ้า หลินซวนใช้พลังดูดกลืนของเขาออกมา การโจมตีจำนวนมหาศาลนั้นถูกกลืนหายไปในทันที และมุมปากของหลินซวนก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน
การโจมตีทั้งหมดของมันหายไปอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้ยู่ซวนเทียนหยูตื่นตระหนกไม่น้อย
อัจฉริยะอีกสองคนที่ต่อสู้กับมันมานานหลายวันเองก็มิอาจทำใจให้เชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าได้ หลังจากการปะทะกันอย่างเนิ่นนาน พวกมันย่อมรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของยู่ซวนเทียนหยูนั้นมากมายเพียงใด
แม้ว่าพวกมันทั้งคู่จะร่วมมือกันเพื่อจัดการกับยู่ซวนเทียนหยู แต่การต่อสู้ก็มิได้ง่ายดาย หรือว่าเด็กน้อยผู้นั้นจะมาจากสำนักศึกษาแห่งอาณาเขตกลาง?
ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกมันก็ไม่อาจคาดคิดได้อีกว่าจะมีกองกำลังใดสามารถเลี้ยงดูอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาได้
เมื่อหวงหาวเห็นหลินซวนสามารถทำลายการโจมตีของผู้อื่นได้โดยง่าย เขาถึงขั้นลืมกลืนผลไม้วิญญาณที่อัดแน่นอยู่เต็มปาก
แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าหลินซวนไม่กี่ปี แต่ทารกน้อยเช่นนี้เหตุใดจึงได้ทรงพลังนัก?
ต่อให้สำหรับเขาแล้ว การโจมตีของศัตรูจะไม่นับว่าเป็นเรื่องต้องจริงจังนัก แต่มันก็ยังมีผลกระทบอยู่บ้าง
“เป็นไปได้อย่างไร?” ยู่ซวนเทียนหยูเอ่ยขึ้นมาด้วยความโง่งม
“ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เจ้ามิอาจรับรู้ รับมือ”
“เก้าอักขระลับ ‘จงมา’ !”
หลินซวนคำรามเสียงต่ำ ปราณวิญญาณฟ้าดินนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา กลิ่นอายรอบกายปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าเขากลายเป็นยอดฝีมือในแดนอาณาเขตม่วงไปแล้ว
จิตใต้สำนึกของยู่ซวนเทียนหยูสั่งให้มันป้องกันตัวเองทันที แต่ก่อนที่มันจะได้กระทำสิ่งใด หลินซวนก็สร้างโซ่ขึ้นมาจากปราณวิญญาณก่อนจะปักตรึงโซ่เส้นนั้นเข้ากับหน้าอกของมัน
การกระทำนี้ส่งผลให้อวัยวะภายในของมันได้รับบาดเจ็บ โลหิตและปราณทะลักออกมา ของเหลวสีแดงและแสงสีขาวถูกสำรอกออกจากปากของมัน ทำให้มันแทบจะหมดสติ
รุ่นเยาว์ในชุดสีม่วงชะงักค้าง มันไม่รู้ว่าบัดนี้ควรจะแสดงสีหน้าเช่นใดออกมาดี
“นี่เจ้าสามารถทำร้ายเขาได้โดยง่ายเช่นนี้เลยหรือ?” รุ่นเยาว์อีกคนหนึ่งมองไปยังสีหน้าที่ย่ำแย่ของยู่ซวนเทียนหยูก่อนจะถามขึ้นมาด้วยไม่อาจทำใจให้เชื่อถือได้
และหากมิใช่เพราะความจริงที่ว่าตอนนี้มันกำลังบาดเจ็บอยู่ ยู่ซวนเทียนหยูก็คงสาปแช่งออกมาแล้ว
“ซู่อู่เฟิ่ง เลิกประชดประชันได้แล้ว แน่จริงก็มารับการโจมตีเช่นนี้ดูเองเถิดหากเจ้ามีความสามารถมากพอ แค่กๆ” ลำไส้ของมันถูกกระแทกจนแทบไหลย้อนออกมาจากปาก ทำให้ทุกคำที่พูดออกมาส่งผลต่อบาดแผลในร่างของมันโดยตรง
ซู่อู่เฟิ่งสะบัดผมของมันไปด้านหลังและมองมายังหลินซวนพลางกัดฟันแน่
“ข้าไม่เชื่อ!”
“กรงเล็บอินทรี!”
ซู่อู่เฟิ่งตะโกนออกมาพลางกางนิ้วทั้งห้าของมันต่างกรงเล็บ ปราณวิญญาณพุ่งออกจากปลายนิ้ว ในเมื่อมันเคลื่อนไหว ภาพเงาของปีกสีทองก็ปรากฏขึ้น
ทว่า หลินซวนมิได้ใส่ใจซู่อู่เฟิ่งผู้นี้แม้แต่น้อย เขาไม่ได้ใช้ทักษะแปลกประหลาดใดๆ และทำเพียงเหวี่ยงหมัดเข้าใส่การโจมตีที่พุ่งเข้ามาเท่านั้น แต่หมัดเพียงเท่านี้กลับทำให้ห้วงอากาศรอบด้านเกิดการระเบิดขึ้น
เมื่อหมัดและกรงเล็บปะทะกัน ซู่อู่เฟิ่งก็ตกเป็นรองในทันที นิ้วมือของมันสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ มันพยายามอดทนต่อแรงปะทะและเปลี่ยนกระบวนท่าอีกครั้ง แขนของมันพลิ้วไหวราวกับอสรพิษ ด้วยหวังจะคว้าจับแขนของหลินซวนเอาไว้
“หัตถ์มังกรพัวพัน!”
“หมัดพยัคฆ์!”
“ขนนกกวาดใต้หล้า!”
ทันใดนั้นเอง มันก็จู่โจมใส่ท่อนล่างของหลินซวน ทว่าเขาไม่ได้แตกตื่นแม้แต่น้อย เขายื่นนิ้วออกมาพร้อมกับเอ่ยบางสิ่ง
“หนึ่งดัชนี สยบจักรวาล!”
ท่ามกลางความว่างเปล่า ดัชนีที่ก่อร่างขึ้นจากการควบรวมของปราณวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า หลังจากที่เล็งเป้าไปยังซู่อู่เฟิ่ง มันก็กดลงมาด้วยความเร็วไม่มากนัก
ซู่อู่เฟิ่งที่ยังคงโจมตีหลินซวนอย่างต่อเนื่องกลับกลายเป็นตื่นตระหนกในทันที หลังจากเห็นการปะทะกันของหลินซวนและยู่ซวนเทียนหยู มันก็รับรู้ได้ว่าตราบเท่าที่มันโจมตีจนหลินซวนมิอาจโต้กลับได้ มันก็ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอยู่
ทว่ามันกลับคิดผิด ดูเหมือนว่าการที่มันโจมตีอย่างต่อเนื่องให้หลินซวนป้องกันนั้นมิได้ทำให้มันเป็นต่อแม้แต่น้อย อันที่จริง เป็นหลินซวนต่างหากที่อยู่เหนือมันมาโดยตลอด
บัดนี้การโจมตีทั้งหมดที่มันมีถูกใช้ออกจนหมดสิ้น หากมันต้องการจะถอนตัว ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บจากการตีกลับของลมปราณที่เกิดขึ้นเพราะรั้งการโจมตีกลับมา และหากมันไม่ถอยออกไป มันก็ต้องทนรับกับการจู่โจมที่กำลังเข้ามาจากเบื้องบน
“อ๊าก ข้าสังหารเจ้า!” ซู่อู่เฟิ่งโจมตีใส่หลินซวนอย่างบ้าคลั่ง ตราบเท่าที่มันสังหารหลินซวนได้ การโจมตีจากดัชนีนั้นย่อมจางหายไป
“โง่เขลา!”
เผชิญหน้ากับการโจมตีของซู่อู่เฟิ่ง หลินซวนไม่ได้รับรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย เขาสามารถหลบหลีกพวกมันได้อย่างหมดจด ราวกับว่าเขามิได้กำลังต่อสู้แต่เป็นการสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามอยู่
“หมัดของเจ้าช้าเกินไป และท่อนล่างของเจ้าก็ยังไม่มั่นคง ข้าล่ะสงสัยเสียจริงว่าเจ้าสามารถบ่มเพาะขึ้นมาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน” หลินซวนเย้ยหยันมันอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว
เมื่อซู่อู่เฟิ่งได้ยินเช่นนั้น มันก็แทบจะเสียสติ ไม่ว่าจะทางกายหรือวาจา มันก็ไม่อาจเอาชนะหลินซวนได้
ตูม!
พลังอันน่าหวาดผวาบรรลุถึงร่างของซู่อู่เฟิ่ง ทำให้เสื้อผ้าอันงดงามของมันฉีกขาดและตัวมันกระอักโลหิตอย่างต่อเนื่อง
บัดนี้มันเข้าใจแล้วว่ายู่ซวนเทียนหยูนั้นพบเจอกับเหตุการณ์เช่นไร พวกมันทั้งคู่ไม่อาจเทียบกับฝ่ายตรงข้ามได้แม้เพียงเส้นผม การต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งเช่นนี้รังแต่จะทำให้พวกมันถูกขยี้อย่างไร้ทางตอบโต้
หลินซวนมองไปยังรุ่นเยาว์ทั้งสองที่บาดเจ็บสาหัสและกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“นี่หรือคืออัจฉริยะจากกองกำลังที่ทรงอำนาจ? พวกเจ้าไม่อาจทานทนการโจมตีแม้เพียงกระบวนท่าเดียวจากข้าได้เสียด้วยซ้ำ กระทั่งสุนัขยังทรงพลังกว่าพวกเจ้าเลย”
ประโยคสุดท้ายของหลินซวนทำให้พวกมันทั้งคู่กระอักเลือดซ้ำอีกครา
แม้แต่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงผู้นั้นยังใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำด้วยโทสะ
“พวกเราร่วมมือกันเถิด ข้าไม่เชื่อว่ากระทำเช่นนั้นแล้วจะยังไม่อาจล้มมันได้!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้พวกมันต้องกำชัยชนะให้ได้