บทที่ 60: แผ่นจานค่ายกล
บทที่ 60: แผ่นจานค่ายกล
ลู่เสี่ยวหรันวิเคราะห์ความแข็งแกร่งและการฝึกตนในปัจจุบันของเสี่ยวเป่ยในขณะที่เขาเดินโดยก้มศีรษะลง ไม่นาน เขาก็มาถึงตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ห้ะ?”
เขาขมวดคิ้วและตกตะลึงเล็กน้อย
มันมีค่ายกลอยู่ในตรอกเล็กๆ นี้!
นอกจากนี้ มันก็ยังเป็นค่ายกลที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม
ใครก็ตามที่อยู่ใต้ขอบเขตภูผาสมุทรแล้วก้าวเข้ามาในนี้จะถูกปิดผนึกสัมผัสทั้งหก และพลังวิญญาณของพวกเขาก็จะไม่สามารถใช้งานได้ พูดได้เลยว่าพวกเขาจะไม่มีทางหนีออกไปได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือใครกันที่เป็นคนตั้งค่ายกลนี้?
ต้องรู้ว่านี่คือนิกายเต่าทมิฬ!
มันเป็นการรนหาที่ตายที่จะสร้างค่ายกลเช่นนี้ขึ้นในนิกายเต่าทมิฬ
ในขณะที่เขากำลังสับสนอยู่ เขาก็ยังกระจายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกไปและตรวจพบร่างหลายร่างในบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ ร่างเหล่านั้นก็ยังปิดล้อมทางหนีของเขาเอาไว้ทั้งหมด
“ออร่านี้… นิกายมารหรอ?”
ลู่เสี่ยวหรันค่อนข้างแปลกใจ
แม้ว่าผู้คนจากนิกายมารจะซ่อนเร้นออร่าของพวกมันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่พวกมันก็ไม่สามารถซ่อนตัวจากเขาได้
นี่เป็นเพราะเคล็ดวิชาการฝึกตนทั้งหมดที่ลู่เสี่ยวหรันได้ฝึกฝนมานั้นเป็นเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตราชันยุทธ์... และนอกจากนี้ การฝึกตนของเขาก็ยังมาถึงขอบเขตแก่นแท้แล้ว พูดตามตรง เขาก็สามารถสัมผัสถึงพวกมันได้ตั้งแต่พวกมันปรากฎตัวขึ้น
“ผู้อาวุโสหลี่ ทำไมเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ถึงยังไม่เข้ามาสักที? หรือว่าเขาจะสังเกตเห็นค่ายกลของเราแล้ว? เราตั้งค่ายกลไว้อย่างดี แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นมันหรอ?”
“อย่าลืมสิว่านี่คือนิกายเต่าทมิฬ สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในด้านค่ายกล มันไม่ยากเลยสำหรับผู้คนของที่นี่ที่จะสัมผัสถึงค่ายกลของเรา”
“แบบนั้นแล้วเราควรจะทำยังไงดีล่ะ? หากเขาไม่เข้ามา เราก็จะไม่สามารถฆ่าเขาและใช้ตัวตนของเขาเพื่อปลอมตัวได้นะ”
“เราไม่จำเป็นต้องรอหรอก ไม่มีใครอยู่ที่นี่อยู่แล้ว และระดับการฝึกตนของเขาก็อยู่ที่ขอบเขตวิญญาณเท่านั้น เราก็แค่ต้องโจมตีเขาและผลักเขาเข้าไปในค่ายกล ตราบใดที่เขาเข้ามาในค่ายกลของเราได้ เราก็จะเป็นฝ่ายชนะ”
“งั้นมาโจมตีด้วยกันเถอะ”
ขณะที่ผู้อาวุโสหลี่พูด ร่างหลายร่างก็กลายเป็นภาพติดตาในเวลาเดียวกันและรีบวิ่งไปทางด้านหลังของลู่เสี่ยวหรัน
ความเร็วของพวกเขาได้พุ่งออกไปจนถึงขีดสุด และในขณะที่พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังจะสามารถจับลู่เสี่วยวหรันได้ ลู่เสี่ยวหรันก็หันกลับมาอย่างเงียบๆ
ร่างกายของเขาไม่ได้เคลื่อนไหว เขาเพียงแค่หันศีรษะมาและมองออกไป ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองไปที่พวกเขาอย่างแน่วแน่
รูม่านตาของพวกเขาหดเกร็งขึ้นในทันที และขนบนร่างกายของพวกเขาก็ลุกชันขึ้น
ลู่เสี่ยวหรันรู้อยู่แล้วหรอว่าพวกเขาอยู่ข้างหลังเขา? เขาทำได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มองมาข้างหลังด้วยซ้ำ!
ไม่ นี่ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนี้ ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ต้องถอย!
นี่เป็นความคิดเดียวที่ผู้อาวุโสหลี่มี
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาให้ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แรงกดดันอันทรงพลังที่เขาไม่สามารถต่อต้านได้ก็พุ่งเข้าหาพวกเขาจากทางด้านบนในทันที
ทันทีหลังจากนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นตามจำนวนลูกน้องที่เขามีทั้งหมด
บึ้ม บึ้ม บึ้ม…
ผู้อาวุโสหลี่ตกใจมากจนวิญญาณของเขาเกือบจะหลุดออกจากร่าง ในเวลานี้ แม้แต่กางเกงของเขาก็ยังเปียกโชกไปด้วยวารีทองคำ
เขาคือใครกันแน่?
เมื่อดูจากรูปลักษณ์แล้ว มันก็ดูเหมือนเขาจะมีอายุน้อยกว่า 40 ปีด้วยซ้ำ?
แบบนั้นแล้วทำไมเขาถึงให้ความรู้สึกเหมือนกับพวกตัวละครยักษ์ใหญ่ในนิกายมารกัน?
ก่อนที่เขาจะคิดหาคำตอบได้ทัน ลู่เสี่ยวหรันก็ได้เอื้อมมือออกไปคว้คอเสื้อของเขาแล้ว
ลู่เสี่ยวหรันโยนเขาลงไปที่พื้นเหมือนกับเศษขยะ เขาไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปเลย เนื่องจากแรงกดดันของเขาที่ใช้ควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง มันจึงทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถใช้พลังวิญญาณของเขาได้
นี่คือการปราบปรามพวกขยะที่ถูกต้อง!
“ทำไมนิกายมารของแกถึงมาปรากฏตัวในนิกายเต่าทมิฬ?”
แม้ว่าร่างของผู้อาวุโสหลี่จะเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เขาก็ยังกัดฟันและพูดว่า
“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม? แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!”
“แน่ใจนะว่าจะปากแข็ง”
แน่นอนว่าลู่เสี่ยวหรันจะไม่ฆ่าเขา ถ้านิกายมารมีแผนใหญ่และเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็จะไม่มีปัญหาใหญ่ตามมาทีหลังหรอกหรอ?
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่เสี่ยวหรันจึงหมุนเวียนพลังวิญญาณของเขาและระเบิดแขนของอีกฝ่ายโดยไม่พูดจาใดๆ
“อ้ากกกก!”
ผู้อาวุโสหลี่ส่งเสียงกรีดร้องที่น่าสลดใจออกมา เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มไหลออกมาจากหน้าผากของเขา และใบหน้าของเขาก็ซีดลงมาก
“จะบอกไม่บอก?”
“ฆ่าข้าเลย!”
ผู้อาวุโสหลี่กัดฟันและตะโกนตอบกลับอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ลู่เสี่ยวหรันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาระเบิดแขนอีกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายโดยไม่ถามซ้ำ
“อ้ากกกกก!”
ผู้อาวุโสหลี่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสลดใจอีกครั้ง ในครั้งนี้ เขาก็ฝืนทนและกัดฟันของเขาจนเลือดไหลออกมา
“ข้ามีเพียงสองแขนและสองขา ดูซิว่าเจ้าจะทรมานข้าได้นานสักแค่ไหน? แม้ว่าข้าจะตายจากการทรมานของเจ้าและจิตวิญญาณของข้าจะแหลกสลายไป แต่ข้าก็จะไม่บอกแผนการของนิกายมารอันศักดิ์สิทธิ์หรอก! มันดีที่สุดแล้วถ้าเจ้าจะไม่สิ้นเปลืองพลังงานและฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปซะ”
ลู่เสี่ยวหรันไม่ได้สนใจคำพูดของมัน เขาหมุนเวียนศาสตร์นักษัตรและออร่าแสงสีเขียวก็ส่องประกายขึ้นที่มือของเขา เขาจับไปที่ร่างของผู้อาวุโสหลี่ และแขนของผู้อาวุโสหลี่ก็งอกออกมาอีกครั้งในทันที
“อะไรกัน?!”
ดวงตาของผู้อาวุโสหลี่เบิกกว้าง และเขาก็ตกใจมาก
เคล็ดวิชานี้… ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน? เคล็ดวิชานี้มันท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะคิดออก ลู่เสี่ยวหรันก็ระเบิดแขนของเขาออกจากกันอีกครั้งในทันที จากนั้น เขาก็ใช้เคล็ดวิชาศาสตร์นักษัตรเพื่อรักษาแขนของมันก่อนที่จะระเบิดขึ้นอีกครั้ง… วัฏจักรนี้วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในระยะเวลาสั้นๆ ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้ประสบกับอาการเจ็บปวดที่บีบคั้นหัวใจมากกว่าสิบครั้ง
ความเจ็บปวดเหล่านี้ทำให้จิตใจของผู้อาวุโสหลี่แตกสลาย
“ข้ายอมแพ้! ข้ายอมแพ้แล้ว!”
ลู่เสี่ยวหรันกลอกตา
“ไหนบอกว่าจะไม่พูดไง?”
ใบหน้าของผู้อาวุโสหลี่เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาไม่ได้ต้องการจะยอมแพ้ แต่เขาจะทำอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีเคล็ดวิชาที่ผิดปกติเช่นนี้? ไม่มีใครในโลกที่จะสามารถต้านทานวิธีการเค้นข้อมูลของเขาได้
ด้วยเคล็ดวิชาการรักษาระดับนี้ อีกฝ่ายก็จะไม่มีวันยอมปล่อยให้เขาตายแน่ และนี่ก็จะกลายเป็นลูปการทุบตีนรกที่ไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกทุกครั้งนั้นก็เป็นของจริง จิตใจของเขาไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างสมบูรณ์
“เรามาที่นี่เพื่อแอบเข้าไปในหอคอยปราบมารและทำลายค่ายกลเพื่อปลดปล่อยผู้นำมารของเรา”
“ทำลายค่ายกลของนิกายเต่าทมิฬ? ด้วยพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนเนี่ยนะ?”
“ไม่ไม่ไม่ แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้มีกันแค่นี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ได้นำจานสำหรับสร้างค่ายกลขอบเขตเซียนมาด้วย จานนี้ถูกบรรจุเอาไว้ด้วยค่ายกลสามหัวใจมารอันศักดิ์สิทธิ์ของเราที่ได้ค้นคว้ามาอย่างถี่ถ้วน ตราบใดที่เราวางแผ่นจานค่ายกลนี้ไว้บนหอคอยปราบมาร ผู้นำนิกายมารอันศักดิ์สิทธิ์ของเราก็จะสามารถช่วยเหลือท่านผู้นำมารเปิดค่ายกลและปล่อยให้เขาออกมาผ่านการควบคุมระยะไกลได้”
“แล้วมันอยู่ไหนล่ะ?”
“มันอยู่นี่”
ผู้อาวุโสหลี่รีบหยิบมันออกมาจากถุงเก็บของแล้วมอบมันให้ลู่เสี่ยวหรัน
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป เขามีความผิดปกติมากกว่าพวกหัวรุนแรงในนิกายมารเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้อาวุโสหลี่จึงไม่กล้าที่จะยั่วยุเขาแต่อย่างใด
ลู่เสี่ยวหรันรับค่ายกลมาและไม่แม้แต่จะมองไปที่ผู้อาวุโสหลี่ เพียงความคิดเดียว อีกฝ่ายก็ถูกระเบิดเละโดยทันที ร่างทั้งร่างของเขาระเบิดกลายยเป็นหมอกสีเลือด และทำให้เขาได้ไปพบปะกับพวกลูกน้องของเขาในโลกหลังความตาย
จากนั้นลู่เสี่ยวหรันก็ตั้งสมาธิอีกครั้ง ค่ายกลที่ซ่อนอยู่ในตรอกถูกแปรสภาพเป็นค่ายกลฝ่ายธรรมโดยไม่มีออร่ามารใดๆ หลงเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากหลายเท่า และแม้แต่คนที่อยู่ในขอบเขตแก่นแท้ก็ยังไม่สามารถมองทะลุผ่านได้
จากนั้น ลู่เสี่ยวหรันก็เริ่มศึกษาจานค่ายกลนี้