บทที่ 56: พวกขี้โกง
บทที่ 56: พวกขี้โกง
เดิมทีลู่เสี่ยวหรันก็ไม่ต้องการจะแสดงตัวจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังจะต่อสู้กัน เขาก็ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เท่านั้น
“ท่านผู้นำนิกาย ขอประทานโทษด้วยที่ข้ามาช้า”
ผู้นำนิกายเฉินซึ่งกำลังจะโจมตีอีกฝ่ายหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงนี้ จากนั้นเขาก็หันกลับไปอย่างไม่เชื่อ เมื่อเขาเห็นว่ามันคือลู่เสี่ยวหรัน ดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็รีบเดินไปตบไหล่ลู่เสี่ยวหรัน
“เสี่ยวหรัน! ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ข้านึกว่าเจ้าจะถูกนิกายมารฆ่าไปซะแล้ว!”
“เอ่อ…”
ลู่เสี่ยวหรันค่อนข้างพูดไม่ออก ผู้นำนิกายกำลังถูกรังแกโดยผู้นำนิกายกระบี่สวรรค์ และเมื่อเขาเห็นลู่เสี่ยวหรัน เขาก็ทำสีหน้าราวกับว่าเขาได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา “ต้องขอบคุณท่านผู้นำนิกายและความจริงที่ว่าในคืนนั้นค่อนข้างมืด ดังนั้นข้าจึงสามารถหลบหนีออกมาได้”
“ดีแล้วที่เจ้ารอดมาได้”
ผู้นำนิกายตบไหล่ของลู่เสี่ยวหรันอีกครั้ง ผู้นำนิกายเฉินหันกลับมาและยกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางทั้งหมดของเขาแตกต่างไปจากเมื่อกี้อย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้เขาทำอะไรไม่ถูกและโกรธมาก แต่ตอนนี้ เขาก็กำลังแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามและเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง!
“อู๋เฟิงหยุน นี่คือผู้อาวุโสของนิกายอสูรสวรรค์ ผู้อาวุโสเสี่ยวหรัน เขากลับมาแล้ว เตรียมนิกายกระบี่สวรรค์ของเจ้าเอาไว้ให้พร้อมได้เลย!”
อู๋เฟิงหยุนหรี่ตามองเขาด้วยความรังเกียจ
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าขนาดนั้นเลยหรอ?”
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
“ได้!!!”
ทั้งสองฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปในกระโจมของตน
ผู้คนจากนิกายกระบี่สวรรค์ต่างก็มีท่าทีเคร่งขรึม
“ท่านผู้นำนิกาย หรือว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนอยู่จริงๆ?”
อู๋เฟิงหยุนยิ้มอย่างเย็นชา
“มันจะไปมีอะไรต้องกลัวกัน? เมื่อดูจากอายุของเขาแล้ว เขาก็น่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบถึงสามสิบปีเท่านั้น ด้วยอายุเพียงแค่นี้ แม้ว่าเขาจะเริ่มฝึกตนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะประสบความสำเร็จใดๆ ฮ่าฮ่า...”
หลังจากหัวเราะอย่างต่อเนื่อง เขาก็หยุดหัวเราะและพูดอย่างจริงจังว่า
“อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็พูดถูกเช่นกัน แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเฒ่าเฉินคนนั้นกำลังจะพยายามทำอะไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ข้าจะเริ่มนั่งสมาธิและฝึกตนตั้งแต่ตอนนี้ เมื่องานชุมนุมค่ายกลเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ ข้าก็จะแสดงให้นิกายอสูรสวรรค์ได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของข้า!”
ทางด้านของนิกายอสูรสวรรค์
หลังจากที่ลู่เสี่ยวหรันเดินเข้าไปในกระโจม ผู้อาวุโสหนึ่งก็นำถ้วยชาออกมาเสิร์ฟในทันที
ลู่เสี่ยวหรันแสดงท่าทีเกรงใจ
“ผู้อาวุโสหนึ่ง ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ข้าทำเองก็ได้”
ผู้อาวุโสหนึ่งส่ายหัวและรินชาให้กับลู่เสี่ยวหรัน
“เราไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดีและทำให้เจ้าต้องดิ้นรนเอาตัวรอดมาตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ชาถ้วยนี้เป็นคำขอโทษของเราที่มีต่อเจ้า”
“ไม่เลย พวกท่านล้วนเป็รผู้อาวุโสที่ข้านับถือ พวกท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษใดๆ เลย”
“ไม่เป็นไร ชาถ้วยนี้ไม่ใช่เพียงคำขอโทษสำหรับเจ้าเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว เรายังต้องการให้เจ้าช่วยล้างความอัปยศในครั้งก่อนของเราออกไปด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เสี่ยวหรันก็ทำได้เพียงดื่มชาเข้าไป แต่ก่อนที่เขาจะดื่มมัน เขาก็ถามต่อว่า
“นิกายอสูรสวรรค์ของเราต้องดิ้นรนขนาดนี้เลยหรอ? ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสหวังและผู้อาวุโสเถียต่างก็มีทักษะการสร้างค่ายกลที่ไม่อ่อนแอเลย แบบนั้นแล้วทำไมพวกเขาถึงแพ้ให้กับนิกายกระบี่สวรรค์ได้?”
ผู้นำนิกายส่ายหัวและถอนหายใจ การแสดงออกของผู้อาวุโสคนอื่นๆ เองก็ค่อนข้างมืดมนเช่นกัน
ผู้อาวุโสหนึ่งกล่าวต่อว่า
“ความจริงก็คือ ผู้อาวุโสหวังได้ถึงแก่กรรมแล้วที่เมืองนั้น”
“เป็นไปไม่ได้? การฝึกตนของผู้อาวุโสหวังได้มาถึงขอบเขตสกัดวิญญาณแล้วไม่ใช่หรอ?!”
อันที่จริง ลู่เสี่ยวหรันก็สังเกตเห็นมานานแล้วว่ามันไม่มีออร่าของผู้อาวุโสหวังอยู่ใกล้ๆ นี้เลย
อย่างไรก็ตาม สำหรับลู่เสี่ยวหรันแล้ว ชีวิตก็เป็นเหมือนละคร และทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับทักษะการแสดงของแต่ละคน
ปัจจุบัน เขาก็กำลังแสดงเป็นตัวประกอบในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตวิญญาณ
ทุกคนถอนหายใจ “เดิมที ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับผู้อาวุโสของนิกายหมื่นพิษ อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิดว่าเมื่อถึงจุดแตกหัก มันก็จะจุดชนวนและระเบิดตัวเองในทันที? ในตอนนั้น ผู้อาวุโสหวังที่ไม่ทันระวังจึงถูกสังหารลงในท้ายที่สุด”
“นี่มันแย่จริงๆ”
“หลังจากนั้น เราก็มาที่นิกายเต่าทมิฬและเข้าร่วมการแข่งขันการสร้างค่ายกลโดยมีผู้อาวุโสเถียเป็นผู้รับผิดชอบ แต่กระนั้นความสามารถในการสร้างค่ายกลของผู้อาวุโสเถียนั้นก็แย่กว่าของผู้อาวุโสหวังมาก ในขณะเดียวกัน ผู้นำนิกายกระบี่สวรรค์อู๋เฟิงหยุนก็เป็นผู้นำในการสร้างค่ายกลของอีกฝ่าย! แม้ว่าการฝึกตนของเขาจะด้อยกว่าผู้นำนิกายของเรา แต่เขาก็ได้ใช้เวลาว่างในการศึกษาค่ายกล ดังนั้นเขาจึงสามารถปราบปรามนิกายอสูรสวรรค์ของเราสองรอบติดต่อกันได้”
ลู่เสี่ยวหรันถูขมับของเขา
เขาไม่ได้คาดคิดว่าการแข่งขันระหว่างอันดับที่ 100 กับ 80 จะน่าสลดใจถึงขนาดนี้!
ถ้าเขาขึ้นไปบนเวทีและใช้กำลังเต็มที่ พวกเขาก็คงจะกลายเป็นผู้ชนะได้ในทันที?
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องตั้งใจและจริงจังให้มากขึ้นในระหว่างการแข่งขัน
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ต้องการจะแสดงความแข็งแกร่งให้มากเกินไปและทำให้คนเหล่านี้ตกตะลึง
ผู้อาวุโสเถียคิดว่าลู่เสี่ยวหรันกำลังประหม่าและรีบปลอบ
“เสี่ยวหรัน เจ้าไม่ต้องกลัว เราทุกคนเชื่อในตัวเจ้า เราได้เห็นค่ายกลที่เจ้าสร้างขึ้นในนิกายแล้ว โดยพื้นฐานแล้ว มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าที่จะเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรก”
ในขณะเดียวกัน ลู่เสี่ยวหรันก็ตบไหล่ของเขาและยิ้ม
“เสี่ยวหรัน เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นแหละ เจ้าแค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ ไม่ว่าจะยังไง เจ้าก็จะต้องเอาชนะพวกนิกายกระบี่สวรรค์ได้อย่างแน่นอน!”
ใบหน้าของลู่เสี่ยวหรันกระตุก ดูเหมือนว่าเป้าหมายของผู้นำนิกายจะมีแค่การเอาชนะนิกายกระบี่สวรรค์
เขาและผู้นำนิกายกระบี่สวรรค์คงจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน แต่น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์นั้นไม่ใช่ในแง่ดีสักเท่าไหร่
ในขณะนี้ เสียงระฆังอันไพเราะก็ดังขึ้น ผู้นำนิกายและคนอื่นๆ ต่างพากันยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“เริ่มแล้ว เสี่ยวหรัน การแข่งขันของวันนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
“เอ่อ…เข้าใจแล้ว”
ลู่เสี่ยวหรันเดินตามผู้คนจากนิกายอสูรสวรรค์ไปยังสนามแข่งขัน เขาเห็นป้ายมากมายข้างสนามแข่งขัน
มันเป็นการจัดอันดับของนิกายต่างๆ
อันดับของนิกายอสูรสวรรค์ในตอนนี้อยู่ที่ 101
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของลู่เสี่ยวหรันก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นิกายอสูรสวรรค์แต่เป็นชื่อที่อยู่อันดับต้นๆ
เสี่ยวเป่ย!
เขามาจากเมืองเจียงและไม่ได้เป็นสมาชิกของนิกายหรือสมาคมใดๆ เขาอยู่ที่ขอบเขตวิญญาณขั้นสิบเท่านั้นและชนะการแข่งขันสองนัดแรก
หัวใจของลู่เสี่ยหรันเต้นผิดจังหวะ
ดูเหมือนเขาจะมีปัญหากับชื่อนี้!
เสี่ยว!
นี่ไม่ใช่นามสกุลตามมาตรฐานสำหรับพวกขี้โกงเหล่านั้นหรอ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยังมาจากเมืองเจียงและไม่ได้เป็นสมาชิกของนิกายหรือสมาคมใดๆ แบบนั้นแล้วเขาจะไปถึงขอบเขตวิญญาณขั้นสิบด้วยตัวเขาเองได้อย่างไร?
บัดสบ หรือว่านี่จะเป็นไอ้สารเลวที่ทำลายตระกูลของหยุนหลี่เกอและแม้กระทั่งชิงคู่หมั้นของเขาไป?
น่าเสียดายที่หยุนหลี่เกอไม่ได้อยู่ที่นี่ มิฉะนั้นแล้ว เขาก็คงจะถามเพื่อยืนยันไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ลู่เสี่ยวหรันกำลังตกอยู่ในภวังค์ ฝูงชนก็เริ่มพูดคุยกันอย่างเดือดดาล
“ดูนั่น! อาจารย์เสี่ยวมานี่แล้ว!”
“อาจารย์เสี่ยวนับเป็นมังกรและนกฟีนิกซ์ในหมู่มวลมนุษย์ เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตของเขาไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ!”
เมื่อได้ยินประโยคที่คุ้นเคยเหล่านี้ ลู่เสี่ยวหรันก็สามารถยืนยันได้ในทันทีโดยไม่ต้องถามหยุนหลี่เกอ
เวรแล้ว! พวกขี้โกง!
มันจะต้องเป็นพวกขี้โกงอย่างแน่นอน!