บทที่ 55: ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
บทที่ 55: ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
หลังจากที่ตกใจอยู่ชั่วครู่ ฉินจื่อโม่ก็ฟื้นคืนสติของเธอ
“ยังไงก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ข้าก็ได้รับบาดเจ็บหนักอยู่ ดังนั้นข้าจึงน่าจะสามารถใช้ค่ายกลนี้เพื่อช่วยข้ารักษาอาการบาดเจ็บได้ แบบนั้นแล้ว ข้าก็น่าจะฟื้นฟูได้เร็วขึ้น”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินจื่อโม่ก็หยิบหินวิญญาณออกมาจากถุงเก็บของของเธอในทันทีเพื่อแทนที่หินวิญญาณเก่าที่ลู่เสี่ยวหรันทิ้งเอาไว้
วินาทีต่อมา เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันท่วมท้นที่พุ่งเข้ามารวมกันอย่างรวดเร็ว
ห้ะ!
ในขณะนี้ หัวของฉินจื่อโม่ก็เต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับลู่เสี่ยวหรัน
ทรงพลังเกินไปแล้ว!
ถ้าผู้ชายคนนั้นสามารถสร้างค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ แบบนั้นแล้วเขาจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เสี่ยวหรันผู้ทรงพลังก็ยังคอยดูแลเธอในช่วงที่เธอสลบไป ใครจะไปรู้ว่ามันผ่านมานานแค่ไหน เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ใบหน้าที่สวยงามของฉินจื่อโม่ก็กลายเป็นสีแดงอย่างช่วยไม่ได้
ในปัจจุบัน ลู่เสี่ยวหรันก็ไม่ได้รู้เลยว่าฉินจื่อโม่ได้ตื่นขึ้นแล้วและได้ใช้ค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณที่เขาทิ้งเอาไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเธอ
ถ้าเขารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาก็คงจะทำลายค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณลงไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้รู้เลยว่าเขาได้ปลูกฝังความประทับใจอันทรงพลังไว้ในหัวใจของฉินจื่อโม่แล้ว
เหตุผลหลักคือเขารู้สึกว่าในขณะที่ฉินจื่อโม่หมดสติไป เธอก็คงจะยังไม่ตื่นขึ้นในเร็วๆ นี้
ยิ่งไปกว่านั้น หมีทั้งสองก็ยังทำให้เขาเสียสมาธิและทำให้เขาลืมคิดที่จะจัดการกับค่ายกล
หลังจากที่การฝึกตนของเขาไปถึงขอบเขตแก่นแท้ขั้นสี่แล้ว ความเร็วของลู่เสี่ยวหรันก็เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าเขาสามารถเคลื่อนที่ห้ากิโลเมตรได้ในก้าวเดียว ดังนั้นแล้วมันจึงง่ายมากสำหรับเขาที่จะเดินทางหลายร้อยกิโลเมตรในหนึ่งวินาที
ด้วยเหตุนี้เอง ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งก้านธูป ลู่เสี่ยวหรันจึงมาถึงนิกายเต่าทมิฬแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังนิกายเต่าทมิฬ และลู่เสี่ยวหรันก็ถอนหายใจทันที
“มันใหญ่จริงๆ!”
จริงๆ แล้ว นิกายอสูรสวรรค์นั้นก็ใหญ่มากแล้ว ตามขนาดของมัน มันก็อาจจะไม่เล็กไปกว่าเมืองปกติบนโลกเก่าของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายเต่าทมิฬแท้แล้ว เมืองในโลกเก่าของเขานั้นก็ดูจืดชืดไปเลย
อาณาเขตของนิกายเต่าทมิฬนั้นเทียบได้กับเกาะขนาดใหญ่
พื้นที่ทั้งหมดถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 100 เมตร มันมีค่ายกลสลักเอาไว้ซึ่งสามารถใช้เพื่อต่อต้านศัตรูได้
ประตูทุกบานได้รับการปกป้องโดยผู้ฝึกตน และมันก็มีบาเรียก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าด้วย
ภายในกำแพงเมืองมีร้านค้าทุกประเภท
ร้านแลกเปลี่ยนหินวิญญาณ, ร้านแลกเปลี่ยนสัตว์อสูร, ร้านขายอาวุธ, ร้านขายสมุนไพร… มันมีร้านค้ามากมายจนทำให้ผู้คนเวียนหัว
ในหมู่พวกมัน มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นศิษย์ของนิกายเต่าทมิฬ หลายคนเป็นผู้ฝึกตนอิสระจากนิกายเล็กๆ หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนจากนิกายที่ถูกทำลายและไม่มีบ้านให้กลับไป
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาจ่ายเงิน พวกเขาก็จะสามารถได้รับการคุ้มครองจากนิกายเต่าทมิฬและทำธุรกิจในอาณาเขตของนิกายได้
ด้วยวิธีการนี้ นิกายเต่าทมิฬจึงสามารถดูดเลือดดูดเนื้อพวกเขาได้อย่างสดชื่น และรวมถึงผู้ที่มีพรสวรรค์มากมาย
สำหรับคนทั่วไปแล้ว หากพวกเขาต้องการที่จะเข้าร่วมนิกายและฝึกฝน พวกเขาก็จะต้องอุทิศตนให้กับนิกายเต่าทมิฬเป็นอย่างมาก
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะมีแต่ทำให้นิกายเต่าทมิฬแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น!
สิ่งนี้ทำให้ลู่เสี่ยวหรันสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและเสน่ห์ของนิกายชั้นหนึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา มันทรงพลังมาก!
ที่นี่ เขาจะสามารถค้นหาทรัพยากรที่เขาไม่สามารถหาได้ในนิกายอสูรสวรรค์อย่างแน่นอน
ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ว่ากันว่าบางนิกายชั้นหนึ่งก็สามารถแข่งขันกับพระราชวังจักรพรรดิได้ด้วยซ้ำ
ลู่เสี่ยวหรันกำหมัดแน่นและสาบานกับตัวเอง
“ฉันจะต้องฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง เมื่อฉันไปถึงขอบเขตราชันยุทธ์แล้ว ฉันก็จะหนีมาหลบที่นิกายเต่าทมิฬ แม้ว่ามันจะมีอิสระมากกว่าในนิกายอสูรสวรรค์ แต่มันก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่ากับนิกายเต่าทมิฬ”
ยิ่งนิกายใหญ่เท่าใด การเผชิญหน้ากับอันตรายก็จะน้อยลงเท่านั้น
นี่เป็นเพราะมีคนไม่มากที่จะกล้ายั่วยุนิกายใหญ่
อย่างไรก็ตาม ลู่เสี่ยวหรันก็จะไม่ไปที่นิกายระดับสูง
หากเขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตราชันยุทธ์ที่ถูกล้อมรอบด้วยผู้ฝึกตนขอบเขตราชัน มันก็จะปลอดภัยมากสำหรับเขาที่จะซ่อนอยู่ภายในนี้
อย่างไรก็ตาม หากเขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตราชัน มันก็จะไร้ประโยชน์สำหรับเขาที่จะซ่อนตัวอยู่ในนิกายใหญ่
หากมันเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ เขาก็อาจจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้
“หยุด เจ้ามาจากไหนกัน? เจ้ามีเหรียญตราหรือไม่?”
เมื่อลู่เสี่ยวหรันมาถึงประตูเมือง ทหารที่ดูแลเมืองก็หยุดเขาทันที
ลู่เสี่ยวหรันเป็นพลเมืองดีที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เขาไม่เหมือนกับพวกตัวเอกที่โง่เขลาและหยิ่งผยองที่จะชอบคุยโวและเริ่มการต่อสู้หากพวกเขาไม่พอใจ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรีบนำตราประจำตัวของนิกายอสูรสวรรค์ออกมาจากกระเป๋าของเขาและส่งมอบให้
“สหายนักพรต ข้าคือลู่เสี่ยวหรันจากนิกายอสูรสวรรค์ นิกายของเราน่าจะเข้าไปในเมืองและลงทะเบียนไว้แล้ว”
“ลู่เสี่ยวหรัน”
อีกฝ่ายหนึ่งหยิบสมบัติธรรมที่ดูเหมือนกระจกเงาออกมา นิ้วของเขาสัมผัสมันสองครั้งและหาข้อมูลของลู่เสี่ยวหรันอย่างรวดเร็ว “เรียบร้อยแล้ว เจ้าเข้าไปได้”
“ขอบคุณ ข้าขอทราบตำแหน่งของงานชุมนุมค่ายกลหน่อยจะได้ไหม?”
“ทางใต้ของเมือง ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางอยู่”
“ขอบคุณ”
ลู่เสี่ยวหรันขอบคุณอีกฝ่ายและเดินเข้าไปในเมือง เขารีบไปตามทางที่ป้ายบอกและมาถึงที่งานชุมนุมทางตอนใต้ของเมือง
หลังจากเข้าไปถามทาง เขาก็พบสถานที่พักผ่อนของนิกายอสูรสวรรค์อย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ตำแหน่งของนิกายอสูรสวรรค์นั้นอยู่ติดกับตำแหน่งของนิกายกระบี่สวรรค์
ก่อนที่เขาจะเดินไปถึง เขาก็ได้ยินผู้นำนิกายของเขาและผู้นำนิกายของอีกฝ่ายกำลังโต้เถียงกัน
“อู๋เฟิงหยุน นิกายกระบี่สวรรค์ของเจ้าอยู่ในอันดับที่ 80 ได้ก็เพราะพวกเจ้าโชคดีหรอก! มันจะไปมีอะไรให้น่าภาคภูมิใจกัน!”
“แล้วไง? อย่างน้อยอันดับที่ 80 ก็ดีกว่าอันดับที่ 100 แหละ?”
“ชิ! ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสลู่เสี่ยวหรันของนิกายอสูรสวรรค์ของเราชอบเก็บตัว เจ้าคิดหรอว่านิกายอสูรสวรรค์ของเราจะอยู่ในอันดับที่ 100 ?”
“เฒ่าเฉิน คำพูดของเจ้ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ในคืนนั้นที่ร้านอาหาร ศิษย์ของนิกายอสูรสวรรค์ของเจ้าก็ได้เสียชีวิตลง และศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ของเราหลายคนเองก็ได้เสียชีวิตลงด้วย มันจะเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรอที่ศิษย์ของเจ้าที่เสียชีวิตลงทุกคนจะเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล?”
“อู๋เฟิงหยุน วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้แหละ!”
ผู้นำนิกายเฉินเต็มไปด้วยโกรธในขณะที่ผู้นำนิกายอู๋เฟิงหยุนกำลังแสดงท่าทีดูถูก
“แม้ว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้ แต่นิกายกระบี่สวรรค์ของเราก็จะยังคงอยู่ในอันดับที่ 80 และนิกายอสูรสวรรค์ของเจ้าก็จะยังคงอยู่ในอันดับที่ 100 ความจริงที่ว่านิกายกระบี่สวรรค์ของเราแข็งแกร่งกว่านิกายอสูรสวรรค์ของเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของลู่เสี่ยวหรันก็มืดลงในทันที
เขาต้องการจะออกจากการแข่งขันมันซะตอนนี้เลย ถ้าเขาไม่เข้าร่วม เขาก็จะไปหาที่ฝึกตนต่ออีกสักหนึ่งเดือน และหลังจากการแข่งขันจบลง เขาก็สามารถปรากฏตัวขึ้นและบอกว่าเขาหลงทางได้
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดนี้มันก็น่าอายเกินไป หนึ่งในนั้นอยู่ในอันดับที่ 80 และอีกหนึ่งก็อยู่ในอันดับที่ 100 ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังมีหน้ามาโต้เถียงกัน!
และที่น่าขำยิ่งกว่านั้นก็คือพวกเขายังภูมิใจมากที่ได้อยู่ในอันดับที่ 80
ลู่เสี่ยวหรันไม่เข้าใจพวกเขาเลยจริงๆ