บทที่ 49: มีบางอย่างผิดปกติกับโรงเตี๊ยมนี้
บทที่ 49: มีบางอย่างผิดปกติกับโรงเตี๊ยมนี้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ร่างกายของเฒ่าหลิวก็ถูกเติมเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทรมาน พวกเขาทั้งสามคนรุมทุบตีชายชราผู้น่าสงสารจนไม่เหลือชิ้นดี
“เจ้าแน่นักใช่ไหม? ทีนี้จะยอมกลับไปแต่โดยดีไหม?” หยุนหลี่เกอตบใบหน้าของเฒ่าหลิว สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าที่บวมอยู่แล้วของเฒ่าหลิวมีรอยฟกช้ำเพิ่มมากขึ้น
“ข้าเปล่า! ข้ายอมแล้วๆ!” เฒ่าหลิวไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าทั้งสามคนจะมีความแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้
แม้ว่าการฝึกตนของพวกเขาจะด้อยกว่าเขามาก แต่เมื่อพวกเขาทั้งสามทำงานร่วมกัน เขาก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของพวกเขาได้เลย
โดยเฉพาะศิษย์น้องขององค์หญิงคนนั้น เขาเป็นเหมือนกับกระดองเต่า การโจมตีของเขาทำได้เพียงจั๊กจี้อีกฝ่ายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของเขาก็ยังหนักหน่วงมาก
หากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เขาก็คงจะไม่ถูกทรมานมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือเขาต้องบล็อกการโจมตีจากทั้งสามคนในทีเดียว องค์หญิงและศิษย์พี่ของเธอต่างก็โจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งจากด้านหลัง พวกเขาทุบตีเขาจนไม่สามารถตอบโต้ใดๆ ได้อีกต่อไป สิ่งที่ผิดปกติยิ่งไปกว่านั้นก็คือความเร็วที่พวกเขาทั้งสามดูดซับพลังวิญญาณนั้นเร็วมาก พวกเขาสามารถโจมตีอย่างต่อเนื่องได้โดยไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังกลืนยาควบแน่นวิญญาณขอบเขตสวรรค์ขั้นสูงต่อหน้าเขาเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณในร่างกายและเพิ่มพลังโจมตีของพวกเขา และในท้ายที่สุด เขาก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“ในเมื่อเจ้ายอมแพ้แล้วงั้นก็ไสหัวกลับไปซะ แล้วก็อย่ามาสร้างปัญหาให้กับน้องรองของเราอีก เข้าใจที่ข้าพูดไหม?”
“ข้าสามารถกลับไปได้ แต่องค์หญิง... มันไม่ง่ายสำหรับข้าที่จะอธิบายให้องค์ชายฟัง”
จื่ออู๋เซียเยาะเย้ย
“แล้วข้าต้องสนใจหรอ? นั่นมันปัญหาของเจ้า นอกจากนี้ ถ้าเจ้ายังกล้าคิดจะมาจับต้องข้าอีก… หรือแม้ว่าเจ้าจะจับข้าและพาข้ากลับไปที่พระราชวังจักรพรรดิได้… แต่ข้าก็จะบอกท่านพ่อว่าเจ้าขืนใจข้า! ทีนี้ข้าก็หวังว่าเจ้าจะฉลาดพอที่จะตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินที่ถูกต้องได้นะ”
เฒ่าหลิว :“….”
เขาอยากจะร้องไห้ แต่เนื่องจากมันน่าอายเกินไป ดังนั้นเขาจึงข่มมันไว้ข้างใน
“ข้า… ข้าเข้าใจ”
“ดี งั้นก็ไสหัวไปได้แล้ว”
“เข้าใจแล้ว!”
หลังจากได้รับการปล่อยตัว เฒ่าหลิวก็รีบหนีอย่างรวดเร็ว เมื่อเขากลับไปถึงนิกายอสูรกระดูกขาว เวลาหนึ่งชั่วโมงก็ได้ผ่านไปแล้ว จื่ออู๋เฉียงพร้อมที่จะกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรายงาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นเฒ่าหลิวกลับมาคนเดียวด้วยใบหน้าที่บวมและฟกช้ำ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง
“เฒ่าหลิว เจ้า… ?”
เฒ่าหลิวเกาหัวของเขา
“เฒ่าหลิวไร้ประโยชน์และปล่อยให้องค์หญิงหนีไปได้ นอกจากนี้นางยังทุบตีข้า ได้โปรดลงโทษข้าด้วยที่ไร้ประโยชน์”
“เป็นไปได้ยังไงกัน? ด้วยระดับการฝึกตนของนาง นางจะไปขัดขืนเจ้าได้อย่างไร? นางอยู่แค่ขอบเขตวิญญาณเท่านั้นเองนะ!”
เฒ่าหลิวเผยสีหน้าละอายใจ
“เรียนองค์ชาย องค์หญิงอยู่ที่ขอบเขตภูผาสมุทรขั้นหนึ่งแล้ว”
“อะไรนะ?!”
จื่ออู๋เฉียงอุทานออกมา เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าน้องสาวของเขาจะประสบความสำเร็จได้มากถึงขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ!
นี่มันเกินจินตนาการของเขาไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เขาก็หายตกตะลึงอย่างรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “นั่นไม่ถูกต้อง แม้ว่านางจะอยู่ที่ขอบเขตภูผาสมุทรขั้นหนึ่งแล้ว แต่เจ้าก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตภูผาสมุทรขั้นเจ็ด แบบนั้นแล้วเจ้าจะแพ้นางได้อย่างไร?”
เฒ่าหลิวอดไม่ได้ที่จะเกาหัวอีกครั้ง ใบหน้าของเขาค่อนข้างมืดมน
“นั่นเป็นเพราะศิษย์พี่และศิษย์น้องขององค์หญิงที่เข้ามาช่วย หนึ่งในนั้นอยู่ที่ขอบเขตภูผาสมุทรขั้นสามและอีกคนหนึ่งก็อยู่ที่ขอบเขตวิญญาณขั้นแปด แม้ว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาจะไม่ได้สูงมาก แต่พวกเขาก็ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ข้า… ข้ามันไร้ประโยชน์เลยถูกพวกเขาทุบตีและทรมานเอา!”
จื่ออู๋เฉียงครุ่นคิด
“การฝึกตนของอู๋เซียนั้นเพิ่มขึ้นเร็วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางร่วมมือกับศิษย์พี่และศิษย์น้องของนาง นางก็สามารถเอาชนะเจ้าได้ ดูเหมือนว่าอาจารย์ของนางคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ”
ต่างจากนิกายอสูรกระดูกขาว จื่ออู๋เฉียงไม่ได้คิดอะไรมากเกินเกี่ยวกับเคล็ดวิชาการฝึกตน ในเวลานั้น เนื่องจากนิกายอสูรกระดูกขาวอยู่ใกล้กับนิกายอสูรสวรรค์มาก ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นและรับรู้ได้ถึงความทรงพลังของปรากฎการณ์พลังสวรรค์นั้น
แต่ในขณะเดียวกัน จื่ออู๋เฉียงเองก็ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในนิกายอสูรสวรรค์
นอกจากนี้ เฒ่าหลิวก็ยังฝึกฝนเพียงเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตปฐพีขั้นกลางเท่านั้น หากน้องสาวของเขาและพวกของเธอฝึกฝนเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตสวรรค์ทั้งสามคน มันก็ยังเป็นไปได้ที่พวกเธอจะสามารถเอาชนะเฒ่าหลิวได้หากพวกเธอร่วมมือกันเป็นอย่างดี
สำหรับเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตสวรรค์ จื่ออู๋เฉียงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“องค์ชาย เราควรไล่ตามองค์หญิงต่อไปดีไหม?”
จื่ออู๋เฉียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
“ลืมมันไปเถอะ เนื่องจากนางไม่เต็มใจที่จะกลับไป แม้ว่าข้าจะบังคับนาง แต่นางก็จะยังคงต่อต้านเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ท่านพ่อขอให้ข้าพานางกลับไปก็เพื่อให้นางฝึกฝนได้ดีขึ้นก็เท่านั้น ตอนนี้นางสามารถฝึกฝนได้ดีขึ้นแล้ว แบบนั้นแล้วทำไมข้าถึงจะยังต้องพานางกลับไปอีกล่ะ?”
...
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อท้องฟ้ามืดลง เรือเหาะของนิกายอสูรสวรรค์ก็หยุดบินและลงจอดในเมืองเล็กๆ
“หมอกจะตกหนักมากในตอนกลางคืน และมันก็จะเป็นการยากที่จะบอกทิศทางในขณะบิน ดังนั้นคืนนี้เราจะอยู่ในเมืองนี้หนึ่งคืนและไปต่อในวันพรุ่งนี้”
หลังจากกล่าวจบ ทุกคนก็ลงจากเรือเหาะ
นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ใช้สำหรับหยุดพักผ่อน ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในตอนกลางคืน สถานที่แห่งนี้ก็ยังสว่างไสวและพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทุกคนเดินเข้าไปในเมืองและมาถึงโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขามาถึง ลู่เสี่ยวหรันก็รู้สึกได้ลางๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่สัมผัสที่หกของเขาก็แม่นยำเสมอ
เขาจำได้ว่าตั้งแต่ปีแรกหลังจากที่เขามาเกิดใหม่ เขาก็ไม่ได้ไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารเพราะเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และในท้ายที่สุด มันก็มีคนอาหารเป็นพิษในวันนั้น หลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็พบว่าพ่อครัวบังเอิญหยิบเห็ดพิษมาปรุงอาหาร
ในปีที่สามของการมาเกิดใหม่ เนื่องจากลู่เสี่ยวหรันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมในการฝึกของนิกาย และในที่สุด สัตว์อสูรตัวหนึ่งก็หลุดเข้ามาสร้างปัญหาและสังหารศิษย์ไปจำนวนหลายคน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มันมีทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก และสัมผัสที่หกของเขาก็แม่นยำมากเสมอ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกว่าเขาไม่สามารถเข้าไปในโรงเตี๊ยมนี้ได้
เขาตบไหล่ของผู้นำนิกายและกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย ข้าสงสัยว่ามันน่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ทำไมเราไม่ไปที่อื่นล่ะ”
“โอ้? เจ้ามีปัญหาอะไรกัน?”
ลู่เสี่ยวหรันส่ายหัว
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือข้ารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับมัน”
“อืม… เอางั้นก็ได้”
ตอนนี้ลู่เสี่ยวหรันเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในนิกายอสูรสวรรค์ ดังนั้นผู้นำนิกายจึงยินดีที่จะรับฟังเขา
อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกเขากำลังจะย้ายไปหาโรงเตี๊ยมอื่น คนกลุ่มอื่นก็มาถึงโรงเตี๊ยมนี้แล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะจากไป คนหนึ่งในนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดเยาะเย้ยในทันที
“โอ้ นี่มันสหายจากนิกายอสูรสวรรค์ไม่ใช่หรอ? ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในสักหน่อยล่ะ? ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เลยนะ! หรือว่าพวกเจ้าจะไม่ได้รับการต้อนรับที่นี่?”
ทุกคนหยุดกะทันหันและหันกลับมามอง
“อู๋เฟิงหยุน ข้าไม่คิดเลยว่านิกายกระบี่สวรรค์ของเจ้าเองก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”
อู๋เฟิงหยุนลูบเคราของเขาและยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้ว นิกายกระบี่สวรรค์ของเราจะไปกล้าดูหมิ่นคำเชิญของนิกายเต่าทมิฬได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น พี่เฉิน เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าถึงจะจากไปล่ะ? หรือว่านิกายของเจ้าจะถังแตกกัน?”
ใบหน้าของผู้นำนิกายมืดมนลง
“เจ้าต่างหากที่ถังแตก ทั้งครอบครัวของเจ้าก็ถังแตก ไปเถอะ เราเข้าไปหาห้องที่ดีที่สุดกันเถอะ”
ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้นำนิกายก็ก้าวกลับเข้าไปในทันที
ลู่เสี่ยวหรันอดไม่ได้ที่จะงงงวย เขาดึงแขนเสื้อของผู้อาวุโสและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหนึ่ง ทำไมผู้นำนิกายถึงดูโมโหขนาดนี้กัน? เขามีความแค้นอะไรกับนิกายกระบี่สวรรค์หรอ?”