บทที่ 46 ขอบเขตแก่นแท้
บทที่ 46 ขอบเขตแก่นแท้
หลี่เต๋าหรันกล่าวขณะที่เขาทำท่าทางเหลือเชื่ออย่างมาก
เขากลายเป็นบ้าและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
การจ้องมองของลู่เสี่ยวหรันค่อนข้างซับซ้อน
เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าหลี่เต๋าหรันจะค้นพบความลับของยอดเขาจื่อฉุ่ย
“อย่างงั้นหรอ?”
ลู่เสี่ยวหรันกล่าวอย่างเฉยเมย จากนั้นออร่าสีทองก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา ทันใดนั้นปีศาจยักษ์สีทองที่สูงกว่า 80 เมตรก็ปรากฎตัวขึ้น มันนั่งไขว่ห้างมีออร่าสีทองส่องประกายล้อมรอบมัน สิ่งนี้ทำให้มันดูเหมือนกับพระเจ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์
หลี่เต๋าหรัน: “!!!”
“ผู้อาวุโสลู่ เจ้า… เจ้า…” หลี่เต๋าหรันตกใจมากจนพูดไม่ออก ครู่ต่อมาลู่เสี่ยวหรันก็ได้เก็บกายาทองไร้เทียมทานกลับไปและพูดอย่างเฉยเมยว่า “อันที่จริงแล้ว ความแข็งแกร่งของข้าก็ไม่ได้อยู่ที่ขอบเขตวิญญาณ ข้าได้ทะลวงผ่านขอบเขตวิญญาณไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่ต้องการที่จะเป็นจุดสนใจ ดังนั้นข้าจึงซ่อนการฝึกตนของข้าเอาไว้อยู่เสมอและไม่บอกให้ใครรู้”
มุมปากของหลี่เต๋าหรันกระตุกสองครั้ง จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นและกอดต้นขาของลู่เสี่ยวหรัน “ฮือ… ผู้อาวุโสลู่ เจ้าก็รู้จักข้ามานานแล้ว ข้าจะไม่บอกใครแน่นอน โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ฮืออ… ข้าได้เอาหินวิญญาณระดับสูงตั้ง 50,000 ก้อนไปฝากไว้กับบัญชีสมาชิกในกลุ่มอาคาเซีย ถ้าเจ้าฆ่าข้า ข้าก็จะไม่มีทางจากไปอย่างสงบได้แน่นอน”
ลู่เสี่ยวหรันถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“โดยพื้นฐานแล้ว ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ใครก็ตามที่รู้ความลับของข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นั่นก็เพราะมีแต่คนตายเท่านั้นที่จะสามารถเก็บความลับเอาไว้ได้”
หลี่เต๋าหรันเริ่มร้องไห้หนักขึ้น
“ผู้อาวุโสลู่ ข้าผิดไปแล้ว ถ้าข้าออกจากนิกายอสูรสวรรค์ล่ะ? ได้โปรดปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อเถอะ ข้าเพิ่งจะอยู่มาได้เพียง 60 ปีเท่านั้นเอง ข้ายังไม่อยากตาย ข้ายังไม่ได้สืบทอดทายาทให้กับตระกูลหลี่ของข้าเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อเห็นว่าหลี่เต๋าหรันร้องไห้หนักขนาดไหน ลู่เสี่ยวหรันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร
“เอาล่ะ แม้ว่าข้าจะไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ความลับของข้า แต่ข้าก็ไม่ใช่ปีศาจที่จะสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสิบปี ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า”
ดวงตาของหลี่เต๋าหรันเต็มไปด้วยน้ำตา
“เจ้าจะไม่ฆ่าข้าจริงๆ หรอ?”
ลู่เสี่ยวหรันเหลือบมองเขาด้วยความโกรธ
“ถ้าข้าต้องการจะฆ่าเจ้า เจ้าคิดหรอว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้?”
หลี่เต๋าหรันเช็ดน้ำตาของเขาและกล่าวด้วยความขอบคุณ
“ผู้อาวุโสลู่ เจ้าเป็นคนดีจริงๆ เมื่อข้ากลับไปที่ยอดเขาฉีซื่อ ข้าก็จะสร้างวิหารให้กับเจ้าและถวายเครื่องหอมแก่เจ้าในทุกๆ วันอย่างแน่นอน!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าว่าข้าฆ่าเจ้าทิ้งซะตอนนี้เลยจะดีกว่า” เมื่อเห็นว่าลู่เสี่ยวหรันกำลังจะยกมือขึ้น หลี่เต๋าหรันก็ตัวสั่นและรีบคว้าแขนเสื้อของลู่เสี่ยวหรันเอาไว้
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ข้าจะไม่ทำมันแล้ว เจ้าต้องการที่จะซ่อนการฝึกตนที่แท้จริงของเจ้าใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง ข้าจะหุบปากเงียบอย่างแน่นอน”
ลู่เสี่ยวหรันพยักหน้า
“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เจ้าก็ไม่เคยจะเป็นคนปากแข็งพอ เรื่องของข้าจะต้องถูกเจ้าปล่อยออกไปแน่ไม่ช้าก็เร็ว เอาแบบนี้เป็นไง? ข้าจะแกะสลักค่ายกลไว้บนร่างกายของเจ้า เจ้าจะไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เป็นเวลาสามปี ตราบใดที่เจ้าไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนของข้า เจ้าก็จะไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพูดมันออกมา มันก็จะระเบิดตัวเจ้าในทันที”
ห้ะ!
หลี่เต๋าหรันยตัวสั่น
“ข้าคิดว่าอย่าดีกว่านะ นั่นมันอันตรายเกินไป มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าค่ายกลของเจ้าเกิดไม่เสถียรและระเบิดข้าขึ้นมา?”
“งั้นข้าก็คงจะต้องส่งเจ้าไปยังโลกหลังความตายเดี๋ยวนี้แหละ!”
“ไม่ไม่ไม่ มาเริ่มสลักค่ายกลกันเลยเถอะ!”
“เยี่ยม ถอดเสื้อผ้าออกซะ”
ครู่ต่อมา เสียงกรีดร้องของหลี่เต๋าหรันก็ดังขึ้นจากภายในบ้าน
“อ้ากกก!”
“โอ้ยยยย!”
“แอ๊กกก…”
“เบาลงหน่อยเถอะ!”
เมื่อเสียงค่อยๆ เบาหายไป หลี่เต๋าหรันก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ต้องการจะอยู่บนยอดเขาจื่อฉุ่ยอีกต่อไป
ถ้าเขาโชคร้าย เขาก็อาจจะตายได้
หลังจากที่หลี่เต๋าหรันจากไป ลู่เสี่ยวหรันก็พบตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาบนพื้น เขาส่ายหัวและเก็บมันขึ้นมา “ผู้อาวุโสหลี่นี่ประมาทอยู่เสมอเลย”
จากนั้นหยุนหลี่เกอและอีกสองคนก็เดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ นี่หมายความว่าการฝึกตนของท่านอาจารย์ลุงหลี่ก็ต่ำต้อยมากเลยหรอ?”
ลู่เสี่ยวหรันเหลือบมองทั้งสามคนด้วยความโกรธ
“ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเจ้าทั้งสามคนนั่นแหละ! พวกเจ้าควรให้ความสำคัญกับการฝึกตน แบบนั้นแล้วทำไมพวกเจ้าถึงต้องจงใจโอ้อวดเขาด้วย? ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าทำก็ลงเอยด้วยการเปิดเผยความลับของยอดเขาจื่อฉุ่ยอีกแล้ว!”
“แบบนี้แล้วท่านอาจารย์ลุงหลี่จะเปิดเผยความลับของเราไหม?”
“ไม่ ข้าได้สร้างค่ายกลเอาไว้บนร่างกายของเขาแล้ว เขาจะไม่สามารถเปิดเผยความลับของเราได้”
“เอาล่ะ รีบกลับไปฝึกตนได้แล้ว เพื่อยกระดับการฝึกตนของพวกเจ้า ข้าก็ได้ใช้หินวิญญาณระดับสูงไป 100,000 ก้อนเพื่อสร้างค่ายกลพลังวิญญาณ ในเดือนนี้ พวกเจ้าทั้งสามคนก็จะสามารถฝึกตนได้เร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยห้าเท่า อย่าพลาดโอกาสนี้ไปล่ะ!”
แววตาของทั้งสามเป็นประกายและรีบป้องมือพร้อมกับโค้งคำนับในทันที
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
ด้วยเหตุนี้เอง ในเดือนต่อมา ทั้งสี่คนรวมทั้งลู่เสี่ยวหรันจึงได้ทำการฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง
สำหรับการฝึกฝนการสร้างค่ายกล ลู่เสี่ยวหรันก็ไม่ได้คิดถึงมันเลย
แม้ว่าเขาจะไป แต่เขาก็จะไม่ได้หวังจะได้รับตำแหน่งใดๆ อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะการสร้างค่ายกลของเขานั้นก็ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรต้องปรับปรุงจริงๆ!
พริบตาเดียว เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
เมื่อถึงสิ้นเดือน ลู่เสี่ยวหรันก็ลืมตาขึ้นในยามเช้า
ข้างๆ เขา พลังงานธาตุหลายประเภทก็รายล้อมเขาราวกับเมฆหลากสี
มันสวยงามมาก!
นี่ไม่เพียงแต่จะหมายความว่าลู่เสี่ยวหรันสามารถควบคุมพลังธาตุทั้งสี่ได้เท่านั้น แต่มันยังหมายความว่าเขาได้ทะลวงขอบเขตใหม่สำเร็จแล้ว!
ขอบเขตแก่นแท้ขั้นหนึ่ง!
เขาได้ทะลุผ่านขั้นทั้งหมดสามขั้นจนมาถึงขอบเขตแก่นแท้
ในกระบวนการพัฒนานี้ เขาก็ได้รับเครดิตไปประมาณ 70% เนื่องจากความเร็วในการฝึกตนของเขานั้นเร็วกว่าพวกศิษย์ทั้งสามมาก นอกจากนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสองเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตราชันยุทธ์ชั้นยอดและค่ายกลพลังวิญญาณ เขาจึงได้ทะลวงผ่านสองขั้น
สำหรับหยุนหลี่เกอ, จื่ออู๋เซียและฟางเทียนหยวน พวกเขาก็มีส่วนร่วมในการพัฒนาแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
“หวังไฉ่”
[ ข้ามาแล้วนายท่าน! ]
“แสดงหน้าต่างค่าคุณสมบัติของหยุนหลี่เกอและอีกสองคนให้ฉันดู”
[ รับทราบ! ]
หวังไฉ่แสดงหน้าต่างข้อมูลอย่างรวดเร็ว มันแสดงข้อมูลของพวกเขาทั้งสามคน
การฝึกตนของจื่ออู๋เซียพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและได้ทะลวงไปสู่ขอบเขตภูผาสมุทรขั้นหนึ่งแล้ว
สำหรับหยุนหลี่เกอ เพราะพรสวรรค์ของเขาต่ำกว่าของจื่ออู๋เซียและฟางเทียนหยวน การพัฒนาของเขาจึงช้ากว่า แต่ในทางกลับกัน เนื่องจากฟางเทียนหยวนได้มาถึงขอบเขตภูผาสมุทรแล้ว และระดับการฝึกตนของเขานั้นก็สูงกว่าหยุนหลี่เกอและจื่ออู๋เซีย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว การฝึกตนของหยุนหลี่เกอได้ใสถึงขอบเขตวิญญาณขั้นแปดแล้ว
ระดับการฝึกตนของฟางเทียนหยวนก็ได้มาถึงขอบเขตภูผาสมุทรขั้นสามแล้ว
ความเร็วนี้ไม่ได้ช้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับลู่เสี่ยวหรันแล้ว มันก็ยังไม่เพียงพอโดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม มันก็ดีเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้ว ลู่เสี่ยวหรันก็ได้มาถึงขอบเขตแก่นแท้แล้ว และตอนนี้เขาก็มีโอกาสรอดสูงขึ้น
เขาได้รับถุงของขวัญความก้าวหน้าทั้งหมดสามใบ และมันก็ยังมีถุงของขวัญขนาดเล็กอีกทั้งหมดหกใบและถุงของขวัญขนาดใหญ่หนึ่งใบ
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าครั้งนี้ฉันจะได้ของดีอะไร”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลู่เสี่ยวหรันก็ยิ้มและเริ่มเปิดถุงของขวัญขนาดเล็ก