วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0048
บทที่ 19 ตะวันออก, การเดินทางระยะกลาง (1)
* * *
“เอลฟ์คนนั้นมีโฉมนักพเนจร”
“หมายถึงหนึ่งในผู้ปกครอง?”
ลิลี่พยักหน้า
“โฉมพเนจรคือคำสาปที่จะทำให้คนผู้นั้นอยู่ไม่ติดที่ มีชะตากรรมต้องเดินทางตลอดเวลา แต่จะมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ในทุกแห่งหนที่ไปเยือน ทว่า…”
สีหน้าลิลี่ไม่สู้ดีนัก
“…การที่เอลฟ์มีโฉมแบบนี้”
“มันไม่ถูกต้องยังไง”
“เอลฟ์คือเผ่าพันธุ์ที่ชอบอยู่ติดที่ และใช้ชีวิตอย่างสันโดษ”
“…อ้อ”
เผ่าพันธุ์ที่อยากอยู่เฉยๆ กลับได้รับชะตากรรมที่ห้ามอยู่กับที่
คงต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ
พวกเราข้ามทุ่งกว้างพลางสนทนาเรื่อยเปื่อย ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นพร้อมกับแผ่นดินที่เริ่มร้อน
เสียงย่ำลงบนดินแห้งดังขึ้นจากข้อเท้า สัมผัสได้ถึงหญ้าสีเขียวที่ปัดผ่านน่อง
ขณะเดินข้ามทุ่งกว้าง ลิลี่เอาแต่จ้องกุญแจทองเหลืองที่ซอจีอามอบให้
อดีตของลิลี่ไม่สู้ดีนัก ได้ยินว่าอาณาจักรถูกทำลายและต้องเร่ร่อนไปทั่วโลก ต้องตระเวนค้นหาผู้ปกครองเพื่อทำหน้าที่ผู้ทำนาง
ที่รู้มากถึงขนาดนี้เพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ในความเป็นจริง ฉันไม่เคยถามไถ่เธอเลย ไม่ชอบฟังอดีตคนอื่นสักเท่าไร
“แม่ของเธอทิ้งการบ้านไว้ให้น่ะ”
ลิลี่พยักหน้าและเปิดปาก
“…มีอะไรอยู่ในห้องใต้ดินของตระกูลกันแน่”
“ถ้าไปถึงก็คงรู้เอง”
ลิลี่หันหน้ามาทางฉัน สีหน้าที่ปรกติมักเฉยเมย เผยอารมณ์หลากหลายเมื่อเวลาผ่านไป
“เจ้าจะไปด้วยกันไหม”
“ถ้ามีโอกาสก็ต้องไปแน่ ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะ? ฉันไม่ได้สูญเสียอะไรสักหน่อย”
“แต่เจ้าต้องตามหาอาณาจักรทองคำ…”
ลิลี่ชะงักพลางครุ่นคิด
“ใช่แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเลย”
เมื่อมองไปข้างหน้าอีกครั้ง ฉันเห็นป่าเบอร์มิวด้าค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้
หลังจากสิ้นสุดทุ่งกว้างก็เป็นเขตป่า ถัดจากป่าก็เป็นเทือกเขา
หมอกที่พัดจากภูเขาผสมกับอากาศเย็นในช่วงเช้ามืด ช่วยเพิ่มน้ำหนักของทิวทัศน์ตรงหน้า
ป่าเบอร์มิวด้ามอบบรรยากาศที่ลึกลับและมั่นคงกว่าแต่ก่อนมาก
“อากาศดีจัง”
“ขอให้ฝนไม่ตก”
ลิลี่แหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางภาวนา
คำว่า ‘สำรวจ’ ฟังดูยิ่งใหญ่ขึ้นมากในสายตาเธอ
อย่างไรก็ดี การสำรวจคือการเล่นสนุกที่มาพร้อมความอดทน
ถ้าจะถามว่าหมายถึงอะไร
“พวกเราต้องเดินอีกไกลแค่ไหน”
“ก็ประมาณ… ยี่สิบวันล่ะมั้ง”
“…”
“ยี่สิบวันคือเวลาในการไปถึงป่า ถ้าคำนึงว่าการข้ามหุบเขาไม่ใช่เรื่องง่าย และคำนวณขากลับด้วย ทั้งหมดก็ราวๆ สองเดือน”
คล้ายกับลิลี่คิดตรงกัน ฉันได้ยินเสียงเธอถอนหายใจแผ่วเบา
เกือบทั้งหมดของการสำรวจคือการเดิน
ถ้าไม่สนุกกับสิ่งนี้ ใครหลายคนเลือกที่จะละทิ้งความโรแมนซ์และหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน
แต่การหาความสุขจากการเดินก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
เพราะแค่ป่าเบอร์มิวด้าแห่งเดิม แวะมาเยี่ยมแต่ละครั้งยังไม่เหมือนเดิม
“โฮ่…”
ฉันไม่ทันสังเกตจากระยะไกล เพราะมองเป็นเพียงป่าทึบสีเขียวชอุ่มท่ามกลางทุ่งกว้างเหมือนทุกที
แต่ยิ่งเข้าใกล้ ทิวทัศน์ก็ยิ่งหลากหลาย โดยเฉพาะฝูงนกสีฟ้าตัวเล็กๆ ที่เกาะบนแต่ละกิ่งของต้นไม้
“นกอพยพ?”
ลิลี่กล่าวเชิงถาม
ต่างโลกก็มีฤดูกาลเช่นกัน แน่นอนว่าแตกต่างจากโลก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีนกอพยพ
แต่นี่ไม่ใช่นกอพยพ
“เป็นการแลกเปลี่ยนน่ะ”
“…แลกเปลี่ยน?”
“ป่าใช้นกเหล่านี้แลกเปลี่ยนกับป่าอื่น ไม่ใช่แค่จุดพักบิน แต่ทุกป่าจะให้ร่มเงาและอาหารกับนก”
ความประหลาดใจปรากฏบนสายตาของลิลี่ที่กำลังจ้องนก
นักสีฟ้าตัวเล็กๆ เหล่านี้คอยสะบัดผงแร่และโลหะบนขนที่ติดมาจากป่าแห่งอื่น พวกมันมีโครงสร้างขนที่คล้ายใช้ทำสิ่งนี้โดยเฉพาะ
ไม่ผิดนักถ้าจะมองเป็นผึ้งที่ช่วยผสมเกสรตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้ดอกไม้ขยายพันธุ์
ป่าจะเพิ่มความหลากหลายให้กับตัวเองด้วยการใช้วัสดุต่างๆ เป็นเมล็ดพันธุ์
ในบางครั้ง นกสีฟ้าจะขับถ่ายสารอาหารจากแหล่งอื่น มูลนกจะซึมลงไปในดินและกลายเป็นพลังงานให้ป่า
แม้จะเป็นป่าสันโดษใจกลางดินแดนอันรกร้าง แต่พวกเขายังช่วยเติมเต็มจุดอ่อนของกันและกันผ่านการแลกเปลี่ยนกับป่าอื่น
“เบอร์มิวด้าโตขึ้นมาก”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้
หลังจากเอาชนะวิกฤติที่ถูกปรสิตกัดกิน เด็กคนนี้คงเติบโตอย่างก้าวกระโดด
กลายเป็นป่าที่ค่อนข้างน่าอยู่ อาจเรียกว่าป่าเด็กไม่ได้แล้ว
สำหรับปัจจุบัน ฉันไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อผ่านป่า
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ทักทายก่อนเดินเข้าไป
ต้นไม้เอนตัวหลบ หญ้าแหวกออกเพื่อสร้างเส้นทาง
สิ่งที่ป่าเบอร์มิวด้าทำให้ฉัน นับว่าแปลกประหลาดอย่างมากในสายตาลิลี่
“แบ๊ะ—”
แกะหนุ่มขนแดงปรากฏขึ้นตรงหน้า
ตามแผนเดิม ป่าเบอร์มิวด้าเป็นแค่ทางผ่านไปยังเทือกเขา
แต่ฉันตัดสินใจลองทำสิ่งใหม่ๆ
“รบกวนอะไรอย่างได้ไหม”
“แบ๊ะ—”
“ถัดไปเป็นเทือกเขาใช่ไหม พวกเรากำลังจะไปทางนั้น”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เถาวัลย์งอกขึ้นจากพื้นและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
คล้ายกับภาษากายที่ใช้ถามว่า ‘ทางนี้ใช่ไหม’
ฉันพยักหน้ารับ
“เราจะผ่านหุบเขานั้น แผนที่บอกว่าในหุบเขามีป่าเล็กๆ หนึ่งแห่ง”
“แบ๊ะ—”
“ช่วยคุยกับป่าให้หน่อยได้ไหม ว่ามีหนึ่งมนุษย์หนึ่งแวมไพร์กำลังจะไปเยือน และพวกเราจะไม่ทำอะไร แค่ต้องการผ่านทาง”
ในเวลาเดียวกัน นกสีฟ้าตัวหนึ่งบินมาเกาะบนเขาของแกะหนุ่มสีแดง
นกลืมตาขึ้น ผงกศีรษะสองสามหน จากนั้นก็จิกขนสีแดงของแกะและบินไป
เป็นวิธีที่ป่าใช้สื่อสารระหว่างกัน
จากด้านหลัง ลิลี่มองฉันคุยกับป่า
“มนุษย์สนทนากับป่า… น่าเหลือเชื่อทุกครั้งที่ได้เห็น”
นั่นสินะ
ฉันเองก็คิดเหมือนกัน
แต่กว่าจะทำแบบนี้ได้ ต้องสู้กับป่าไม่รู้ตั้งกี่หน
“บรรพบุรุษของเจ้ามีเชื้อสายเอลฟ์บ้างไหม”
“คงไม่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สมเหตุสมผล… เป็นไปไม่ได้เลย”
ฉันไม่รู้ว่าลิลี่กำลังพูดอะไร และไม่รู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้หมายถึงสิ่งใดสำหรับชาวต่างโลก
แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจ แค่ทำได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ
“ไปกันเถอะ การเดินทางหลังจากนี้จะราบรื่นไปจนถึงกำแพง”
* * *
หลายวันถัดมา คังซอนฮูเดินเท้าทางอย่างต่อเนื่อง แต่แน่นอนว่าต้องมีการหยุดพักผ่อน
ชายหนุ่มไม่ได้ใจร้อน เมื่อเข้าสู่หุบเขา คังซอนฮูก่อกองไฟกลางวันแสกๆ ทันทีที่เห็นวิวรูปตัว V
“ถ้าได้เห็นพระอาทิตย์ตกจากตรงนี้คงวิเศษน่าดู”
นั่นคือเหตุผลเพียงข้อเดียวที่หยุดพัก
คังซอนฮูเป็นคนแบบนี้
ทุกคนที่ถือกำเนิดพร้อมโฉมผู้ปกครองจะปรารถนาบัลลังก์อย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ความปรารถนาจะถูกกดไว้ในจิตใต้สำนึก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
อย่างน้อย นั่นก็เป็นสิ่งที่ลิลี่เข้าใจมาตลอด
แต่ดูเหมือนว่า คังซอนฮูจะไม่สนใจบัลลังก์จากก้นบึ้ง
ไม่ใช่เพราะอยากเป็นราชา แต่แรงผลักดันในการเดินทาง คือแค่ต้องการเห็นบัลลังก์ทองคำด้วยตาตัวเอง
ทั้งสองเดินเข้าไปในหุบเขา
หุบเขาที่ถูกยึดครองโดยป่านิสัยไม่ดี
ในทุกแผนการจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นสักสองสามเรื่องเสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ป่าในหุบเขายังดูเด็กมาก
คังซอนฮูกังวลทันทีที่เห็น ไม่ใช่ทุกป่าที่คุยง่ายเหมือนกับเบอร์มิวด้า และป่าที่อ่อนไหวมากๆ จะโจมตีทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่เอลฟ์
‘คงต้องลองเสี่ยงดู’
ในท้ายที่สุด ทั้งสองตัดสินใจเดินฝ่าเข้าไป จนกระทั่งผ่านป่าไปได้อย่างค่อนข้างราบรื่น
จริงอยู่ ลิลี่เชื่อว่าคังซอนฮูคงมีแผนรับมือ แต่เธอก็ยังกลัวย่างก้าวอันกล้าหาญของอีกฝ่าย
หากคังซอนฮูเป็นอะไรไป หน้าที่ในการเป็นผู้นำทางของเธอก็ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
แต่ตอนนี้ หลังจากเฝ้ามองคังซอนฮูมาสักระยะ ลิลี่ตระหนักถึงบางสิ่ง
“…เจ้าไม่ใช่คนที่จะเอาชีวิตไปทิ้งสินะ”
“หือ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ทุกคนอาจมองว่าคังซอนฮูเป็นพวกบ้าบิ่น แน่นอนว่าลิลี่ก็เช่นกัน
ทว่า คังซอนฮูมีทางออกให้ตัวเองเสมอ แค่ไม่ได้อธิบายให้ใครฟัง และเกือบทั้งหมดจะดำเนินไปตามแผนของเขา
คังซอนฮูไม่ได้ประมาท คนที่ตัดสินเขาต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย
มนุษย์ผู้เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมนักล่า
บางที มนุษย์คนนี้อาจกลายเป็นผู้นำที่สามารถนำพาชะตากรรมของตระกูลของเธอได้จริงๆ
ขณะคิดเช่นนั้น ลิลี่สบายใจขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสองผ่านหุบเขาอย่างราบรื่น มุ่งตรงไปข้างหน้าโดยมี ‘โคลด์ฟอเรสต์*’ คอยถางพุ่มหนามตลอดทาง
(Cold Forest — ไม่แน่ใจว่าผู้แต่งเขียนผิดหรือตั้งใจ แต่หลังๆ เขียน Forest ตลอดจนดูเหมือนตั้งใจ)
กลางวันดื่มน้ำที่อันแน่นไปด้วยพลังธรรมชาติจากภูเขา ตกกลางคืนก่อกองไฟนั่งชมดาวตกพลางไว้อาลัยให้กับดารากรที่ร่วงหล่น
ผ่านไปอีกสองสามวัน
“…ถึงแล้ว”
“ใหญ่ขนาดนี้เชียว”
จากระยะไกล ทั้งสองจ้องมองกำแพงยักษ์ซึ่งเกิดจากพลังเวทที่ปะทุจากพื้นดิน
กำแพงมหึมาที่พุ่งสูงราวกับจะตัดท้องฟ้า แค่ได้มองก็มอบความรู้สึกถูกข่มขวัญ
แม้จะยืนอยู่ไกลมาก ลิลี่อดไม่ได้ที่จะวิงเวียนศีรษะจนต้องปิดจมูก
ผิวกำแพงส่องแสงสีเขียวสลัว เหมือนกับแสงจาก ‘ปีศาจฝัน’
ดินแดนที่อุดมไปด้วยพลังเวทหลอนประสาท ภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยให้พลังเวทที่ควบแน่นพวยพุ่งออกมา
ตัวการที่คอยแบ่งผืนทวีปออกเป็นส่วนต่างๆ
‘กำแพง’ อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
“อึก…”
ลิลี่ซวนเซเพราะมิอาจทนต่ออาการวิงเวียน ถ้าไม่ได้คังซอนฮูช่วยประคองไหล่คงล้มไปแล้ว
ไกลขนาดนี้ยังเป็นเอามากขนาดนี้ แล้วจะเข้าไปใกล้ๆ เพื่อผ่านได้จริงหรือ
คังซอนฮูควักกล่องโลหะสี่เหลี่ยมออกจากกระเป๋าเสื้อด้านในและเปิดฝา
ชายหนุ่มหยิบบุหรี่ออกมาสองมวนและยื่นให้ลิลี่หนึ่งมวน
ลิลี่ถือไว้สักพักก่อนจะสอดเข้าไปในปากตามคังซอนฮู
“โมห์สmohs”
ลูกไฟค่อยๆ สว่างขึ้นจากปลายบุหรี่ทั้งคู่
ลิลี่มองคังซอนฮูและสูดลมหายใจยาวตาม
ผลก็คือ
“แค่ก… แค่ก… คลั่ก…”
คังซอนฮูระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
“อดทนหน่อยนะ อย่างน้อยก็ต้องสูดควันเข้าไป”
ลิลี่พยักหน้าพร้อมกับฝืนใจสูดควันบุหรี่
ในช่วงแรก เธอแทบทนความเผ็ดร้อนของมันไม่ไหว แต่หลังจากสูดเข้าไปอีกสองสามหน จิตใจเริ่มปลอดโปร่ง
อาการวิงเวียนที่เกิดจากการมองกำแพงเลือนหายไป ไม่สิ จิตใจปลอดโปร่งยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทั้งหมดเป็นผลของบุหรี่แปรธาตุมวนนี้
ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้กำแพง
ลิลี่จ้องปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าเหลือเชื่อด้วยสมาธิจดจ่อ
กระแสการไหลเวียนของพลังเวทรุนแรงจนเห็นชัดด้วยตาเปล่า มอบความกลัวและความเชื่อที่ว่า หากถูกดูดเข้าไปก็จะตายโดยหมดสิทธิ์ต่อต้าน
เสียงคล้ายคลื่นทะเลดังอึกทึกจากทุกสารทิศ
แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะการปะทุของพลังเวท แต่เป็นการสั่นไหวเพราะเสียงดังกล่าว
“…ข้ากลัว”
นั่นคือความรู้สึกเดียวที่ลิลี่มี
ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่พิเศษอย่างไร สามัญชนก็เป็นได้เพียงเทียนไขดวงน้อยต่อหน้าธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ แถมยังเป็นธรรมชาติที่เทพสรรค์สร้าง
“…ยังคงชวนคลื่นไส้ทุกครั้งที่เห็น”
คังซอนฮูเปรียบดังเทียนไขที่เหิมเกริมต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่
“น่าจะอยู่แถวนี้นะ”
คังซอนฮูเดินเข้าไปประชิดกำแพงอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับไม่ยี่หระต่อกระแสพลังเวทอันเกรี้ยวกราด
“เจอแล้ว”
สิ่งที่คังซอนฮูพบคือกรวดหนึ่งก้อน
กรวดที่ใสกว่ากระจก ระยิบระยับยิ่งกว่าทะเล
เป็นกรวดที่เกิดจากการควบแน่นของพลังเวทในละแวกนี้
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
“กำแพงที่นี่มีคุณสมบัติหลอนประสาท จึงอันตรายน้อยกว่ากำแพงแห่งอื่น เอลฟ์ที่ฉันคุยด้วยเมื่อวานบอกว่าเธอเคยผ่านกำแพงนี้”
“แต่ถ้าผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว…”
คังซอนฮูพยักหน้า
“ฉันก็จะตาย หรืออาจเกิดอาการช็อก หรืออาจจะสูญเสียความทรงจำ… ได้ยินว่าเอลฟ์ตนนั้นสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน”
เห็นได้ชัดว่าบุหรี่ป้องกันอาการประสาทหลอนได้ไม่หมด
ถ้าอย่างนั้น ชายคนนี้คิดจะทำอะไร?
ทันทีที่เธอตั้งคำถาม คังซอนฮูเริ่มวาดภาพลงบนพื้นด้วยก้อนกรวด
เดาได้ไม่ยากว่านั่นคืออักษรรูน ปัจจุบันไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นแล้ว
—นั่นคือสิ่งที่เธอคิด
แต่เมื่อเห็นว่าวงแหวนเวทที่คังซอนฮูวาด มีขนาดใหญ่กว่าและซับซ้อนกว่าประโยครูนปรกติเพียงใด ลิลี่อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
น้ำลายที่ผสมกับกลิ่นบุหรี่สร้างรสขมๆ ติดอยู่ในลำคอ
อักษรรูนที่ถูกวาดจากก้อนกรวดค่อยๆ ส่องแสงสีเขียวสลัว
อักษรรูนที่มีพลังในตัวเอง ตอนนี้ถูกเสริมอำนาจด้วยพลังเวท
ลิลี่อดไม่ได้ที่จะทึ่ง
ภาษารูนคือการถ่ายทอดคำสั่งและเจตจำนงไปยังกฎของธรรมชาติ
ส่วนพลังเวทคือผลพลอยได้จากพลังงานที่ธรรมชาติปล่อยออกมา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังเวทและภาษารูนไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
แต่ในวินาทีนี้ คังซอนฮูกำลังสร้างความกลมกลืนระหว่างทั้งสอง
วงแหวนเวทถูกวาดด้วยโครงสร้างที่เธอไม่เคยเห็น เบี่ยงเบนไปจากความทรงจำของเธอมาก จนไม่มั่นใจว่านี่คือภาษารูนที่ถูกต้องจริงหรือ
แต่ภาษารูนมีกฎและหลักการที่ซับซ้อนและลึกซึ้งจนลิลี่ซึ่งยังเด็ก ยากที่จะทำความเข้าใจ
เธอไม่เคยหลงลืมข้อเท็จจริงนี้
จึงทำเพียงเฝ้ามอง
จนกระทั่งคังซอนฮูวางฝ่ามือลงบนกึ่งกลางวงแหวนเวทและหลับตา
คาห์สkaahz
คำพื้นฐานที่ใช้เริ่มต้นการทำงานของรูน
แน่นอน ลิลี่คาดเดาได้ไม่ยากว่าคำนี้จะถูกเปล่งจากปากคังซอนฮู
ทว่า
“—”
เธอไม่เข้าใจคำพูดที่อีกฝ่ายเปล่งหลังจากนั้นเลย
ไม่แม้แต่จะนำไปเทียบกับการออกเสียงที่เคยรู้จัก
เฉกเช่นที่หลายภาษามีการแบ่งชนชั้นระหว่างภาษาขุนนางและสามัญชน ภาษารูนก็เช่นกัน
นั่นคือสิ่งที่คังซอนฮูกำลังทำ
สามัญชนไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้ฟังคำพูดนั้น
ลิลี่ตระหนักได้ทันที
“…เอล ลูน่า”
ภาษาราชการ ภาษาแห่งราชา
กฎแห่งจักรวาลซึ่งเปรียบดังประกาศิตของราชา ผู้ฟังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้มศีรษะ
กำแพงตรงหน้าก็เช่นกัน
ณ ใจกลางกำแพงที่ส่องแสงสีเขียวสลัว แสงสีฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น
จากกึ่งกลางแสงสีฟ้า กำแพงถูกแหวกออกซ้ายขวา
กว้างพอที่จะให้คังซอนฮูกับลิลี่เดินผ่าน
หรือกล่าวได้ว่า ประตูถูกสร้างขึ้นบนกำแพง
“…นี่เจ้า”
“หือ?”
คังซอนฮูลุกขึ้นยืนและหันกลับมามอง
“เจ้ามีสายเลือด… ของราชา?”
“หา? ไม่มีทาง”
“ไม่เช่นนั้นเจ้าจะพูดภาษาเมื่อครู่ได้ยังไง… ข้าคงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้”
“นั่นก็ภาษารูนเหมือนกันไม่ใช่หรือ ทำไมทำเหมือนเป็นเรื่องแปลกใหม่”
คังซอนฮูมิได้เข้าใจน้ำหนักของสิ่งที่ตัวเองพูด
ดูไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel