EP 8(Stardew Valley) ยิ่งอยู่นานยิ่งหน้ากลัว!
Game Leveling Reality Invincible
EP 8(Stardew Valley) ยิ่งอยู่นานยิ่งหน้ากลัว!
ผู้แปล วังวน
ขั้นแรกจะต้องทำความสะอาดฟาร์มที่ร้างมานานก่อน
ณ จุดนั้น มีเป้แขวนอยู่บนผนัง มันประกอบด้วย 12 ช่องไว้สำหรับเก็บของเหมือนเกมทั้วไป. เมื่อเปิดออก จะเห็นเคียว ขวาน เสียม บัวรดน้ำ จอบ และเครื่องมือต่างๆ อยู่ข้างใน นี่มันบ้าไปแล้ว เคียวหนักยาวสามฟุต และเมื่อมันถูกยัดเข้าไปในกระเป๋าเป้ มันกินพื้นที่เพียงตารางเดียวนี้มันจะบ้าไปแล้ว ถ้าเป็นโลกหลักล่ะก่อนี้คงจะเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงจากนอกโลกแล้ว จริงไหม?
หลังจากถอนหายใจหน่านเซียวหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังและออกไปทำงาน
ถ้าอย่างงั้นฉันจะเริ่มจาการตัดหญ้าก่อนล่ะกัน ถ้าไม่กำจัดวัชพืชบนพื้นไปให้หมด ฉันเองจะไม่สามารถทำนาได้อย่างแน่นอน
เคียวที่เขามีนั้นมันทรงพลังมาก มันสามารถเคลียร์หญ้ารกบริเวณฟาร์มของเขาได้อย่างรวดเร็วแบบไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังสามารถเอาจอบทุบหินได้อีกด้วย นั้นรวมถึงการเอาเสียมขุดดินได้อย่ารวดเร็ว
อันที่จริงไม่จำเป็นจะต้องเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดก็ได้ เพราะเมล็ดพันธ์ที่เขามีนั้นยังไม่มากมายขนาดนั้น ดังนั้นหนานเซียวจึงตัดสิ้นใจเคลียร์ที่พื้นที่กินบริเวณที่ไม่กว้างมากก่อนและเริ่มหว่านเมล็ดพาร์สนิป
หลังจากเคลียร์พื้นที่ไปได้สักพัก หนานเซียวดูเหมือนจะหมดแรงแล้ว ก่อนที่บังเอิญมองไปเห็นป้าย "จดหมายขาเข้า" เหนือตู้ไปรษณีย์เด้งไปมา
มีคนเขียนจดหมายถึงฉันด้วยอย่างงั้นหรอ
ดูเหมือนเจ้าของร้านขายปลาในเซาท์บีช เขายินดีที่จะมอบคันเบ็ดอันเก่าเป็นของขวัญให้กับหนาเซียว
เยี่ยมมากฉันได้คันเบ็ดมาแล้ว ต่อไปนี้แผนการพัฒนาทักษะการตกปลาก็สามารถเริ่มต้นได้แล้ว
หลังจากรดน้ำไร่พาร์สนิปแล้ว หนานเซียวก็รีบไปรับเบ็ดตกปลาในทันที เขาใช้พลังงานที่เหลืออยู่เริ่มทำการตกปลาในทันที
ดูเหมือนวันนี้ระบบเกมค่อนข้างจะดูแลเขาเป็นพิเศษ เขาโชคดีเอามากๆ ทั้งๆที่เขาไม่ได้แขวนเหยื่อไว้เลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขาได้คือปลาซาร์ดีน ปลากะพงขาว ปลาเฮอริ่ง ปลาซันฟิช ปลากะพง ปลากะพง... และแม้กระทั่งปลาไหลมอเรย์
ระดับทักษะการตกปลาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในชั่วพริบตา เข้าก็สามารถเข้าสู่ระดับสองได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่ได้รู้จักกับเซเลอร์วิลลี่ ที่เป็นเจ้าของร้านขายปลา เขาเองก็เริ่มจะแนะนำเหยื่อล่อและแท่งไฟเบอร์กลาสสำหรับห้อยเหยื่อ คันเบ็ดนี้ออกแบบมาเพื่อไม่ให้ปลาหลุดออกจากเบ็ดได้ อีกทั้งเขายังแนะนำว่าช่วงฝนตกนั้นจะพบปลาดุกอยู่มากในแม่น้ำมันค่อนข้างจะให้ราคาดีเลยทีเดียวหนึ่งตัวอาจขายได้ในราคาตัวล่ะ 200 เพนนี และช่วยให้ประสบการณ์การตกปลาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
หนานเซียวใช้เวลาเพียงสี่วันสามารถพัฒนาทักษะของเขาไปสูงได้ถึงระดับห้าแล้ว และได้รับฉายา "ชาวประมง" ผลลัพธ์หลังจากได้รับฉายานั้นก็คือปลาที่จับได้มีขนาดใหญ่ขึ้นและเขาก็ได้รับหีบสมบัติเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ถึงแม้อาจจะไม่ได้เป็นหีบสมบัติระดับแรห์ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวังว่าจะเปิดออกและได้รับไอเทมดีๆสักชิ้น... ใช่ไหม?
ไม่กี่วันต่อมา ดูเหมือนนาของเขาจะเริ่มงอกงามขึ้นมาแล้ว และมีกามาเยี่ยมเยียน หุ่นไล่กาจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันกาเหล่านั้นทันที
หลังจากที่เขามีโอกาสไปขุดแร่ต่างๆในเหมือง ก็ถึงคิวของเตาหลอมที่ถูกคราฟขึ้นมาเช่นกัน มันมีไว้ใช้หลอมหลอมแร่ ทองแดง อีกทั้งเขายังได้สร้างเครื่องรดน้ำอัตโนมัติด้วย
ผ่านไปหลายเดือน หนานเซียวทั้ง ปลูกผัก ดูแลพืชสวนต่างๆ ตกปลา และเข้าไปเก็บต้นหอมป่าตามทาง นอกจากจะเก็บผักที่ปลูกทำอาหารเองแล้วเพื่อใช้ในการอัพค่าทางกายภาพบางอย่าง ผักที่เหลือที่เขาปลูกถูกโยนเข้าไปยังกล่องไม้เพื่อนำไปขายต่ออีกทีหนึ่ง
ตอนบ่ายสองโมง นายกเทศมนตรีของเมืองนั้นมาตรงเวลาเพื่อเก็บพืชผักนำไปขายต่อ ก่อนจะทิ้งเงินเอาไว้ให้กับหนานเซียว
ดูเหมือนว่านายกเทศมนตรีนั้นจะทำเช่นนี้เป็นประจำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงวิธีเก็บผักของเขาเลยสักครั้ง
เมื่อพูดถึงสถานที่ขายผักแล้วอันที่จริงชาวเมืองเพลิแกนทั้งหมดไม่น่าจะกินผักจำนวนขนาดนี้จนหมดแน่นอน
หนานเซียวแอบถามชาวสวนผักคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่นายกเทศมนตรีให้เงินพวกเขา ทุกอย่างมันก็จบ ไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่านายกเทศมนตรีจะนำผักเหล่านี้ไปขายให้ใคร และมันก็ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตพวกเขาด้วย?
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ และดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเมืองๆนี้เลย
เมืองเพลิแกนนั้นดูเงียบสงบ ชาวเมืองเองก็ดูสนิทสนมกันและเป็นกันเองมาก เมื่อเดินไปรอบ ๆ เมือง มักจะเห็นพวกเขานั่งบนม้านั่งและพูดคุยกัน เด็กๆ ต่างวิ่งเล่นซุกซน ถนนลาดยางมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พุ่มไม้ริมถนนได้รับการตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ดอกไม้สีแดง สีเหลือง และสีเหลืองกำลังโบกสะบัดตามสายลม และจังหวะชีวิตที่นี่ดูเชื่องช้าแต่ก็ดูเรียบง่าย เหมือนน้ำพุที่ใสสะอาด
เมืองที่เรียบง่ายเช่นนี้ซ่อนสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างเพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งทำให้ตัวของหนานเซียวนั้นรู้สึกไม่ดี
ในเมืองเล็กๆ ที่มีชาวยุโรปผิวขาวและชาวอเมริกันอาศัยอยู่ ไม่มีโบสถ์ในเมืองนี้ นายกเทศมนตรีลูอิสเคยบอกว่าไม่มีชาวเมืองคนใดที่เชื่อในพระเจ้า แล้วพวกเขาเชื่อในอะไรกัน? ไม่มีใครทราบเรื่องนี้ได้
อีกทั้งในเมืองมีรูปปั้นแปลกๆ เหมือนแท่นบูชาและเหมือนโทเท็ม รูปร่างประหลาดนั้นและนั้นน่าจะไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
มีสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ในเหมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ แค่สไลม์สีเขียวเองตัวของชาวเมืองทั้วไปก็น่าจะยากที่จะกำจัดมัน
เพราะมันมีทั้งน้ำลายเหนียวและมีกลิ่นเหม็น จนมีแมลงวันมาตอม อีกทั้งยังมีสัตว์ประหลาดที่ดูคล้าย ปูที่ปลอมตัวเป็นหินมีผิวหนังหนาและมันไม่เคยขยับตัวไปไหน
มีบ้านไม้อยู่ใกล้เหมืองที่มีสัญลักษณ์ของกิลด์นักผจญภัย หัวหน้ากิลด์เองชื่อหม่าหลง เขาเป็นผู้ให้ภารกิขเพื่อฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นในเหมือง และเป็นคนรับซื้อชิ้นส่วนของสัตว์ประหลาดต่างๆ: ทั้ง น้ำเมือกของสไลม์ ปีกของแมลงวันยักษ์ กระดองปู ร่วมถึงเนื้อปูด้วย
แล้วเขาจะซื้อของพวกนี้ไปทำไม? ฉันเองก็ยังคิดไม่ออก
และมีอีกอย่างที่แปลกมาก รถบัสคันที่หนานเซียวนั้งมาจาก สตาร์ดิวส์วอเล่ห์ มันเสียมานานมากแล้วและจอดที่ป้ายรถเมล์โดยไม่มีใครคิดจะซ่อมมันด้วยซ้ำ
อีกทั้งคนขับเองไม่รู้ไปไหน ลุงที่ขับรถเมล์นั้นฉันไม่เห็นเขาเลยตั้งแต่ลงจากรถ
หน่านเสี่ยวเคยเดินกลับไปตามถนนที่เขามา และพบอุโมงค์ระหว่างทาง เขาเดินเข้าไปในอุโมงค์เพียงเพื่อจะพบว่าถนนถูกปิดกั้นและปิดกั้นด้วยป้ายก่อสร้างเป็นแนวยาว ก้าวต่อไปคือสถานที่ก่อสร้าง แต่ไม่มีแม้แต่คนงานที่จะทำงาน กำแพงกั้นขวางทางชั่วคราว และประตูก็มีตัวล็อกขนาดใหญ่ ทำให้ไม่สามารถผ่านได้
ถนนถูกตัดขาด ดูเหมือนเมืองนี้จะเป็นเมืองที่เอกเทศอย่างงั้นหรอ?
เมื่อรู้ว่าเขาติดอยู่ใน สตาร์ดิวส์วอเล่ห์ หน่านเสี่ยวก็นึกถึงหนังสยองขวัญหลายเรื่องในทันที เช่น แบทเทิลรอเยิล, โกลต์ชิพอินเดอะไนส์ซี เป็นต้น หนังสยองขวัญทั้งหมดเหล่านี้เริ่มต้นเหมือนกัน ผู้คนจะเข้าไปติดกับดักในเมืองและค่อยๆถยอยถูกฆ่าที่ละคน
ไม่จริงใช่ไหม ฉันไม่ได้ถูกขังไว้จริงๆใชไหม?
แสงแห่งความหวังสุดท้ายอยู่ทางเหนือ ตอนที่ฉันไปที่เหมือง ฉันได้ยินเสียงรถไฟดังเป็นระยะๆ ซึ่งบ่งบอกว่ามีทางรถไฟ
หนานเซียวเคยพยายามค้นหาว่าทางรถไฟว่ามันอยู่ที่ไหน และพยายามหาคำตอบซึ่งคำตอบที่เขาได้รับก็ตรงกับสิ่งที่เขาสันนิฐานไว้
กัสเจ้าของร้านสตาร์ฟรุตบาร์พูดกับเขาอย่างจริงจังว่า "ทางรถไฟเหรอ มันอยู่ทางเหนือ"
อย่างไรก็ตาม ทางที่ใกล้ที่สุดไปทางเหนือคือไปที่เหมือง และถนนอีกสายหนึ่งถูกหินถล่มขวางถนน
“เมืองนี้ถูกทิ้งแล้วจริงๆใช่ไหม? ทำไมทุกคนถึงดูไม่รีบร้อนเลย?”
“ทำไมต้องรีบร้อนล่ะ” กัสถามอย่างแปลกใจ “มีรายงานไปยังรัฐบาลเมืองแล้ว และมีแผนจะปลดบล็อคอีกสักระยะ ยังไงก็ตาม ถ้าไม่มีเครื่องจักรก่อสร้างก็ทำอะไรไม่ได้ กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ , จริงไหใ?”
"ในกรณีที่ขาดแคลนเสบียงในเมือง..."
“ขาดแคลนเสบียง?” กัสหัวเราะ “ไร่ของมาร์นี่นั้นมีนมสด ร้านขายของชำของปิแอร์ขายทุกอย่าง และเมืองเพลิแกนอยู่ทางใต้ของทะเล และมีปลาสดใหม่ทุกวัน เราจะขาดเสบียงได้อย่างไร แล้วเรื่องของการคลาดเสบียงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ทุกคนที่นี่ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปลูกพืชผัก และพวกสามารถทานผลไม้ ผัก และธัญพืชที่เก็บเกี่ยวจากไร่ของตนเองได้ทั้งหมด”
ผู้เชียวชาญกันทั้งเมืองอย่างงั้นหรอ มันดูแปลกจริงๆ อีกทั้งดินของที่นี้มันไม่มีวันแล้งเลยอย่างงั้นหรอ
ดูเหมือนพื้นดินในเมืองเพลิแกน อุดมสมบูรณ์อย่างน่าขนลุก เพียงโรยเมล็ดพาร์สนิปหนึ่งกำมือแล้วรดน้ำให้เรียบร้อย เชื่อไหมว่ามันจะเติบโตเต็มที่ในสี่วัน?
เอมิลี่สาวเสิร์ฟก็มาพูดด้วยน้ำเสียงชวนสังสัยว่า “ห้องใต้ดินของลุงกัสเต็มไปด้วยหมูหมัก แป้ง และถังเบียร์ไม้โอ๊คที่กินบ่ามาหลายปีแล้ว”
วิลลี่ เจ้าของร้านขายปลานั่งก็ดื่มข้างเคาน์เตอร์ อุทานออกมาว่า: “และยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตของปีแอร์ ซึ่งขายของทุกอย่างต่อให้ขายเป็นสิบๆปีเขาก็ไม่สามารถขายของพวกนั้นหมดอยู่ดี”
เมื่อพูดถึงงซูเปอร์มาร์เก็ตปิแอร์ บรรยากาศก็เย็นลงทันใด ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่ทันสมัยทางด้านตะวันออกของเมืองดูเหมือนจะไม่เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวเมืองสักเท่าไรนะ