เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 242
ตอนที่ 242
‘หากว่ามีลูกพี่ลูกน้องเช่นนี้ ในราชวงศ์อมตะข้าคงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก’
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าพาพวกมันเข้ามาเพื่อช่วยฝึกฝนให้เก่งกล้าขึ้น”
ยู่เหวินตู่รีบขานรับทันที อย่างไรเสีย ชีวิตของมันก็อยู่ในกำมือของผู้อื่น หากสองคนนี้ตกตาย มันย่อมต้องตกตายลงด้วยอย่างแน่นอน
“เจ้าพาเด็กสองคนเข้ามาเพื่อฝึกฝน? นี่ช่างน่าขันนัก”
“ที่แห่งนี้คือที่ใด? หากว่าไม่ระมัดระวังให้ดี ชีวิตย่อมจบลง แต่เจ้าเด็กน้อยทั้งคู่ยังมิหย่านมเสียด้วยซ้ำ เจ้าพาพวกมันเข้ามาดูว่านรกเป็นเช่นไรหรือ?”
รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่กำลังขัดกระบี่ของตนเองอยู่เอ่ยขึ้นอย่างถากถาง ทำให้ผู้คนโดยรอบทั้งหมดระเบิดเสียงหัวเราะทันที
ยู่เหวินตู่มิได้โกรธเคือง อันที่จริงแล้ว มันกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย ในใจเองก็กำลังสุขสม
‘หึๆ อย่าได้ร่ำไห้ภายหลังก็แล้วกัน เมื่อเจ้าเด็กบัดซบสองคนนี้โจมตี พวกเจ้าจะต้องคร่ำครวญ’
ยู่เหวินคังมิได้มีปฏิกิริยาใด การสืบสายเลือดในราชวงศ์อมตะสับสนยิ่งนัก หากมันต้องมาซักไซ้ไล่เลียงเรื่องเช่นนี้ มันก็มิทราบเช่นกันว่าต้องตรวจสอบขึ้นไปอีกกี่รุ่นสำหรับเรื่องเช่นนี้
“สนใจเรื่องของตนเองเถอะ”
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้ห้วงอารมณ์ของยู่เหวินคังเปลี่ยนแปรได้ หลังจากเอ่ยเช่นนั้น มันก็จากไป
หลินซวนพาเสี่ยวหวงไปหาที่นั่งพักผ่อน ก่อนจะสอดส่ายสายตาไปรอบด้าน
ราชวงศ์อมตะสมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกองกำลังขนาดยักษ์ของอาณาเขตเหนือคราม พวกมันส่งอัจฉริยะจำนวนมากกว่าสามสิบคนเข้ามาในแดนลึกลับแห่งนี้ หากนับรวมยู่เหวินอู๋ที่เพิ่งถูกเขาสังหารไป พวกมันมีเหล่าเมล็ดพันธุ์ไร้เทียมทานถึงห้าคนเลยทีเดียว แม้ว่าคนที่เหลือจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ายู่เหวินอู๋ แต่ก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งในล้าน
หากเขาสังหารพวกมันทั้งหมดในแดนลึกลับ ต่อให้เป็นราชวงศ์อมตะก็ยังต้องประสบกับหายนะอย่างแน่นอน
หลินซวนค้นพบว่าด้านหลังของค่ายราชวงศ์เป็นทางเข้าสู่หุบเขาทองคำ และที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยกองกำลังมากมายกำลังรอคอยบางสิ่งอยู่
เมื่อมองไปบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาทองคำ เขาก็พลันเข้าใจได้ทันที
ดูเหมือนว่าจะมีเขตแดนทรงพลังบางอย่างครอบคลุมหุบเขาทองคำอยู่ มีอสูรตัวหนึ่งแตะเข้ากับเขตแดนนั้น และมันก็กลายเป็นเศษธุลีไปในชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างสัมผัสได้ว่าเขตแดนนั้นสามารถอ่อนโทรมลงได้ในทุกเวลา ผู้คนกำลังรอคอยให้ถึงวันที่สองที่เขตแดนอ่อนกำลังลงก่อนจะใช้กำลังเพื่อให้เขตแดนนั้นพังลง
ในสายตาเขา หลินซวนพบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย
“เป็นเขาจริงๆ!” สายตาของหลินซวนค้นพบเป่ยเฉินหลานเข้า ด้วยเหตุผลบางประการ เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายรอบตัวของเป่ยเฉินหลานแลดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
คลื่นเสียงจากการที่ห้วงมิติแตกร้าวดังสะท้อนก้องไปมาในหมู่เมฆ ภายใต้การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนั้น อสูรบางตัวเริ่มหมอบลงกับพื้นและเนื้อตัวสั่นเทา ทันทีที่เขตแดนพังทลายลง ประกายแสงก็ส่องขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เสาแห่งแสงต้นใหญ่จะปรากฏขึ้นและด้านในนั้นมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่อยู่ในระดับหมุนวนทะเลปราณอยู่ ทำให้สายตาของเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งหลายลุกไหม้
อัจฉริยะทั้งหลายเริ่มปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาและใช้ทักษะเคลื่อนไหวของตนเองเพื่อพุ่งเข้าไปยังหุบเขาทองคำ ไม่มีผู้ใดต้องการจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
เมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นกับเหล่าคนที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อน ยู่เหวินคังจึงเอ่ยขึ้น
“ไปกันเถิด”
“พวกเรารั้งรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แดนลึกลับจะปิดตัวลงเมื่อใดก็สุดจะรู้ รีบสำรวจเสีย”
หลังจากนั้น ราชวงศ์อมตะก็อาศัยความที่มีคนจำนวนมากกว่าผู้อื่นในการฉกชิงสมบัติที่อยู่ในหุบเขาทองคำอย่างหน้าไม่อาย
“สิ่งนี้เป็นของราชวงศ์อมตะ คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ถอยออกไป!”
“เจ้าสวะ!”
“วางสมบัติลง!”
ตราบเท่าที่พวกมันพบเจอผู้บ่มเพาะที่มาโดยลำพัง พวกมันจะทำการบีบบังคับในผู้อื่นส่งสมบัติมาทันที หากมีใครต่อต้าน คนผู้นั้นย่อมไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพ
หลินซวนเองก็มิได้หยุดการกระทำนั้น เส้นทางแห่งการบ่มเพาะเดิมทีก็ทรหดและมีเพียงผู้รอดชีวิตเท่านั้นที่จะถือว่าเป็นผู้เหมาะสม ในสายตาของเขา ราชวงศ์อมตะเพียงกำลังรวบรวมสมบัติให้เขาเท่านั้น
หลังจากการเก็บเกี่ยวในคราวนี้ คลังสมบัติที่ว่างเปล่าของตระกูลหลินจะได้รับการเติมเต็ม ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมเพิ่มพูนขึ้น
“นายน้อยคัง พวกเราค้นพบหน้าผาอยู่เบื้องหน้า มีประกายแสงสมบัติสาดส่องอยู่บริเวณหน้าผานั้น ทว่ามีศิลาลอยฟ้าบางส่วนขัดขวางเส้นทางอยู่ พวกเรามิทราบว่ามันอันตรายหรือไม่” ชายคนที่เยาะเย้ยยู่เหวินตู่เอ่ยประโยคนี้กับยู่เหวินคังในระหว่างที่มองไปยังหลินซวนและเสี่ยวหวงเป็นบางครั้ง
“ไปดูกันเถิด!”
พลังชีวิตที่แฝงอยู่ในต้นไม้ด้านข้างของหน้าผานั้นมีมากกว่าต้นไม้อื่นๆ รอบด้านมหาศาล กระทั่งพื้นที่ด้านล่างของหน้าผายังเต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณมากมาย
ทว่า ประชิดหน้าผาแห่งนั้นเป็นหุบเหวลึกไร้ก้นพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นโลหิตเข้มข้น สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนคงตกตายลง ณ ที่แห่งนี้
โอกาสย่อมมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ
ฉากเบื้องหน้าทำให้ผู้คนหันมองกันไปมา รุ่นเยาว์ในชุดสีขาวคนหนึ่งซึ่งรับคำสั่งมาจากยู่เหวินคังเดินออกไปอย่างเชื่องช้า มันเป็นอสูรที่มีร่างมนุษย์ และพลังที่แฝงอยู่ในกายของมันก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว
“พวกเจ้าสามคน เข้าไปสำรวจก่อน” ชายชุดขาวผู้นั้นส่งเสียงที่ดังราวกับฟ้าคำรามออกมา กระทั่งเสื้อผ้าบนตัวมันยังมีบางส่วนฉีกขาด
ยู่เหวินตู่เกรงกลัวเสียจนทรุดลงนั่งกับพื้นดิน
“ข้าไม่ไป ข้าอยากกลับบ้านไปหามารดา” เสี่ยวหวงทำตัวราวกับเป็นดาราเจ้าน้ำตา เขาเกลือกกลิ้งลงกับพื้นพลางโวยวายออกมา
หลินซวนแกล้งไอแห้งๆ ออกมาเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวเราะของตน
ยู่เหวินตู่ถึงกับนิ่งค้าง นี่ใช่อัจฉริยะผู้สังหารอัจฉริยะมานับไม่ถ้วนจริงหรือ?
“เร็วเข้า!” ชายชุดขาวคนนั้นตะคอก
หลินซวนหันไปมองทั้งคู่และทะยานขึ้นไปเหยียบเสาศิลาแท่งหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาเขาเปล่งแสงบางเบา และภายใต้การจ้องมองจากนัยน์ตาหยินหยาง ปริศนาของศิลาทั้งหมดที่ลอยปิดทางเข้าบนหน้าผาอยู่ก็ถูกเผยในคราเดียว
“ก้าวตามรอยเท้าข้า” หลินซวนกระซิบแผ่วเบา
เขาเหยียบลงไปบนศิลาก้อนรกเพื่อยืนให้มั่นคง จากนั้นก็เริ่มทะยานไปยังก้อนที่สอง และก้อนที่ห้าตามลำดับ
“มันอยากตายหรือ?”
“แม้ว่าระยะสิบจั้งจะมิมากมายนัก แต่มันก็สามารถตกลงมาตายได้”
ชายในชุดขาวหรี่ตามองไปยังกึ่งกลางของหน้าผาแห่งนั้น
การทะยานไปตามก้อนหินเหล่านั้นที่คล้ายกับการเดาสุ่มของหลินซวนปราศจากอันตรายโดยสิ้นเชิง
ถัดมาจากดงศิลาลอยได้ เส้นทางก็ถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหมอกขาว มองเห็นเสาหินเพียงไม่กี่ต้นปรากฏอยู่ ทว่าพวกมันบางส่วนเป็นเพียงภาพลวงตา หากมีใครสักคนเหยียบย่างลงบนนั้น พวกมันย่อมตกลงไปสู่หุบเหวเบื้องล่าง
ที่ซึ่งหลินซวนเหยียบลงเป็นจุดพักเท้าที่หนึ่ง ทว่ามันถูกบดบังอยู่ภายใต้หมอกเหล่านั้น
หลังจากเหยียบลงตรงนั้น หลินซวนก็แกล้งทำเป็นหอบหายใจและเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เจ้าทำให้ข้าหวาดกลัว โชคดีเพียงใดที่ข้ามิตกลงไปตาย”
เหล่าอัจฉริยะแห่งราชวงศ์อมตะแค่นเสียงดูถูก
“ข้าก็นึกเสียว่ามันฉลาด ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นมันตื่นตกใจจึงไม่อาจห้ามตัวเองมิให้กระโจนลงไปยังศิลาลอยได้เหล่านั้น”
อย่างไรก็ดี มุมปากของหลินซวนปรากฏรอยยิ้มขึ้น จากนั้น เขาก็แกล้งทำเป็นกระโจนผ่านอุปสรรคเบื้องหน้าไปจนถึงหน้าผาแห่งนั้นอย่างยากลำบาก
“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!” หลินซวนและเสี่ยวหวงทำท่าทางราวกับว่าพวกเขาเพิ่งรอดพ้นหายนะมาได้
ทางด้านยู่เหวินตู่ สีหน้าของมันขาวซีดและทรุดลงหมอบแทบพื้นดิน
“กลับมานี่” ยู่เหวินคังเอ่ยอย่างเย็นชา
สามคนนั้นเดินกลับมาอีกครั้ง การเคลื่อนไหวดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ทว่าไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นในระหว่างเส้นทางที่ก้าวเดินกลับไปประชิดหุบเหวที่พวกเขาเพิ่งข้ามมา
ได้เห็นเช่นนั้น ยู่เหวินคังจึงเอ่ยขึ้น
“เอาบันไดออกมาและไปยังหน้าผาแห่งนั้น”
คนที่อยู่ด้านหลังของมันนำแท่งโลหะที่เปล่งประกายและขว้างออกไปกลางอากาศ เมื่ออัดปราณเข้าไปยังแท่งโลหะนั้น มันก็ยืดยาวออกจนกลายเป็นบันไดรูปแบบหนึ่ง
ยู่เหวินคังเป็นผู้แรกที่เหยียบเท้าลงไป จากนั้นอัจฉริยะที่เหลือคนอื่นๆ จากราชวงศ์อมตะก็ก้าวตาม
เมื่อยู่เหวินตู่กำลังจะเดินขึ้นมาจากบันไดอันนั้น หลินซวนกลับฟาดมันจนสลบลงกับพื้น
เห็นคนผู้อื่นที่เดินใกล้เข้ามา หลินซวนเผยรอยยิ้มพลางดึงบันไดออกจากใต้เท้าพวกมัน