ตอนที่แล้วเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 241
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 243

เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 242


ตอนที่ 242

‘หากว่ามีลูกพี่ลูกน้องเช่นนี้ ในราชวงศ์อมตะข้าคงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก’

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าพาพวกมันเข้ามาเพื่อช่วยฝึกฝนให้เก่งกล้าขึ้น”

ยู่เหวินตู่รีบขานรับทันที อย่างไรเสีย ชีวิตของมันก็อยู่ในกำมือของผู้อื่น หากสองคนนี้ตกตาย มันย่อมต้องตกตายลงด้วยอย่างแน่นอน

“เจ้าพาเด็กสองคนเข้ามาเพื่อฝึกฝน? นี่ช่างน่าขันนัก”

“ที่แห่งนี้คือที่ใด? หากว่าไม่ระมัดระวังให้ดี ชีวิตย่อมจบลง แต่เจ้าเด็กน้อยทั้งคู่ยังมิหย่านมเสียด้วยซ้ำ เจ้าพาพวกมันเข้ามาดูว่านรกเป็นเช่นไรหรือ?”

รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่กำลังขัดกระบี่ของตนเองอยู่เอ่ยขึ้นอย่างถากถาง ทำให้ผู้คนโดยรอบทั้งหมดระเบิดเสียงหัวเราะทันที

ยู่เหวินตู่มิได้โกรธเคือง อันที่จริงแล้ว มันกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย ในใจเองก็กำลังสุขสม

‘หึๆ อย่าได้ร่ำไห้ภายหลังก็แล้วกัน เมื่อเจ้าเด็กบัดซบสองคนนี้โจมตี พวกเจ้าจะต้องคร่ำครวญ’

ยู่เหวินคังมิได้มีปฏิกิริยาใด การสืบสายเลือดในราชวงศ์อมตะสับสนยิ่งนัก หากมันต้องมาซักไซ้ไล่เลียงเรื่องเช่นนี้ มันก็มิทราบเช่นกันว่าต้องตรวจสอบขึ้นไปอีกกี่รุ่นสำหรับเรื่องเช่นนี้

“สนใจเรื่องของตนเองเถอะ”

ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้ห้วงอารมณ์ของยู่เหวินคังเปลี่ยนแปรได้ หลังจากเอ่ยเช่นนั้น มันก็จากไป

หลินซวนพาเสี่ยวหวงไปหาที่นั่งพักผ่อน ก่อนจะสอดส่ายสายตาไปรอบด้าน

ราชวงศ์อมตะสมกับที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกองกำลังขนาดยักษ์ของอาณาเขตเหนือคราม พวกมันส่งอัจฉริยะจำนวนมากกว่าสามสิบคนเข้ามาในแดนลึกลับแห่งนี้ หากนับรวมยู่เหวินอู๋ที่เพิ่งถูกเขาสังหารไป พวกมันมีเหล่าเมล็ดพันธุ์ไร้เทียมทานถึงห้าคนเลยทีเดียว แม้ว่าคนที่เหลือจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ายู่เหวินอู๋ แต่ก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งในล้าน

หากเขาสังหารพวกมันทั้งหมดในแดนลึกลับ ต่อให้เป็นราชวงศ์อมตะก็ยังต้องประสบกับหายนะอย่างแน่นอน

หลินซวนค้นพบว่าด้านหลังของค่ายราชวงศ์เป็นทางเข้าสู่หุบเขาทองคำ และที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยกองกำลังมากมายกำลังรอคอยบางสิ่งอยู่

เมื่อมองไปบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาทองคำ เขาก็พลันเข้าใจได้ทันที

ดูเหมือนว่าจะมีเขตแดนทรงพลังบางอย่างครอบคลุมหุบเขาทองคำอยู่ มีอสูรตัวหนึ่งแตะเข้ากับเขตแดนนั้น และมันก็กลายเป็นเศษธุลีไปในชั่วพริบตา

อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างสัมผัสได้ว่าเขตแดนนั้นสามารถอ่อนโทรมลงได้ในทุกเวลา ผู้คนกำลังรอคอยให้ถึงวันที่สองที่เขตแดนอ่อนกำลังลงก่อนจะใช้กำลังเพื่อให้เขตแดนนั้นพังลง

ในสายตาเขา หลินซวนพบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย

“เป็นเขาจริงๆ!” สายตาของหลินซวนค้นพบเป่ยเฉินหลานเข้า ด้วยเหตุผลบางประการ เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายรอบตัวของเป่ยเฉินหลานแลดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

คลื่นเสียงจากการที่ห้วงมิติแตกร้าวดังสะท้อนก้องไปมาในหมู่เมฆ ภายใต้การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนั้น อสูรบางตัวเริ่มหมอบลงกับพื้นและเนื้อตัวสั่นเทา ทันทีที่เขตแดนพังทลายลง ประกายแสงก็ส่องขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เสาแห่งแสงต้นใหญ่จะปรากฏขึ้นและด้านในนั้นมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่อยู่ในระดับหมุนวนทะเลปราณอยู่ ทำให้สายตาของเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งหลายลุกไหม้

อัจฉริยะทั้งหลายเริ่มปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาและใช้ทักษะเคลื่อนไหวของตนเองเพื่อพุ่งเข้าไปยังหุบเขาทองคำ ไม่มีผู้ใดต้องการจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

เมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นกับเหล่าคนที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อน ยู่เหวินคังจึงเอ่ยขึ้น

“ไปกันเถิด”

“พวกเรารั้งรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แดนลึกลับจะปิดตัวลงเมื่อใดก็สุดจะรู้ รีบสำรวจเสีย”

หลังจากนั้น ราชวงศ์อมตะก็อาศัยความที่มีคนจำนวนมากกว่าผู้อื่นในการฉกชิงสมบัติที่อยู่ในหุบเขาทองคำอย่างหน้าไม่อาย

“สิ่งนี้เป็นของราชวงศ์อมตะ คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ถอยออกไป!”

“เจ้าสวะ!”

“วางสมบัติลง!”

ตราบเท่าที่พวกมันพบเจอผู้บ่มเพาะที่มาโดยลำพัง พวกมันจะทำการบีบบังคับในผู้อื่นส่งสมบัติมาทันที หากมีใครต่อต้าน คนผู้นั้นย่อมไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพ

หลินซวนเองก็มิได้หยุดการกระทำนั้น เส้นทางแห่งการบ่มเพาะเดิมทีก็ทรหดและมีเพียงผู้รอดชีวิตเท่านั้นที่จะถือว่าเป็นผู้เหมาะสม ในสายตาของเขา ราชวงศ์อมตะเพียงกำลังรวบรวมสมบัติให้เขาเท่านั้น

หลังจากการเก็บเกี่ยวในคราวนี้ คลังสมบัติที่ว่างเปล่าของตระกูลหลินจะได้รับการเติมเต็ม ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมเพิ่มพูนขึ้น

“นายน้อยคัง พวกเราค้นพบหน้าผาอยู่เบื้องหน้า มีประกายแสงสมบัติสาดส่องอยู่บริเวณหน้าผานั้น ทว่ามีศิลาลอยฟ้าบางส่วนขัดขวางเส้นทางอยู่ พวกเรามิทราบว่ามันอันตรายหรือไม่” ชายคนที่เยาะเย้ยยู่เหวินตู่เอ่ยประโยคนี้กับยู่เหวินคังในระหว่างที่มองไปยังหลินซวนและเสี่ยวหวงเป็นบางครั้ง

“ไปดูกันเถิด!”

พลังชีวิตที่แฝงอยู่ในต้นไม้ด้านข้างของหน้าผานั้นมีมากกว่าต้นไม้อื่นๆ รอบด้านมหาศาล กระทั่งพื้นที่ด้านล่างของหน้าผายังเต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณมากมาย

ทว่า ประชิดหน้าผาแห่งนั้นเป็นหุบเหวลึกไร้ก้นพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นโลหิตเข้มข้น สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนคงตกตายลง ณ ที่แห่งนี้

โอกาสย่อมมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ

ฉากเบื้องหน้าทำให้ผู้คนหันมองกันไปมา รุ่นเยาว์ในชุดสีขาวคนหนึ่งซึ่งรับคำสั่งมาจากยู่เหวินคังเดินออกไปอย่างเชื่องช้า มันเป็นอสูรที่มีร่างมนุษย์ และพลังที่แฝงอยู่ในกายของมันก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว

“พวกเจ้าสามคน เข้าไปสำรวจก่อน” ชายชุดขาวผู้นั้นส่งเสียงที่ดังราวกับฟ้าคำรามออกมา กระทั่งเสื้อผ้าบนตัวมันยังมีบางส่วนฉีกขาด

ยู่เหวินตู่เกรงกลัวเสียจนทรุดลงนั่งกับพื้นดิน

“ข้าไม่ไป ข้าอยากกลับบ้านไปหามารดา” เสี่ยวหวงทำตัวราวกับเป็นดาราเจ้าน้ำตา เขาเกลือกกลิ้งลงกับพื้นพลางโวยวายออกมา

หลินซวนแกล้งไอแห้งๆ ออกมาเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวเราะของตน

ยู่เหวินตู่ถึงกับนิ่งค้าง นี่ใช่อัจฉริยะผู้สังหารอัจฉริยะมานับไม่ถ้วนจริงหรือ?

“เร็วเข้า!” ชายชุดขาวคนนั้นตะคอก

หลินซวนหันไปมองทั้งคู่และทะยานขึ้นไปเหยียบเสาศิลาแท่งหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาเขาเปล่งแสงบางเบา และภายใต้การจ้องมองจากนัยน์ตาหยินหยาง ปริศนาของศิลาทั้งหมดที่ลอยปิดทางเข้าบนหน้าผาอยู่ก็ถูกเผยในคราเดียว

“ก้าวตามรอยเท้าข้า” หลินซวนกระซิบแผ่วเบา

เขาเหยียบลงไปบนศิลาก้อนรกเพื่อยืนให้มั่นคง จากนั้นก็เริ่มทะยานไปยังก้อนที่สอง และก้อนที่ห้าตามลำดับ

“มันอยากตายหรือ?”

“แม้ว่าระยะสิบจั้งจะมิมากมายนัก แต่มันก็สามารถตกลงมาตายได้”

ชายในชุดขาวหรี่ตามองไปยังกึ่งกลางของหน้าผาแห่งนั้น

การทะยานไปตามก้อนหินเหล่านั้นที่คล้ายกับการเดาสุ่มของหลินซวนปราศจากอันตรายโดยสิ้นเชิง

ถัดมาจากดงศิลาลอยได้ เส้นทางก็ถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหมอกขาว มองเห็นเสาหินเพียงไม่กี่ต้นปรากฏอยู่ ทว่าพวกมันบางส่วนเป็นเพียงภาพลวงตา หากมีใครสักคนเหยียบย่างลงบนนั้น พวกมันย่อมตกลงไปสู่หุบเหวเบื้องล่าง

ที่ซึ่งหลินซวนเหยียบลงเป็นจุดพักเท้าที่หนึ่ง ทว่ามันถูกบดบังอยู่ภายใต้หมอกเหล่านั้น

หลังจากเหยียบลงตรงนั้น หลินซวนก็แกล้งทำเป็นหอบหายใจและเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เจ้าทำให้ข้าหวาดกลัว โชคดีเพียงใดที่ข้ามิตกลงไปตาย”

เหล่าอัจฉริยะแห่งราชวงศ์อมตะแค่นเสียงดูถูก

“ข้าก็นึกเสียว่ามันฉลาด ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นมันตื่นตกใจจึงไม่อาจห้ามตัวเองมิให้กระโจนลงไปยังศิลาลอยได้เหล่านั้น”

อย่างไรก็ดี มุมปากของหลินซวนปรากฏรอยยิ้มขึ้น จากนั้น เขาก็แกล้งทำเป็นกระโจนผ่านอุปสรรคเบื้องหน้าไปจนถึงหน้าผาแห่งนั้นอย่างยากลำบาก

“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!” หลินซวนและเสี่ยวหวงทำท่าทางราวกับว่าพวกเขาเพิ่งรอดพ้นหายนะมาได้

ทางด้านยู่เหวินตู่ สีหน้าของมันขาวซีดและทรุดลงหมอบแทบพื้นดิน

“กลับมานี่” ยู่เหวินคังเอ่ยอย่างเย็นชา

สามคนนั้นเดินกลับมาอีกครั้ง การเคลื่อนไหวดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ทว่าไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นในระหว่างเส้นทางที่ก้าวเดินกลับไปประชิดหุบเหวที่พวกเขาเพิ่งข้ามมา

ได้เห็นเช่นนั้น ยู่เหวินคังจึงเอ่ยขึ้น

“เอาบันไดออกมาและไปยังหน้าผาแห่งนั้น”

คนที่อยู่ด้านหลังของมันนำแท่งโลหะที่เปล่งประกายและขว้างออกไปกลางอากาศ เมื่ออัดปราณเข้าไปยังแท่งโลหะนั้น มันก็ยืดยาวออกจนกลายเป็นบันไดรูปแบบหนึ่ง

ยู่เหวินคังเป็นผู้แรกที่เหยียบเท้าลงไป จากนั้นอัจฉริยะที่เหลือคนอื่นๆ จากราชวงศ์อมตะก็ก้าวตาม

เมื่อยู่เหวินตู่กำลังจะเดินขึ้นมาจากบันไดอันนั้น หลินซวนกลับฟาดมันจนสลบลงกับพื้น

เห็นคนผู้อื่นที่เดินใกล้เข้ามา หลินซวนเผยรอยยิ้มพลางดึงบันไดออกจากใต้เท้าพวกมัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด