เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 239
ตอนที่ 239
“หึ อาศัยแค่ข้าคนเดียวก็เกินพอ”
ร่างของตู่กูเจี้ยนสั่นไหว กลิ่นอายของมันกดลงใส่หลินซวนจากทุกทิศทาง ปราณวิญญาณฟ้าดินถูกมันดูดซับอย่างต่อเนื่อง คันธนูและลูกศรขนาดใหญ่ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างอย่างช้าๆ เบื้องหลังของมัน เครื่องหมายรูปแบบหนึ่งพุ่งออกมา และเงาพร่าเลือนของคันธนูและลูกศรนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“ตาย!”
ตู่กูเจี้ยนร่างโค้งงอ และนิ้วมือของมันเคลื่อนไหว ก่อนจะคำรามออกมา จากนั้นลูกธนูปราณก็ถูกยิงเข้าใส่หลินซวน ราวกับว่ามันคือการลงทัณฑ์จากสวรรค์ ต้องการจะพรากชีวิตเขา
“ข้าขอลองบ้าง!”
หลินซวนกำลังจะโจมตี ทว่าเสี่ยวหวงกลับทะยานออกมาเบื้องหน้าเขา
“จงดูกำปั้นน้อยไร้เทียมทานของข้า!”
หมัดของเสี่ยวหวงเริงระบำ ราวกับว่ามันคือร่างเงาที่มาจากโบราณกาล หมัดนั้นปะทะเข้ากับปราณธนูก่อนจะทำลายมันลง และลูกธนูนั้นก็กลายเป็นปราณวิญญาณที่กระจายออกไปทั่วบริเวณ
ระหว่างที่กระโจนไปในอากาศ เสี่ยวหวงก็อ้าปากออกและสร้างแรงดึงดูดมหาศาล ดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปในปากของตนและร่อนลงพื้นดิน
“เอิ๊ก!” เขาลูบพุงน้อยๆ ของตนเองราวกับต้องการจะบอกว่าอิ่มแล้ว
“มีอีกหรือไม่?” เสี่ยวหวงเปิดตากว้างและมองไปยังตู่กูเจี้ยนราวกับบอกอีกฝ่ายว่าเขาต้องการมากกว่านี้
นี่ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึง
ไม้ตายของมันถูกทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น?
ถึงขั้นกลายเป็นอาหารของผู้อื่นและคนผู้นั้นยังกล้าถามอีกว่ายังมีอีกหรือไม่
นี่นับว่าเป็นการดูแคลนอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็รับหมัดจากข้าไป”
ก่อนที่ตู่กูเจี้ยนจะได้กระทำสิ่งใด มันก็รู้สึกถึงแรงกดดันราวกับว่าภูเขานับพันลูกกำลังกดลงที่ศีรษะ ทำให้มันมิอาจเคลื่อนไหวได้ สีหน้าของมันบัดนี้แสดงออกถึงความรู้สึกขนพองสยองเกล้า
ตั้งแต่มันเริ่มเข้าสู่วิถีการบ่มเพาะ มันกำราบอัจฉริยะมานับไม่ถ้วนด้วยหมัดเดียว มันถึงขั้นท้าทายผู้ที่อาวุโสกว่าข้ามแดนปราณและทำให้พวกเขารู้สึกพ่ายแพ้ เพราะเหตุนี้จึงทำให้มันได้รับความไว้วางใจจากอาวุโสทั้งหลายและถูกกำหนดให้กลายเป็นผู้นำตระกูลตู่กูรุ่นต่อไป
ทว่าบัดนี้ มันกลับถูกสยบด้วยเด็กน้อย มีหรือที่คนอย่างมันจะยอมรับสิ่งนี้ได้?
เสี่ยงหวงยังคงซัดหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ทุกหมัดนั้นกลายเป็นดั่งตราประทับขนาดยักษ์ เมื่อถึงหมัดที่เก้า ปราณหมัดที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าก็รวมตัวกันกลายเป็นดั่งภูเขาที่ปลดปล่อยแรงกดดันจำนวนมหาศาล
เสี่ยวหวงทะยานขึ้นกลางอากาศ ภูเขาปราณอยู่เหนือศีรษะ และใต้เท้าเป็นหมู่เมฆ เขาพุ่งไปยังตู่กูเจี้ยนและทุ่มเขาปราณลูกนั้นเข้าใส่มัน
ตู้ม!
ในวินาทีที่ภูเขาปราณและตู่กูเจี้ยนปะทะกัน เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวก็ปะทุขึ้น แรงกระแทกที่ตามมาจากเหตุการณ์นั้นทำลายผืนป่าโดยรอบ และเหล่าองครักษ์ทั้งหลายต่างถอยหนีกับจ้าละหวั่น
ก้อนเมฆรูปเห็ดปะทุขึ้นจากจุดที่ตู่กูเจี้ยนยืนอยู่ เมื่อฝุ่นควันจางลง ก็ปรากฏร่างที่ยับเยินของมัน
นายน้อยผู้สง่างามบัดนี้กลับกลายเป็นดั่งยาจกที่โลหิตหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลทั่วร่าง
เจ้า… อ่อก!”
ตู่กูเจี้ยนชี้หน้าเสี่ยงหวง ทว่าก่อนที่มันจะพูดจนจบกลับกระอักเลือดออกมา
“นายน้อย!”
เมื่อเหล่าองครักษ์ทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พวกมันต่างรีบเร่งเข้ามาป้อนนายของตนด้วยโอสถรักษา
หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตู่กูเจี้ยนในที่แห่งนี้ พวกมันย่อมต้องตกตายลงตามไปด้วยอย่างแน่นอน
อัจฉริยะตระกูลตู่กูแห่งอาณาเขตเงาสวรรค์ ตู่กูเจี้ยน!
พ่ายแพ้ลงในกระบวนท่าเดียว!
ในเวลาน้อยกว่าครึ่งเค่อ ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแดนลึกลับ
“นี่อัจฉริยะเมล็ดพันธุ์ไร้เทียมทานกลับกลายเป็นไร้ค่าถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”
“บัดนี้ มีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าเมล็ดพันธุ์แรกกำเนิดปรากฏตัวขึ้น โลกในนี้กำลังจะเปลี่ยนไปหรือนี่?”
“ดูสองคนนั้นสิ พวกเขาดูคล้ายกับบุคคลจากในข่าวลือก่อนหน้านี้หรือไม่?”
คนบางส่วนเริ่มระลึกถึงเด็กน้อยที่สังหารบุตรแห่งสรวงสวรรค์ และคู่หูของเด็กน้อยคนนั้นก็เป็นผู้ทุบตีเซียนสาวจากหอวิญญาณทองคำจนนางต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด ท้ายที่สุดถึงขั้นในพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังชีวิตตนเอง แต่ก็ยังไม่อาจหนีรอดจากความตาย
ผู้คนต่างเริ่มเปรียบเทียบบุคคลในข่าวกับเด็กน้อยทั้งสองทันที
“ต่อให้มันเป็นอัจฉริยะแล้วอย่างไร?”
“เมื่อผู้คนรู้ว่ามันเป็นใคร และเก็บสมบัติไว้มากน้อยเพียงไหน ในแดนลึกลับ ไม่มีกฎเกณฑ์ว่าต้องสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง พวกเรามีคนมากมาย หากลงมือพร้อมกัน ผลลัพธ์ย่อมสามารถจินตนาการได้”
ยู่เหวินอู๋ยิ้มพลางกล่าวกับผู้คน
มันเอ่ยปากขึ้นอีกครา
“ต่อให้นายน้อยเจี้ยนและข้ามิอาจจะกำราบมันทั้งคู่ แต่พวกเราจะรั้งมันไว้มิได้เลยเชียวหรือ? เมื่อถึงเวลานั้น หากพวกเจ้าคอยช่วยเหลือจากรอบด้าน หลังจากจัดการมันลงได้แล้ว พวกเราจะแบ่งสมบัติที่พวกมันครอบครองอย่างเท่าเทียมกัน และนั่นจะช่วยให้พวกเราทั้งหลายประหยัดเวลาในการบ่มเพาะไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ?”
“สมบัติของแดนลึกลับเป็นของทุกคน เหตุใดพวกมันจึงเก็บงำเอาไว้เพียงผู้เดียว? ข้าเห็นด้วยกับพี่อู๋” ตู่กูเจี้ยนที่ได้รับบาดเจ็บแต่ฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างและยืนขึ้นและเอ่ยขึ้นมา
“ข้าจะเข้าร่วมด้วย!”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
เมื่อมีการชี้นำ ก็ย่อมปรากฏผู้ตามจำนวนมากขึ้น พวกมันเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะ แม้จะไม่เทียบเท่าเหล่าเมล็ดพันธุ์ไร้พ่ายเช่นบุตรแห่งสรวงสวรรค์ แต่ไหนเลยจะอ่อนด้อยกว่ามากมายในความคิดของตนเอง
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะย่อมต้องดิ้นรน แล้วคนจำนวนมากมายจะมิสามารถจัดการกับคนเพียงสองคนได้เลยหรือ?
แน่นอนว่ายังมีอัจฉริยะบางส่วนนิ่งเฉยอยู่ นั่นย่อมเป็นเพราะว่าหากมันเลือกผิด พวกมันอาจจะสูญเสียแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
“ข้าล่ะชื่นชมเจ้าจริงๆ เจ้าสามารถพูดอย่างภาคภูมิใจเกี่ยวกับการฉกชิงสมบัติของผู้อื่นได้” หลินซวนที่บัดนี้ยืนอยู่ข้างเสี่ยวหวงกล่าวขึ้นมาอย่างดูถูกประโยคของยู่เหวินอู๋
“หยุดเอ่ยวาจาไร้สาระแล้วมาสู้กัน!” ยู่เหวินอู๋ตะคอก
อาศัยเหตุการณ์ของตู่กูเจี้ยนเป็นบทเรียน ยู่เหวินอู๋ไม่กล้าจะประมาทศัตรู มันใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมาทันที
“เกราะขนนกศักดิ์สิทธิ์!”
ใต้การควบคุมของยู่เหวินอู๋ ปราณวิญญาณล้อมรอบกายของมันกลับกลายเป็นเกล็ดสีขาวสว่าง ในไม่กี่ลมหายใจ เกราะที่ก่อขึ้นจากปราณวิญญาณก็สวมลงบนร่างของยู่เหวินอู๋
ตู่กูเจี้ยนเองก็ไม่กล้าจะดูถูกฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป ร่างของมันทะยานขึ้นกลางอากาศ ราวกับว่ากำลังใช้ทักษะจำลองตน มันทิ้งเก้าร่างไว้ระหว่างทางที่พุ่งขึ้นมา ทำให้ผู้คนไม่อาจระบุได้ว่าตัวจริงของมันคือร่างใด
“โซ่นวะดารา!”
ตู่กูเจี้ยนกำมือกลางความว่างเปล่า ห้วงมิติรอบตัวมันสั่นไหว ราวกับว่ามันกำลังจะดึงลูกธนูลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
พวกมันที่เหลือต่างใช้กระบวนท่าไม้ตายของตนเช่นกัน
เพียงชั่วพริบตา ปราณวิญญาณหากสีปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าราวกับกำลังนำพาหายนะ ภายใต้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ปราณวิญญาณเหล่านั้นต่างอยู่ในรูปแบบที่หลากหลาย
กระทั่งเงาของปีศาจขุนเขาโบราณก็ถูกอัญเชิญมาก แม้ว่ามันจะมิใช่ของจริง แต่ผลกระทบจากมันแค่เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้พื้นที่รัศมีกว่าร้อยลี้สั่นสะเทือนได้
“น่าสนใจยิ่งนัก มันจะไม่จบลงเร็วเกินไปหรือหากพวกเราลงมือ?” หลินซวนมิได้ถือว่าการโจมตีเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงจังแม้แต่น้อย และทำราวกับว่ากำลังจะรังแกพวกมัน
“ใจเย็นหน่อย อย่าเพิ่งสังหารพวกมันทั้งหมด ช่วยเหลือไว้ให้ข้าได้เล่นด้วยบ้างเถิด” เสี่ยวหวงรู้ดีว่าหลินซวนแข็งแกร่งเพียงใดและกำลังเตือนเขาถึงเรื่องนั้น
เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายไม่ทราบว่าควรจะพูดเช่นไร ต่อให้เจ้าทรงพลัง แต่อย่างน้อยก็ช่วยไว้หน้าผู้อื่นบ้างมิได้หรือ
“เหยียบย่าง!”
หลินซวนเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างนุ่มนวล ทว่าราวกับมันเป็นสุรเสียงอันล้ำลึกที่มาจากสรวงสวรรค์ สั่นสะท้านเข้าไปยังจิตใจของผู้คน