บทที่ 44: อาจารย์อยู่นี่แล้ว
บทที่ 44: อาจารย์อยู่นี่แล้ว
“เอ่อ ผู้อาวุโสฮวง เรามาคุยกันดีๆ เถอะ โปรดอย่าใช้ความรุนแรงเลย ร่างกายเล็กๆ ของข้าไม่สามารถรับการโจมตีของท่านไหวหรอก”
ผู้อาวุโสฮวงขมวดคิ้ว
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? ข้าจะไปโจมตีเจ้าทำไม กลับกัน ข้าอยากจะขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ!”
หลี่เต๋าหรัน: “???”
เมื่อเห็นการแสดงออกที่งงงวยของเขา ผู้อาวุโสฮวงก็หัวเราะและกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่แนะนำจางต้าจวงให้กับข้า!”
ใบหน้าของหลี่เต๋าหรันดูสับสนและกระตุกอย่างดุเดือด
“ห้ะ? ผู้อาวุโสฮวง หรือว่าท่านจะได้ร่วมรักกับหญิงชราที่น่าเกลียดและดูสมเป็นลูกผู้ชายคนนั้นแล้ว?”
การแสดงออกของผู้อาวุโสฮวงดูเย็นชาลง
“หญิงชราคนไหนกัน? นั่นคือคนรักอันล้ำค่าของข้า แม่ลูกพลัมรสหวาน! เห็นแก่เจ้าที่ทำให้เราได้พบกันและทำให้การแต่งงานของเราเกิดขึ้น ข้าก็จะไม่ถือสาเจ้าในครั้งนี้ แต่คราวหน้าอย่าพูดถึงนางแบบนั้นอีกล่ะ!”
หลี่เต๋าหรันตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
เดิมทีเขาต้องการจะแกล้งผู้อาวุโสฮวง แต่โดยไม่คาดคิด ผู้อาวุโสฮวงและจางต้าจวงกลับชอบกันและกันแทน
เขาใช้หินวิญญาณระดับต่ำถึง 998 ก้อนเพื่อจองห้องเชือดให้กับผู้อาวุโสฮวง แต่ตอนนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกับเสียเงินเปล่า
ลู่เสี่ยวหรันปรบมือและแสดงความยินดี
“ข้าไม่คิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสฮวง ข้าขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสฮวงล่วงหน้าด้วย!”
ผู้อาวุโสฮวงโบกมือและยิ้ม จากนั้นเขาก็ส่งบัตรเชิญให้กับทั้งสองคน
“ขอบคุณ ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะแจ้งให้เจ้าทราบว่าเรากำลังเตรียมที่จะแต่งงานกันในวันนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไปที่ยอดเขาหลอมอาวุธเพื่อร่วมงานแต่งงานของเราที่กำลังจะจัดขึ้น”
“แน่นอน”
ลู่เสี่ยวหรันพยักหน้า หลี่เต๋าหรันมองไปที่ด้ายสีทองบนบัตรเชิญและอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“โอ้เต๋าสวรรค์ นี่คือทองคำทมิฬหรอ? ผู้อาวุโสฮวง ทองคำทมิฬนี้ไม่ใช่ถูกๆ ท่านใช้วัสดุล้ำค่าเช่นนี้เพื่อพิมพ์บนบัตรเชิญงานแต่งงานเนี่ยนะ? นี่มันไม่ฟุ่มเฟือยไปหน่อยหรอ?”
ผู้อาวุโสฮวงยิ้ม
“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ต้องขอบคุณจางต้าจวงภรรยาสุดที่รักของข้าที่ลำบากทำงานรับใช้ผู้คนในกลุ่มอาคาเซียมาตลอด 200 ปีที่ผ่านมา นางช่วยข้าประหยัดเงินไปได้มาก นางได้นำเอาหินวิญญาณระดับสูงจำนวนมากถึง 200,000 ก้อนมาให้ข้าเพื่อมอบมันเป็นสินสอดทองหมั้นให้กับนาง”
หลี่เต๋าหรันถึงกับตกตะลึงอีกครั้งและใบหน้าของเขาก็ดำคล้ำเหมือนถ่าน
“ผู้อาวุโสฮวงนี่ฉลาดจริงๆ ที่เลือกจะแต่งงานกับผู้อาวุโสจางต้าจวงจากกลุ่มอาคาเซีย”
ผู้อาวุโสฮวงดูภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
“ถูกต้อง เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน? ฮ่าฮ่าฮ่า...! เอาล่ะ ข้ายังคงต้องกลับไปเตรียมงานแต่งอีก ข้าขอตัวลาล่ะ!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสฮวงหันหลังและเดินจากไป หลี่เต๋าหรันก็หันกลับมาและเอนตัวลงบนโต๊ะพร้อมกับคร่ำครวญ
“ฮือ… นี่มันจะมากเกินไปแล้ว ทำไมเต๋าสวรรค์ถึงรังแกข้าเช่นนี้!”
ลู่เสี่ยวหราyนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้ไม่ใช่การมาบ่นที่นี่ แต่เป็นการสวดมนต์อธิษฐานขอให้เต๋าสวรรค์ปกป้องเจ้า ถ้าเกิดผู้อาวุโสฮวงรู้เข้าว่าเจ้าเคย...กับผู้อาวุโสจาง ข้าก็มั่นใจเลยว่าวิญญาณของเจ้าจะไม่ได้กลับไปผุดไปเกิดแน่!”
…
ตอนเที่ยง สมาชิกส่วนใหญ่ของนิกายอสูรสวรรค์ได้รับเชิญให้ไปที่ยอดเขาหลอมอาวุธเพื่อเข้าร่วมงานแต่งงานของผู้อาวุโสฮวง
อาจเป็นเพราะเครือข่ายคนรู้จักของผู้อาวุโสจางนั้นทรงพลังเกินไป นอกเหนือจากผู้คนในนิกายอสูรสวรรค์แล้ว มันก็ยังมีผู้ฝึกตนมาเข้าร่วมงานอีกเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าจำนวนซองแดงที่พวกเขาได้รับนั้นก็มีมากจนกองไว้บนโต๊ะตัวเดียวไม่ไหว
หลังจากดื่มไปสามรอบ ในที่สุดลู่เสี่ยวหรันก็กลับมาที่ยอดเขาจื่อฉุ่ย
หลี่เต๋าหรันที่เมาแล้วเองก็ถูกนำกลับมาที่ยอดเขาจื่อฉุ่ยโดยลู่เสี่ยวหรัน
จากนั้นเขาก็เรียกรวมหยุนหลี่เกอและคนอื่นๆ เพื่ออธิบายเคล็ดวิชาการฝึกตนของพวกเขาให้พวกเขาฟัง
ในเดือนหน้า เขาก็จะไปที่นิกายเต่าทมิฬแล้ว
ในนิกายอสูรสวรรค์ เขาก็ไม่เคยกังวลเกี่ยวกับการฝึกตนของเขา ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็อยู่ที่ขอบเขตสูญสลายขั้นแปดแล้ว อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกตนนี้ก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในนิกายเต่าทมิฬ
โดยการอธิบายเคล็ดวิชาการฝึกตนให้กับศิษย์ของเขาฟัง ลู่เสี่ยวหรันก็จะสามารถช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจเคล็ดวิชามากได้ดียิ่งขึ้น และหลังจากนั้นความเร็วในการฝึกตนของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิม
ในขณะเดียวกัน ลู่เสี่ยวหรันก็หวังว่าระดับการฝึกตนของเขาจะเพิ่มขึ้นก่อนที่เขาจะไปที่นิกายเต่าทมิฬ
“ทำความเคารพท่านอาจารย์”
ทั้งสามคนมาถึงด้านหน้าของลู่เสี่ยวหรันและโค้งคำนับพร้อมกัน
ลู่เสี่ยวหรันพยักหน้าและยกมือขึ้นเล็กน้อย
“นั่งลง”
“รับทราบ!”
ทั้งสามคนนั่งลงทีละคน ลู่เสี่ยวหรันอธิบายเคล็ดวิชสการฝึกตนของหยุนหลี่เกอก่อน
“หลี่เกอ คัมภีร์จักรพรรดิโกลาหลบรรพกาลของเจ้านั้นมุ่งเน้นไปที่ความโกลาหลก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้น แม้ว่าการที่เส้นลมปราณของเจ้าจะถูกตัดขาดจนหมดและทำให้เจ้าไม่สามารถฝึกตนได้อีกต่อไป แต่จริงๆ แล้ว มันก็ยังทำให้เจ้าสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของคนธรรมดาได้ คนธรรมดาจำเป็นจะต้องพึ่งพาเส้นลมปราณเพื่อหมุนเวียนพลังวิญญาณไปสู่จุดตันเถียน อย่างไรก็ตาม เจ้าก็สามารถโคจรเคล็ดวิชาของเจ้าไปสู่จุดตันเถียนของเจ้าได้โดยตรงและสามารถยกระดับร่างกายของเจ้าได้ด้วยพลังวิญญาณ เจ้าจะต้องแยกตัวออกจากความคิดที่เจ้าเคยมีเมื่อครั้งเคยฝึกฝนและปล่อยให้ร่างกายของเจ้าดูดซับทุกสรรพสิ่งบนโลก!”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เสี่ยวหรัน หยุนหลี่เกอก็นั่งไขว่ห้างทันทีและเริ่มโคจรคัมภีร์จักรพรรดิโกลาหลบรรพกาล
ก่อนหน้านี้ เขาก็มักจะถูกจำกัดเอาไว้เสมอเมื่อทำการดูดซับพลังวิญญาณ นี่เป็นเพราะในตอนที่เขาฝึกตน เขาก็ฝึกด้วยเส้นลมปราณ ดังนั้นด้วยเส้นลมปราณที่เสียหาย เมื่อมันมีพลังวิญญาณหรือองค์ประกอบบางอย่างที่ไม่เหมาะสมไหลเข้ามาผ่านเส้นลมปราณ เส้นลมปราณของเขาก็จะปฎิเสธมันในทันที ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่สามารถฝึกตนอย่างต่อเนื่องได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำพูดของลู่เสี่ยวหรัน เขาก็ไม่ได้ยับยั้งตัวเองอีกต่อไปและดูดซับพลังวิญญาณทั้งหมดตามความต้องการ
เมื่อเห็นเขาเข้าสู่สมาธิ ลู่เสี่ยวหรันก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่จื่ออู๋เซีย
จื่ออู๋เซียทำสีหน้าจริงจังในทันที
“เก้าฟีนิกซ์เปลี่ยนรูปแบ่งออกเป็นทั้งหมดเก้าขั้น ในทุกขั้นใหม่ แนวคิดแต่ล่ะขั้นก็จะแตกต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ขั้นใหม่ก็จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นด้วย กล่าวได้ว่าด้วยการฝึกเคล็ดวิชาการฝึกตนนี้ เจ้าก็จะเป็นเหมือนนกฟีนิกซ์ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จากเถ้าถ่าน ด้วยเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาการฝึกตนและแนวคิดจนถึงขีดจำกัด เจ้าก็ควรจะเปลี่ยนความคิดและมุมมองใหม่ดู หากเจ้ายังคิดจะเดินบนเส้นทางใหม่ด้วยวิธีเดิมๆ เจ้าก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
จื่ออู๋เซียเริ่มนั่งสมาธิ
สุดท้ายก็เป็นตาของฟางเทียนหยวน
“เทียนหยวน กายาทองไร้เทียมทานนั้นดูเหมือนจะเป็นเคล็กวิชาที่ไม่ได้ล้ำลึกอะไร อย่างไรก็ตาม อันที่จริง มันก็เป็นเคล็ดวิชาการฝึกตนที่ผสมผสานระหว่างการฝึกร่างกายและจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจช่วยเจ้าให้ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ได้ ท้ายที่สุดแล้ว หากจิตวิญญาณของเจ้าอ่อนแอ มันก็มีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายลงได้ง่ายๆ”
“อ๋อ~! ข้าเข้าใจแล้ว หลังจากฝึกฝนถึงขั้นที่สามแล้ว ข้าก็ไม่สามารถก้าวต่อไปได้อีก ปัญหาอยู่ตรงนี้นี่เอง!”
ขณะที่เขาพูด ฟางเทียนหยวนก็เริ่มนั่งไขว่ห้างและฝึกฝนกายาทองไร้เทียมทาน
ด้วยคำแนะนำของลู่เสี่ยวหรัน การฝึกตนของทั้งสามคนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ การฝึกตนของพวกเขาก็ติดชะงักอยู่เป็นเวลาหนึ่งหรือสองเดือน แต่ในเวลานี้ พวกมันก็เริ่มทะลุทะลวงอย่างรวดเร็วแล้ว
และเมื่อระดับการฝึกตนของพวกเขาเพิ่มขึ้น พวกเขาทั้งสามก็จะดูดซับพลังวิญญาณด้วยความเร็วที่เร็วขึ้น ห้องเล็กเริ่มกลายเป็นเหมือนกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ มันดูดซับพลังวิญญาณเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อรู้สึกว่าการฝึกตนในร่างกายของพวกเขาเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วที่มองเห็นได้ มุมปากของลู่เสี่ยวหรันก็โค้งงอเล็กน้อย
“อันที่จริง การเป็นอาจารย์มันก็ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย!”