SWO ตอนที่ 36 การแจ้งเตือนระดับสาม
“เสี่ยวเฮาลงมากินข้าวได้แล้ว!”
เสียงของโจวเสวียกั๋วดังขึ้นจากห้องนั่งเล่น
"กำลังไปครับ"
โจวเฮาตอบกลับ เขาปรับอารมณ์และเดินออกจากห้องนอนอย่างรวดเร็ว
หวังชูหยุน แม่ของเขาทำอาหารเสร็จเร็วมาก เนื่องจากส่วนผสมทุกอย่างถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าหมดแล้วทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในส่วนนั้น
ระหว่างมื้ออาหาร หวังชูหยุนยิ้มและกล่าวว่า “นี่คุณ ถ้าเป็นไปได้ก็ลาออกจากงานเถอะ ยังไงตอนนี้เราก็ไม่ได้ขัดสนอีกต่อไปแล้ว อย่าทำร้ายร่างกายตัวเองนักเลย”
โจวเฮารีบใช้โอกาสนี้พยักหน้าเห็นด้วย “ท่านแม่พูดถูก ข้าว่าท่านพ่อรีบลาออก และกลับมาพักผ่อนที่บ้านเถอะ”
โจวเสวียกั๋วจิบไวน์ และจ้องไปที่โจวเฮาอย่างมีน้ำโห “อย่ามาจุ้นจ้านเรื่องของข้าน่า ถ้าข้าไม่ทำงาน ใครเล่าจะสนับสนุนครอบครัวนี้? แต่แม่ของเจ้าพูดถูกเรื่องหนึ่ง ยังไงข้าก็ควรเปลี่ยนงาน ไว้หลังจากนี้ข้าจะลองหาวันคุยกับหัวหน้าดู”
เมื่อเห็นว่าโจวเสวียกั๋วยอมรับความเห็น โจวเฮาก็มีความสุข งานของพ่อเขาเหนื่อยมาก หลายคนถึงกับเสียชีวิตระหว่างทำเนื่องจากทำงานหนักเกินไป
“อย่ามัวแต่พูดเลย กินให้เยอะ ๆ สิ” หวังชูหยุนคีบเนื้อใส่ลงในชามของโจวเฮา
โจวเฮาหัวเราะ และไม่ได้ปฏิเสธ
สองวันมานี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ อารมณ์ดีกระทั่งฮัมเพลงในระหว่างเรียน
แต่ซูหลิงซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าดูไม่ได้อารมณ์ดีไปกับเขาด้วย
“โจวเฮา เจ้าคนเกียจคร้าน หากเจ้ายังหย่อนยานแบบนี้ต่อไป เจ้าจะถูกทุกคนทิ้งห่างจนตามไม่ทันแน่!” ซูหลิงได้เข้าร่วมในการประเมินครั้งนี้เช่นกัน และสาบานในใจว่าคราวนี้จะต้องได้ที่หนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออัจฉริยะไร้เปรียบของโรงเรียนไม่ลงด้วยเท่านั้น
โจวเฮายิ้มก่อนกล่าว “ซูหลิง การประเมินครั้งนี้ข้าก็เข้าร่วมด้วย”
“อุฟฟ!”
ก่อนที่ซูหลิงจะทันได้พูดอะไร หลี่หยุน เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
หลี่หยุนยังคงยิ้มเมื่อหันมาทางเขา “โจวเฮา อย่าโม้ให้มากความ เจ้าน่าจะรู้ความสามารถตัวเองดีไม่ใช่รึ? ไม่ว่าจะเป็นการแข่งครั้งที่แล้ว หรือประเมินการต่อสู้ครั้งนี้ อย่างน้อยเจ้าต้องมีแก่นโลหิตขั้นแรกก่อนจึงจะเข้าร่วมได้…”
ใบหน้าของซูหลิงมืดลง เธอหันกลับมา และกำลังจะตำหนิโจวเฮาที่ทำอะไรเกินตัวแต่ก็ต้องตกตะลึงในทันใด
“โจวเฮา แก่นโลหิตของเจ้า?”
โจวเฮากล่าวอย่างเรียบเฉย “เมื่อคืนข้าโชคดีทะลวงผ่านแก่นโลหิตขั้นแรกได้”
เสียงหัวเราะของหลี่หยุนหยุดนิ่ง “จะ เจ้าทะลวงผ่าน?”
ซูหลิงขมวดคิ้ว “เป็นเพียงแก่นโลหิตขั้นแรกเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรต้องแปลกใจ”
หลี่หยุนกล่าวอย่างงุ่มง่าม “อะ อืม อย่างที่เจ้าว่า ข้าไม่แปลกใจเลยสักนิด”
ซูหลิงไม่สนใจหลี่หยุน และหันไปกล่าวกับโจวเฮา “เจ้าใช้ยารวมโลหิตใช่ไหม? มันดีสำหรับเจ้าที่ทะลวงผ่านแก่นโลหิตขั้นแรกมาได้ด้วยยารวมโลหิตสองเม็ด อย่างไรก็ตามเจ้าคิดจะเข้าร่วมการประเมินทันทีหลังจากที่เพิ่งทะลวงผ่านมาจริงรึ? แม้แต่คนที่คิดฆ่าตัวตายยังไม่กล้าทำแบบนั้น”
เธอรู้ว่าโจวเฮาทำเงินได้มากมายจากการแข่งครั้งก่อน และสันนิษฐานว่าเขาอาจใช้มันเพื่อซื้อยารวมโลหิต
โจวเฮาที่เคยชินกับการดูถูกของซูหลิงแล้วสามารถบอกได้ว่าซูหลิงแค่หวังดี
“มันคงไม่อันตรายมากนักหรอก ยังไงอาจารย์ก็อยู่ใกล้ ๆ อยู่แล้ว ที่ข้าเข้าร่วมการประเมินครั้งนี้แค่อยากหาประสบการณ์ดูเท่านั้น” เขากล่าวอย่างสบาย ๆ สายตาของเขาประสานกับซูหลิง “หรือเจ้าลืมไปแล้วหรือที่บอกให้ข้าพยายามให้มากเข้าไว้”
ซูหลิงกลอกตาทันที “ข้าบอกให้เจ้าขยันฝึกฝนไม่ใช่หาเรื่องตาย… ช่างเถอะ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว!”
อย่างไรก็ตามขณะที่โรงเรียนใกล้เลิก ซูหลิงก็กล่าวเสริมว่า “หลังจากนี้ไปสนามฝึกด้วย ข้าจะสอนชุดเคลื่อนไหวให้เจ้า”
โจวเฮาหัวเราะอย่างลับ ๆ
เขารู้นิสัยของซูหลิงดี เธอนั้นเป็นคนปากร้าย แต่ใจดี
"โทษที พอดีข้ายังมีบางอย่างต้องจัดการ” เขาโบกมือปฏิเสธ คืนนี้เขามีบางอย่างต้องทำเมื่อกระบี่ระดับราชันเสร็จ
“โคลนฉาบผนังไม่ติด1!”
หลังจากกล่าวอย่างเย็นชา ซูหลิงก็สะบัดหน้า และจากไป
โจวเฮาพูดไม่ออก
ในตอนเย็น เขาไปเยี่ยมเจ้าของร้านมีหนวด จ่ายเงินไปมากกว่า 4 ล้านหยวนสำหรับค่าธรรมเนียม และวัตถุดิบ จากนั้นจึงรับกระบี่ของเขามา
“ท่านครับ กระบี่เล่มนี้สามารถฉีกผ่านการป้องกันของสัตว์อสูรระดับราชันขั้นต่ำได้อย่างง่ายดาย ถ้าท่านอยากทดสอบ ข้าจะจัดการให้ทันที…” เจ้าของร้านมีหนวดกล่าว
"ไม่จำเป็น"
โจวเฮาโบกมือ และสะบัดกระบี่เบา ๆ
บีสส
กระบี่สั่น และส่งเสียงฮัมออกมา
"ไม่เลว"
เขายิ้ม สำหรับกระบี่ที่สามารถทนต่อแรงสะบัดของเขาได้คุณภาพของมันได้มาถึงระดับราชันอย่างแท้จริง เขาหันหลังกลับ และจากไปทันที
เจ้าของร้านมีหนวดตกตะลึง นั่นคือกระบี่ระดับราชันเชียวนะ แม้แต่ปรมาจารย์ขั้นสูงยังมิอาจสามารถทำให้กระบี่สั่นได้ด้วยกำลังทั้งหมด
กลับกันด้วยการสะบัดสบาย ๆ จากลูกค้ารายนี้ มันเกือบทำให้กระบี่งอ
“หรือท่านจะเป็นปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้นเจ้าของร้านมีหนวดก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด เหตุเพราะเขาเพิ่งได้รับใช้ปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธตัวจริงเสียจริง
…
ณ แนวป้องกันสถานีทางใต้ของเมืองหัวตง
ผู้บัญชาการกองพันชูยืนอยู่บนกำแพงป้องกันสูง ขณะมองไปยังป่าเขียวชอุ่มที่อยู่ไกลออกไป
“เมื่อเร็ว ๆ นี้มีอะไรผิดปกติรึไม่?” เขาถามขึ้น
“รายงานท่านผู้บังคับกองพัน ทุกอย่างปกติดี ไม่มีเผ่าพันธุ์ภายนอกแทรกซึมครับ!”
ผู้บัญชาการกองพันชูขมวดคิ้ว "เจ้าตรวจดูดีแล้วใช่ไหม?"
“ใช่ครับท่านผู้บังคับกองพัน เครื่องตรวจจับทั้งหมดบ่งบอกว่าสถาการณ์ปกติดี” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูฟัง
“จงตื่นตัวเข้าไว้ เราไม่สามารถปล่อยให้เผ่าพันธุ์ภายนอกแม้แต่ตัวเดียวแทรกซึมฐานเราได้” ผู้บัญชาการกองพันชูกล่าวอย่างเย็นชา
มีหลายวิธีสำหรับเผ่าพันธุ์ภายนอกที่จะแทรกซึมเข้าไปในเมือง โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์แมลงที่ป้องกันได้ยากเป็นพิเศษ
ฐานที่สำคัญของมนุษยชาติได้รับความเดือดร้อนจากพวกมันมานักต่อนักแล้ว
อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่เครื่องตรวจจับไม่สามารถติดตาม และหยุดเผ่าพันธุ์แมลงจากการรวบรวมข้อมูลได้
ฟิ้ว~
ทันใดนั้นป่าเขียวชอุ่มก็สั่นสะเทือน
สีหน้าของผู้บัญชาการกองพันชูเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะสั่งให้คนของเขาควบคุมไฟฉายขนาดใหญ่ทันที
แสงไฟกวาดไปทางต้นเสียงก่อนจะพบกับแมลงสีเขียวที่พรั่งพรูออกมาจากป่าอันเขียวชอุ่ม
“สกัดพวกมันด้วยโครงข่ายไฟฟ้า!”
ผู้บัญชาการกองพันชูถอนหายใจด้วยความโล่งอก แมลงสีเขียวที่มาโจมตีฐานเป็นเหตุการณที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย แต่หลังจากเขาออกคำสั่งเสร็จรูม่านตาของเขาก็หดตัวทันที เขามองตามแสงไป และเห็นเงาขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังแมลงสีเขียว
“นั่นมันด้วงบิน เปิดการแจ้งเตือนระดับสาม!”
เสียงสัญญาณเตือนแหลมดังขึ้นจากแนวป้องกัน
ทหารติดอาวุธหนักตื่นขึ้นจากการหลับใหล และรีบวิ่งขึ้นไปบนกำแพงป้องกันในเวลาอันสั้น..
.............
โคลนฉาบผนังไม่ติด1 – คนไร้ความสามารถ ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ หรือไม่มีหน้าออกมาในสังคม