บทที่ 31: หลุดเข้าถ้ำเสือ
บทที่ 31: หลุดเข้าถ้ำเสือ
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อน สถานการณ์ในนิกายอสูรสวรรค์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แปลกมาก มันจะต้องเป็นเพราะมีสมบัติหายากปรากฏตัวขึ้นแน่ๆ เราไม่สามารถปล่อยให้นิกายอสูรสวรรค์ผูกขาดโอกาสที่ดีเช่นนี้แต่เพียงผู้เดียวได้!”
ร่างสีดำกวาดสายตามองไปที่ยอดเขาจื่อฉุ่ยข้างหลังเขา
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ผู้นำคนปัจจุบันของยอดเขาจื่อฉุ่ยก็คือผู้อาวุโสอายุน้อยที่มีนามว่าลู่เสี่ยวหรัน ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่เพียงขอบเขตวิญญาณขั้นสามเท่านั้น ดังนั้นพวกศิษย์ที่อยู่ใต้เขาเองก็น่าจะอยู่ไม่พ้นขอบเขตก่อกำเนิดหรือขอบเขตโชคชะตาเป็นแน่ และด้วยการฝึกตนของข้าที่อยู่ในขอบเขตวิญญาณขั้นห้า การจัดการกับยอดเขาจื่อฉุ่ยทั้งหมดนั้นก็น่าจะไม่ใช่งานยากอะไร”
“ในกรณีนั้น ข้าก็จะเริ่มจากยอดเขาจื่อฉุ่ยนี่แหละ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ร่างสีดำก็ใช้ประโยชน์จากความมืดปกปิดตัวตนและปีนขึ้นไปบนยอดเขาจื่อฉุ่ยอย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่เขาสามารถลอบเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ก็เป็นเพราะลู่เสี่ยวหรันได้ปิดการใช้งานค่ายกลไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบการมาถึงของเขา
ไม่นาน เขาก็มาถึงบนยอดเขาจื่อฉุ่ย
เมื่อเขาขึ้นมาถึงยอดเขา เขาก็พบกับหยุนหลี่เกอที่กำลังเดินออกมาจากบ้าน
“ที่นี่แหละสมบูรณ์แบบ มันมีบ้านเพียงหลังเดียวเท่านั้น และเนื่องจากไม่มีใครอยู่แถวนี้ ดังนั้นข้าก็จะรีดข้อมูลจากเจ้าเด็กนี่นี่แหละ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและเปลี่ยนร่างเป็นเงาดำที่พุ่งเข้าหาหยุนหลี่เกอในทันที
ความเร็วของเขาเร็วมากจนทำให้เกิดการเสียดสีขึ้นในอากาศ และก่อนที่เสียงเสียดสีจะดังขึ้น ร่างของเขาก็ได้มาปรากฎตัวหน้าหยุนหลี่เกอแล้ว
“รับการโจมตีนี่ซะ!”
เขาเปลี่ยนรูปมือเป็นกรงเล็บและเล็งไปที่คอของหยุนหลี่เกอราวกับนกอินทรีกำลังจับเหยื่อ
อย่างไรก็ตาม!
ขณะที่เขาคิดว่าเขาจะสามารถจับหยุนหลี่เกอได้แล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็ได้เกิดขึ้น
พึ่บ!
พร้อมกับเสียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ การโจมตีโต้กลับของหยุนหลี่เกอก็พุ่งออกมาราวกับสายฟ้า หยุนหลี่เกอเคลื่อนไหวเร็วซะจนเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะทันได้โต้ตอบ หยุนหลี่เกอคว้าแขนของเขาได้โดยทันทีและปัดมันห่างออกไปจากคอของเขาสามเซนติเมตร
“อะไรกัน?!”
อีกฝ่ายตกตะลึง!
เขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตวิญญาณขั้นห้านะ!
ทำไมอีกฝ่ายถึงสามารถคว้าแขนของเขาได้? ยิ่งไปกว่านั้น พลังนั้นก็ยังทรงพลังมากจนทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกหินบดขยี้ เขาไม่สามารถดึงแขนกลับได้เลย
“เจ้าเป็นใครกัน?”
เสียงเย็นชาของหยุนหลี่เกอดังขึ้น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูกสันหลัง สติที่ตื่นกลัวของเขารีบคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
การฝึกตนของอีกฝ่ายได้ก้าวข้ามขอบเขตวิญญาณขั้นห้าไปแล้วแน่ๆ!
“เจ้าคือลู่เสี่ยวหรันอย่างงั้นหรอ?”
หยุนหลี่เกอขมวดคิ้ว
“เจ้ากล้าดียังไงถึงมาเรียกชื่ออาจารย์ของข้าห้วนๆ แบบนั้น! เจ้าอยากจะตายมากเลยสินะ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ หยุนหลี่เกอก็ได้หมุนเวียนคัมภีร์จักรพรรดิโกลาหลบรรพกาลและซัดหมัดจักรพรรดิโกลาหลบรรพกาลออกไปในทันที
หมัดที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายล้างทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนที่สงบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
รูม่านตาของผู้อาวุโสนิกายอสูรกระดูกขาวเบิกกว้าง และขนบนร่างกายของเขาก็ตั้งชูขึ้น
เขาสัมผัสได้ถึงความตายจากหมัดนั้น
เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย เมื่อถึงจุดนี้ เขาก็รีบใช้เคล็ดวิชาระดับสูงสุดของเขาในทันที – ศาสตร์ผลาญกระดูก!
นี่เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาช่วยชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายอสูรกระดูกขาว
ด้วยการเผาไหม้ไขกระดูกของเขา เขาก็จะสามารถได้รับพลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นการฝึกตนและแก่นแท้โลหิตของเขาก็จะลดลง ซึ่งมันก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการฝึกตนในอนาคตของเขา
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เขาก็มีทางเลือกไม่มากนัก
ด้วยความช่วยเหลือของพลังนี้ ออร่าของผู้อาวุโสนิกายอสูรกระดูกขาวจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา การฝึกตนของเขาก็ได้พุ่งขึ้นไปจนถึงขอบเขตวิญญาณขั้นเจ็ด ระดับการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นถึงสองขั้น
เขาชกหมัดสวนกลับไปในทันทีและทำการแลกหมัดกับหยุนหลี่เกอโดยไม่ลังเล
บู้มมมม!
หมัดทั้งสองปะทะกัน และแรงระเบิดอันทรงพลังก็พัดพาพวกเขาทั้งคู่แยกออกจากกันโดยทันที
หยุนหลี่เกอถอยกลับไปหกก้าวในขณะที่อีกฝ่ายถอยหลังกลับไปสิบสองก้าว สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือในตอนที่หยุนหลี่เกอถอยกลับมา เขาถึงกับฉีกแขนที่เคยคว้าเอาไว้ก่อนหน้านี้กลับมาด้วย
แม้ว่าการฝึกตนของผู้อาวุโสนิกายอสูรกระดูกขาวจะเพิ่มขึ้นมาอีกสองขั้น แต่มันก็ยังไม่สามารถต่อกรกับคัมภีร์จักรพรรดิโกลาหลบรรพกาลได้!
ความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตราชันยุทธ์ชั้นยอดนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเอาชนะได้ด้วยความแข็งแกร่งที่มากกว่าเพียงหนึ่งหรือสองขั้น!
“ไม่ได้การ!”
โดยไม่ลังเล เขาหันหลังกลับและวิ่งหนีไปในทันที
หยุนหลี่เกอขว้างแขนที่ฉีกมาได้ทิ้งลงกับพื้นและพ่นลมหายใจออกมา
“หึ! เจ้าคิดว่าหลังจากที่มาสร้างปัญหาบนยอดเขาจื่อฉุ่ยของข้าแล้วจะหนีไปได้หรอ?! เจ้าจะดูถูกศิษย์พี่ใหญ่แห่งยอดเขาจื่อฉุ่ยมากเกินไปแล้ว!!!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็กระทืบเท้าลงกับพื้นและดีดตัวออกไปในทันที ร่างของเขากลายเป็นลำแสงที่พุ่งไล่ตามอีกฝ่ายไปอย่างติดๆ
ผู้อาวุโสนิกายอสูรกระดูกขาวรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
หากหยุนหลี่เกอสามารถจับเขาได้ เขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม!
ในขณะนี้ จื่ออู๋เซียที่ได้ยินเสียงความโกลาหลเมื่อครู่ก็รีบเดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
หยุนหลี่เกอตะโกนตอบโดยไม่หันหลังกลับ “ศิษย์น้องหญิง ชายคนนี้เป็นหัวขโมย มันกล้าที่จะบุกเข้ามาในยอดเขาจื่อฉุ่ยของเราตอนดึกดื่น จับมันเร็ว!”
“อะไรนะ?”
แววตาสงสัยของจื่ออู๋เซียเปลี่ยนแปลงไปในทันที มันเหลือทิ้งไว้เพียงความเย็นชาในขณะที่เธอหมุนเวียนเคล็ดวิชาเก้าฟีนิกซ์เปลี่ยนรูปในทันทีและเตรียมพร้อมที่จะโจมตี
ในขณะเดียวกัน แววตาของผู้อาวุโสนิกายอสูรกระดูกขาวก็เปล่งประกาย
เขาเห็นโอกาสรอดกำลังยืนรอเขาอยู่ตรงหน้า!
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ระดับการฝึกตนของหยุนหลี่เกอนั้นก็จะต้องแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน นี่หมายความว่าระดับการฝึกตนของจื่ออู๋เซียนั้นก็จะต้องด้อยกว่าหยุนหลี่เกออย่างแน่นอน
เขาสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อโค่นเธอลงและจับเธอเป็นตัวประกันได้ ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับมาได้เข้าข้างเขาได้!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่หลบเท่านั้น แต่เขายังเพิ่มความเร็วและพุ่งตรงไปทางจื่ออู๋เซีย
ผลข้างเคียงจากศาสตร์ผลาญกระดูกยังไม่ได้หายไป ระดับการฝึกตนในปัจจุบันของเขายังอยู่ที่ขอบเขตวิญญาณขั้นเจ็ด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจมากในเวลานี้!
เขาโจมตีด้วยกระบวนท่าสังหารอย่างไร้ความปราณี!
“สาวน้อย ขอบคุณที่เจ้าออกมามอบตัวนะ เอาล่ะ ข้าจะ…”
อย่างไรก็ตาม!
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จื่ออู๋เซียก็ได้โจมตีตอบกลับด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแล้ว รูม่านตาของเขาขยายออกเล็กน้อยราวกับว่าเขามองเห็นเงาฟีนิกซ์คำรามอยู่ข้างหลังจื่ออู๋เซีย
ความกลัวตายที่ผุดขึ้นในจิตใจของเขาอย่างกะทันหันทำให้เขาอยากจะวิ่งหนี แต่กระนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่สามารถหยุดตัวเองได้ด้วยซ้ำในขณะนี้ และแม้ว่าเขาจะสามารถหยุดได้ทันในเวลานี้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถหลบการโจมตีของจื่ออู๋เซียได้
บู้มมมม!
ฝ่ามือของจื่ออู๋เซียฟาดลงบนกรงเล็บของเขาอย่างดุเดือด
ฝ่ามือที่ทรงพลังขจัดพลังวิญญาณที่ปกคลุมแขนของเขาออกไปในทันที จากนั้นกล้ามเนื้อของเขาก็เริ่มถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ และกระดูกข้างในนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ต้องรู้ว่าผู้คนในนิกายอสูรกระดูกขาวส่วนใหญ่ฝึกฝนและขัดเกลากระดูกของพวกเขาเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้เอง กระดูกของพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ามือของจื่ออู๋เซีย กระดูกที่เขาภาคภูมิใจก็กลับถูกทำลายลงจนแหลกสลายกลายเป็นเม็ดทราย เขาไม่สามารถต้านทานมันได้เลย!
แม้หลังจากทำลายกระดูกมือของอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ฝ่ามือของจื่ออู๋เซียก็ยังไม่ได้สูญเสียความทรงพลังลงไปเลย มันยังคงทำลายกระดูกแขนของเขาทีละข้อ และในท้ายที่สุด มันก็พุ่งไปจนถึงไหล่ของเขา!
ในเวลานี้ แขนทั้งข้างของเขาก็ถูกทำลายเละจนไม่เหลือชิ้นดี
ตำแหน่งที่ควรจะเป็นแขนของเขาได้กลายเป็นหมอกสีเลือดไปแล้ว!
เขาไม่มีเวลาคิดมากอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับอีกอันของนิกายอสูรกระดูกขาว - ศาสตร์ระเบิดกระดูก
เคล็ดวิชานี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้หลบหนีออกไปได้ในทันทีผ่านการทำลายกระดูกบนร่างกายของผู้ใช้
มันโหดร้ายยิ่งกว่าเคล็ดวิชาผลาญกระดูกเสียอีก
วิชาผลาญกระดูกจะเผาไหม้แค่เพียงไขกระดูกเท่านั้น มันยังมีโอกาสที่จะฟื้นฟูกลับมาได้ด้วยการใช้สมบัติธรรมชาติและเม็ดยาชั้นดี อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาระเบิดกระดูกก็ได้ทำลายกระดูกของคนๆ หนึ่งโดยตรง สำหรับผู้ฝึกตนของนิกายอสูรกระดูกขาวแล้ว มันก็มีค่าเทียบเท่ากับการตัดโอกาสที่พวกเขาจะได้ก้าวหน้าต่อไปทิ้งไป