เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 229
ตอนที่ 229
ต้นไม้สีทองต้นนั้นยืนต้นอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า เปลวเพลิงที่ทรงพลังบนกิ่งก้านของมันทำให้ห้วงมิติโดยรอบล่มสลายลงอย่างต่อเนื่อง
จากนั้น กิ่งก้านของต้นไม้โบราณนี่ก็เริ่มยืดออก และโอบล้อมหลินซวนไว้กึ่งกลาง จากนั้นความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นด้วยหวังจะกักขังเขาเอาไว้ภายใน
“อ้ะ ทักษะนี้ไม่เลวเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ยายแก่ ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน หากข้าเคลื่อนไหวออกจากที่แห่งนี้ จะถือว่าข้าพ่ายแพ้แก่เจ้า!”
หลินซวนยืนนิ่งกลางอากาศอย่างมั่นคง ไม่เพียงจะพูดเช่นนั้น แต่การกระทำเขาก็เป็นไปตามคำพูดดุจเดียวกัน ทำให้กิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ห่อหุ้มเขาเอาไว้
“มันโง่งมหรือมั่นใจเกินไปกันแน่? มันคิดจะยืนอยู่เช่นนั้นโดยไม่โจมตีหากแต่ป้องกันอย่างเดียวจริงๆ หรือ?”
รุ่นเยาว์คนหนึ่งหรี่ตาลงและมองไปยังหลินซวน
“ฮึ่ม นี่มันความทระนงเช่นใดกัน? หรือจริงๆ แล้วมันเป็นคนโง่เง่ากันแน่ ต้องรู้ก่อนว่าทักษะศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ไม่ธรรมดานัก ยิ่งมันสังหารผู้คนมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งของมันจะมากขึ้นเท่านั้น เซียนสาวผู้นั้นใช้ทักษะนี้เข่นฆ่าชีวิตมานับไม่ถ้วน ข้าเกรงว่ามันคงมิได้ตระหนักถึงความทรงพลังที่แท้จริงของทักษะนี้ ใช่หรือไม่?” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างล้อเลียน
พวกมันทั้งหลายต่างถกเถียงกัน แต่ไม่มีผู้ใดที่เชื่อว่าหลินซวนจะสามารถรอดพ้นการโจมตีเช่นนี้ได้
ทว่า ในชั่วพริบตาถัดมา เมื่อกิ่งก้านเหล่านั้นพุ่งเข้าโจมตี ผลลัพธ์ดีเกิดขึ้นกลับทำให้ผู้คนถึงนิ่งค้าง
กิ่งก้านที่บรรจุไว้ด้วยพลังที่ทรงอำนาจเมื่อมันทำท่าทีว่าจะแตะต้องหลินซวน อยู่ๆ พวกมันทั้งหมดก็เหี่ยวเฉาลง
ก่อนหน้านั้น กิ่งก้านมหาศาลยังคงสลับไขว้กันไปมา หวังจะปิดผนึกใต้หล้าและป้องกันหลินซวนมิให้หลบหนีไป ทว่าบัดนี้ อักขระที่แข็งแกร่งบนลำต้นของมันกลับถูกทำลายลง
“เจ้า… เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าคนผู้นั้นเป็นรุ่นเยาว์เฉกเช่นพวกเราจริงๆ?”
“ทรงอำนาจยิ่งนัก เขาทำสิ่งใดลงไป?”
พวกมันต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ต้องรู้ก่อนว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้มีความทระนงและเชื่อมั่นว่าตนเองแข็งแกร่งที่สุดเสมอมา ทว่าบัดนี้ พวกมันกลับมิอาจมั่นใจดังเช่นที่ผ่านมา
กระทั่งหญิงสาวผมทองผู้นั้นยังอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
ต้องรู้ก่อนว่าการโจมตีนี้เป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง ยิ่งกว่านั้น มันคือทักษะที่ทรงพลังที่สุดของหอวิญญาณทองคำ แต่บัดนี้ มันกลับถูกผู้อื่นแก้ไขได้โดยง่ายเช่นนั้นหรือ?
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าเปลวเพลิงทองคำนั้น ต่อให้เป็นห้วงมิติโดยรอบยังมิอาจทานทนได้ ทว่ามันกลับถูกสยบลงโดยที่ยังไม่ทันเข้าถึงตัวอีกฝ่าย?
เซียนสาวแห่งหอวิญญาณทองคำยังคงมิยอมพ่ายแพ้ นางเร่งพลังปราณของตนและอัดมันเข้าไปยังต้นไม้ยักษ์ หวังจะฟื้นฟูพลังของมันและใช้ต้นไม้นั้นกำราบหลินซวนลง ในเวลาเดียวกัน นางก็สะบัดมือช้าๆ ก่อเป็นลำแสงแห่งปราณที่ควบรวมเป็นหอกเล่มหนึ่ง
นางขว้างหอกเล่มนั้นเข้าใส่หลินซวน และพริบตาต่อมา หอกก็บรรลุถึงตัวหลินซวนทันที
ทารกน้อยเงยหน้าขึ้นพลางยื่นแขนของเขาและคว้าจับไปยังหอกเล่มนั้น
เมื่อผู้คนโดยรอบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พวกมันย่อมไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป โดยเฉพาะพวกที่รู้ดีถึงความร้ายกาจของเซียนสาวคนนั้น
“บัดซบ นี่มันเกิดอันใดขึ้น? การโจมตีที่รุนแรงเช่นนั้นกลับถูกคว้าจับเอาไว้ได้ด้วยมือเดียว?”
“นั่นมันอะไรกัน? หอกเล่มนั้นแฝงไว้ด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์แรกกำเนิดของนาง เจ้าต้องรู้ก่อนว่าอาวุธจากปราณของนางเป็นหนึ่งในสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังจากสรวงสวรรค์แห่งเต๋า มันสามารถพุ่งทะลุผ่านได้แทบจะทุกสรรพสิ่ง!”
หลินซวนมิได้ใส่ใจรุ่นเยาว์ทั้งหลายว่ากำลังพูดสิ่งใด เขาเพียงกำมือของตนแน่นขึ้น จนหอกเล่มนั้นปรากฏรอยแตกร้าว
เซียนสาวผมทองถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อเห็นเช่นนั้น ต้องรู้ก่อนว่าหอกเล่มนี้ควบแน่นมาจากพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด มันทรงอำนาจไร้เทียมทาน ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นใด นางก็สามารถสังหารพวกมันลงได้อย่างง่ายดายในกระบวนท่าเดียว ทว่าในวันนี้ มันกลับถูกทำลายลงจากพละกำลังของฝ่ายตรงข้าม
นี่เป็นสิ่งที่นางมิเคยกล้าจินตนาการถึง
ในที่สุดหลินซวนก็เคลื่อนไหว เขาก้าวไปด้านหน้าและต่อยหมัดเข้าใส่ความว่างเปล่า หมัดนี้ทรงอำนาจเฉกเช่นเทพเจ้าผู้หวังทำลายล้างโลก
ความว่างเปล่ากลับมาสงบนิ่งอีกครา ทางด้านของต้นไม้ยักษ์และกิ่งก้านทั้งหลาย บัดนี้สลายหายไปจนหมดสิ้น
เฮือก!
ผู้คนต่างสูดหายใจเข้าอย่างหนาวเหน็บ พละกำลังเช่นนี้นับว่ามหาศาลเกินไป
“ฮ่าๆๆๆ! ดี ดี ดี!” เซียนสาวผมทองกัดฟันแน่นพลางเอ่ยออกมา
“เจ้าช่างสมกับที่มั่นใจเช่นนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีอีกต่อไป มาปะทะกันเป็นครั้งสุดท้ายเถิด!”
จากนั้น นางจึงนำเอาหม้อโบราณออกมาจากแหวนมิติ รอบหม้อใบนั้นสลักไว้ด้วยอักขระแห่งเต๋ามากมาย จนผู้คนสามารถรับรู้ได้ถึงความล้ำค่าในฐานะสมบัติชั้นเลิศ
นางสะบัดมือช้าๆ และฝาหม้อก็เปิดออก ดัชนีสีทองซึ่งมีขนาดเท่านิ้วก้อยลอยออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาหลินซวน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างตื่นตระหนกจนไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว
กระทั่งเล่ยหยุนซีและตุยเฟิ่งที่ปะทะกับหลินซวนก่อนหน้านี้ พวกมันยังรีบใช้ทักษะหลบหนีของตนและถอยออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“โอ้?” หลินซวนมองไปยังดัชนีนั้นด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
เขาคาดว่ามันคือกระดูกนิ้วก้อย และด้วยเหตุผลบางประการ กระดูกนิ้วก้อยชิ้นนั้นปลดปล่อยกลิ่นอายที่ชั่วร้ายออกมา ยิ่งกว่านั้น มันยังดูสดใหม่เสียจนราวกับเพิ่งถูกตัดออกมาจากเจ้าของร่าง
นิ้วก้อยทองคำชิ้นนี้โปร่งแสงและแฝงไปด้วยความทรงอำนาจ ใครก็ตามที่มองเห็นมันต่างหัวใจสั่นระรัว
“นี่มัน…. คือกระดูกชิ้นนั้นจริงๆ หรือ?”
รุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างกำลังนึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาเกี่ยวกับกระดูกชิ้นนี้
เนิ่นนานมาแล้ว จ้าวเหนือหัวผู้ไร้เทียมทานได้เข้าไปสำรวจยังดินแดนลึกลับ จากนั้นเขาก็พบเข้ากับโครงกระดูก จ้าวเหนือหัวโบราณมิได้สนใจกระดูกเหล่านั้นมากมายนักและเหยียบย่ำลงไป
ทว่า ภายในชั่วพริบตา จ้าวเหนือหัวคนนั้นกลับกลายเป็นเพียงบ่อน้ำโลหิตและตกตายลงอย่างสมบูรณ์ กระทั่งดวงวิญญาณยังมิอาจจะหนีพ้น
หลังจากข่าวเช่นนี้แพร่ออกไปถึงหูของผู้ยิ่งใหญ่แห่งหอวิญญาณทองคำคนหนึ่ง คนผู้นั้นจึงได้เข้าไปยังดินแดนดังกล่าวเพื่อค้นหาโครงกระดูกนั้น ทว่า หลังจากที่เขาไปถึง กลับไม่พบโครงกระดูกใด มีเพียงกระดูกนิ้วก้อยเท่านั้นที่เขาพบเจอ
เขาจึงหยิบกระดูกชิ้นนั้นขึ้นมาและชำระล้างมัน ไม่คาดคิดเลยว่ากระดูกนิ้วก้อยในตำนานจะถูกส่งต่อมายังเซียนสาวผู้นี้ และมาปรากฏในแดนลึกลับต่อหน้าต่อตาพวกมัน
ต้องรู้ก่อนว่าในกรณีเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดที่แข็งแกร่งพอจะต่อกรได้ อย่างไรเสีย โครงกระดูกนั้นก็สามารถกำราบจ้าวเหนือหัวผู้ไร้เทียมทานได้อย่างง่ายดาย แล้วเหตุใดมันจะไม่สามารถสยบพวกรุ่นเยาว์ตัวน้อยได้กันเล่า?