ตอนที่ 2 ผู้สังเกตการณ์นิรนาม (1) [อ่านฟรี]
เพลย์เยอร์พรสวรรค์เต็มพิกัด
ตอนที่ 2 ผู้สังเกตการณ์นิรนาม (1)
วันที่ 27 เมษายน 2571
ตามปกติแล้ว คิม ฮยอกจินจะเดินถือหนังสือและอ่านมันไปพล่าง ๆ พร้อมกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบ แม้ว่าเขาจะอยู่ในยุคที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตเหมือนกับในเกมอย่างเช่น ‘ดันเจี้ยน’ และ ‘สนามต่อสู้’ เป็นกิจวัตรและผู้คนยังต่างพากันคลั่งไคล้ไปกับอาชีพใหม่ของพวกเขาในฐานะ ‘เพลย์เยอร์’ มันคือโลกที่ไม่เหมาะสมกับคนแบบเขาอย่างสิ้นเชิง
‘เราต้องพยายามอ่านหนังสือให้มาก ๆ'
รายได้ของเขาในการเป็นข้าราชการนั้นมันก็ดีมากแล้วสำหรับคนธรรมดาอย่างคอม ฮยอกจิน และเพื่อที่จะได้เป็นข้าราชการเขานั้นต้องมั่นศึกษาอ่าหนังสือให้มาก ๆ
“อึ้ยยย วันนี้อากาศหนาวจริง ๆ ”
ขณะนี้เวลา 5.20 น. สายลมยามเช้าจากฤดูใบไม้ผลิที่ยังไม่ได้เข้าสู่ฤดูร้อนเต็มที่ทำให้วันนี้เป็นวันที่อากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ ผู้คนที่ต้องตื่นออกมาข้างนอกในตอนตี 5 ต่างก็ต้องส่วมผ้าคลุมไว้ในขณะที่พวกเขาเดินไปที่จุดหมาย
ห้องสมุดที่เขาจะไปนั้นตั้งอยู่ที่ จงโน ซึ่งอยู่ห่างจากป้ายรถประจำทางไปประมาณห้าป้าย เมื่อมองไปที่จอแสดงผลอิเล็กทรอนิกส์ รถบัส 702A กำลังจะมาถึงในอีกสองนาที
‘เหมือนมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ ...’
ไม่ใช่ว่าเขานั้นจงใจมองสังเกตุไปรอบ ๆ ตัว แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากทุกที ถ้ามีคนถามเขาว่าเป็นอะไร เขาคงไม่สามารถที่จะให้คำตอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้มันมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปจนเขาต้องเก็บมาครุ่นคิด
‘คิดสิ! คิด’
ป้ายโฆษณาของป้ายรถเมล์มีเครื่องสำอางที่จำหน่ายโดย ‘พิ้งค์ เวลเวต’ ซึ่งเป็นกลุ่มไอดอลที่เคยมีชิ่อเสียงในอดีต
‘พวกเขากลับมาดังกันอีกรอบงั้นเหรอ?’
คิม ฮยอกจิน นั้นไม่รู้อะไรเพราะช่วงนี้เขานั้นไม่ได้ดูทีวีเลยมากสักระยะแล้ว ในบรรดากลุ่มไอดอลทั้งหมด พิ้งค์ เวลเวต นี้น่าจะอยู่มานานพอที่จะทำให้ถูกมองว่าเป็นคนโบราณจากรุ่นดึกดำบรรพ์ได้เลย
‘นี่ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว แต่ทำไมพวกเธอถึงดูเหมือนเดินไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ’
ใบหน้าของพวกเธอนั้นเหมือนกับที่เขาจำได้เมื่อสิบปีที่แล้ว เขาเคยได้ยินสำนวนที่ว่าคนดังมักมี ‘ผิวพรรณที่ไม่เคยเสื่อม’ มาหลายครั้งแล้ว แต่สิ่งนี้มันทำให้เขาสงสัยว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาใช้สารอะไรกันถึงได้ไม่แก่ไม่ดูเสื่อมสภาพไปเลย ใบหน้าของพวกเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาล้วงเข้าไปที่กระเป๋าของเขา
‘อยู่ไหนน้า ... อ่า นี่ไง’
___________________________________________________________________________
สิบปีก่อน จงโน คือจุดเริ่มต้นของหายนะ
___________________________________________________________________________
เขาอ่านสมุดบันทึกในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประวัติศาสตร์ในสมัยใหม่นั้นเป็นวิชาที่สำคัญที่สุดในการสอบเข้าราชการในปัจจุบันและบันทึกเหล่านี้ได้จัดเรียงลำดับเวลาโดยประมาณของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ตลอด ‘สิบปี’ ที่ผ่านมา
เมื่อรถบัสมาถึงป้ายแล้ว ประตูรถก็เปิดออกและเขาก็เดินขึ้นบันไดรถไปทันที
[บทฝึกสอนจะเริ่มต้นด้วยหมอกบรรพกาล]
รถบัสคันนี้กำลังจะไปที่ป้ายสถานีจงโน ที่เดียวกับที่เป็นศูนย์กลางของหายนะเมื่อสิบปีก่อน
[จาก 150,000 คน เสียชีวิตไปประมาณ 145,000 คน]
ขณะที่ คิม ฮยอกจิน กำลังจดจ่ออยู่กับบันทึกประวัติศาสตร์ เขาก็เริ่มได้ยินเสียงบ่นบางอย่าง
“ฮืม? นี่มันเกิดอะไรขึ้นอยู่ ๆ ก็มีหมอกงั้นเหรอ?”
“อะไรนะ?”
“คุณมองไม่เห็นเหรอไงที่ข้างนอกนั่นหน่ะ ”
สมาธิของเขาในการอ่านหนังสือต้องหยุดลงเมื่อมีคนจำนวนมากเริ่มเอะอะโว้ยวายเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
‘ฮืม?’
ชั่วขณะหนึ่งเขาก็พูดอะไรไม่ออก
‘นี่...คืออะไร?’
มันคือหมอกใช่ไหม?
‘ผมแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย’
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ คอม ฮยอกจิน ได้เห็นหมอกหนาทึบที่ใจกลางกรุงโซล หมอกบรรพกาลเมื่อสิบปีที่แล้วอาจจะหนาแบบนี้ก็เป็นได้
‘หมอกหนามากเกินไปแล้ว’
มันหนามากจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือของเราที่ชูขึ้นมาอยู่ต่อหน้าของเราได้เลย ทันใดนั้น คิม ฮยอกจิน ก็นึกถึงบันทึกที่เขาเพิ่งอ่านไปได้
___________________________________________________________________________
สิบปีก่อน จงโน คือจุดเริ่มต้นของหายนะ
บทฝึกสอนเริ่มต้นด้วยหมอกบรรพกาล
___________________________________________________________________________
รถบัสถึงกับต้องชะลอความเร็วลงมากเนื่องจากคนขับมองไม่สามารถมองเห็นรถคันข้างหน้าที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรได้เลย หมอกหนามากจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา
‘กลิ่น...?’
คิม ฮยอกจิน ได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ มันเหมือนกับกลิ่นท่อระบายน้ำหรือถ้ามีใครตดก็คงจะเป็นกลิ่นที่เหม็นเป็นพิเศษจริง ๆ นี่มันเหม็นจนทำให้เขากอยากอ้วก อยากจะอุดจมูกทั้งสองรู แต่เขาก็ต้องทน
‘กลิ่นท่อระบายน้ำ?’
คอม ฮยอกจิน มองย้อนกลับไปที่สมุดบันทึกของเขา
___________________________________________________________________________
ด้วยกลิ่นท่อระบายน้ำที่น่าขยะแขยง.....
___________________________________________________________________________
บี๊บ—! บี๊บ—!
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นและเขาได้ทำการส่งสัญญาณแจ้งเตือนฉุกเฉินไปแล้ว แต่เนื้อหาที่ตอบกลับมา:
[เขตโซลจงโนอยู่ในพื้นที่ที่มีหมอกหนา มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการจราจร]
เขาไม่สามารถละสายตาออกจากสมุดบันทึกได้
___________________________________________________________________________
—และการออกประกาศฉุกเฉินไปยังพื้นที่กรุงโซล…
___________________________________________________________________________
คิม ฮยอกจิน นึกขึ้นได้ทันท่วงที เขารีบมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง
จงโน
กลิ่นท่อระบายน้ำเน่าเสีย
หมอกหนา
ประกาศฉุกเฉิน
นั่นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเขาเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน มันมาจากภาพยนตร์? นวนิยาย? เขารู้สึกขนลุกซู่ที่แขน ไม่สิ มันไม่ได้มาจากภาพยนตร์หรือนวนิยาย ไม่ใช่เลย แต่นี่เป็นฉากที่เขานั้นคุ้นเคยอย่างแน่นอน
‘ไม่มีทาง’
ร่างกายของเขาเริ่มสั่น ความคิดของเขาว่างเปล่า
‘ไม่ เป็นไปไม่ได้’
เขาหันกลับไปดูสมุดบันทึก ที่ด้านล่างสุดของหน้าสมุดบันทึกที่เขาถืออยู่คือข้อมูลเนื้อหาที่เขานั้นได้จดและจัดระเบียบสรุปเอาไว้
___________________________________________________________________________
วันที่ 27 เมษายน 2018 หายนะได้เริ่มต้นขึ้นด้วยหมอกหนาที่ปกคลุมเขตจงโน
___________________________________________________________________________
แขนขาของเขาเริ่มสั่น ในขณะที่คนอื่น ๆ ยังคงเอาแต่พูดว่า “เกิดอะไรขึ้น” หรือ “ ฉันไม่เคยเห็นหมอกแบบนี้มาก่อนเลย ” ด้วยความหลงใหล แต่ถ้านี่คือ ‘หายนะ’ ที่เขาคิดจริง ๆ แล้วละก็ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งประหลาดใจอย่างแน่นอน
‘นี่มัน... ไม่มีเหตุผลเลย’
เขาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เขาได้เห็นกับตาเลย
‘นี่ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?’
ไม่มีอะไรอื่นที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้นอกว่ามันคือความฝัน เขาไม่รู้เลยว่าทำไมเหตุการณ์ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์ ‘สิบปี’ ที่แล้วจึงเกิดขึ้นอีกครั้งต่อหน้าต่อตาเขา มันทำให้เขางุนงง ทำไม? ได้ยังไง? เป็นแบบนี้ได้ยังไง? เหตุการณ์นี้จะมีใครสามารถอธิบายได้ไหม?
‘วะ-วันอะไร...วันนี้วันที่อะไร?’
เขาต้องจัดการทำอะไรสักอย่าง
‘มือถือของฉันไง ใช่แล้ว ไหนดูสิ๊ว่าคือวันที่เท่าไหร่?’
เขาเหลือบมองไปที่มือถือของเขาและมองดูวันที่อย่างเร่งรีบ
‘วันที่ 27 เมษายน’
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง
“ฮึก! ”
เขาหยุดหายใจไปโดยไม่รู้ตัว
‘2018?’
เขาพึ่งออกมาจากบ้านมาอย่างแน่นอนเมื่อปี 2028 และกำลังเดินทางไปจงโนในปี 2028 เขานั่งรถบัสแน่นอน แต่วันที่ในมือถือของเขากำลังบอกเขาว่าปีนี้เป็นปี ‘2018’ มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาคิดออกเลยจริง ๆ และอีกอย่างหนึ่งที่เขาพึ่งจะสังเกตเห็นว่ามือถือที่อยู่ในมือของเขานั้นเปลี่ยนเป็นมือถือรุ่น ‘S8’ ที่เขานั้นเคยใช้เมือปี 2018 แต่นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
‘นี่ฉันเป็นบ้าไปแล้วงั้นเหรอ?’
แค่พูดว่าเขากำลังจะเป็นบ้าคงยังไม่พอ มีอีกหนึ่งอย่างที่เรียกกันว่าสติแตก
‘ฉันย้อนกลับมาเมื่อสิบปีที่แล้วจริง ๆ เหรอ?’
ดูเหมือนว่าเขาจะได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีที่แล้วที่กำลังขึ้นรถบัสสาย จงโน-เร้าต์ เมื่อสิบปีที่แล้ว เขาไม่รู้เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่นั่นคือข้อสรุปเดียวที่เขาคิดได้ มันอาจจะดูไร้สาระ แต่นั่นคือข้อสรุปเดียวที่เขาพอจะคิดได้
‘นี่มันบ้าไปแล้ว…!’
หัวใจของ คิม ฮยอกจิน เต้นแรงอย่างวิ่งมาเป็นสิบๆกิโล มีเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น เขากำลังจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ เขาจำได้ว่าเขาออกจากบ้านมาตามปกติเหมือนทุกครั้งและเดินไปที่ห้องสมุดตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็อายุหายไปสิบปีได้ยังไง? นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรเนี่ย? เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่เข้าใจยากเช่นนี้ หัวของเขาก็มึนงงไปหมด
‘ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปในปี 2018 จริง ๆ …’
ถ้ามีโอกาสที่เขาจะได้ย้อนกลับไปที่จงโนในวันที่ 27 เมษายน…
‘บ้าไปแล้ววว…!’
ถ้าเขาไม่ระวังตัวมากพอเขาก็อาจจะตายได้เพราะเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2018: นั่นคือวันที่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ มีผู้เสียชีวิตถึง 150,000 รายในสัปดาห์แรกและช่วงเวลาถูกที่เรียกว่า ‘โอเพ่นเบต้า’ หรือ ‘บทฝึกสอน’ ก็มีเพียง 5,000 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต อัตราการเอาชีวิตรอดนั้นนับว่าโหดร้ายอย่างยิ่ง
‘ตามสัดส่วนแล้วนั่นคงเพียง 3% เท่านั้น’
97% เสียชีวิตและ 3% ที่เป็นผู้รอดชีวิต—นั่นคือจงโนในปี 2018 เขาตัดสินใจที่จะพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
‘ถ้าไม่ตั้งสติให้ดีฉันจะต้องตาย’
คิม ฮยอกจินไม่อยากตายอย่างน่าสมเพช เขาตัดสินใจว่าเขาจะคิดทบทวนว่าเหตุการณ์ต่อไปทั้งหมดจะมีอะไรบ้างเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป เพราะถ้านี่คือจงโนในปี 2018 ก็มีโอกาสถึง 97% ที่เขาอาจจะตายได้
เมื่อเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด การแจ้งเตือนก็ปรากฏขึ้น
[ บทฝึกสอนจะเริ่มต้นอีกในไม่ช้า ]
[ เหล่าเพลย์เยอร์โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ]
นี่เป็นการยืนยันที่ค่อนข้างจะชัดเจนมากแล้วสำหรับคิม ฮยอกจิน
‘แม้แต่การแจ้งเตือนนี้ก็เกิดขึ้นจริง’
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาต้องยอมรับแล้วว่าเขาได้ย้อนกลับไปสู่อดีต เขานั่งลงบนที่นั่งในรถบัส เขาเรียบเรียงความคิดของเขาอีกครั้ง แขนขาของเขายังคงสั่นไม่หยุด แต่เขาพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขารู้อนาคต อันที่จริง เขารู้ดีอยู่แล้ว เพราะเขาได้อ่านและท่องจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสิบปีที่ผ่านมามาตลอดสามปีที่ผ่านมา
‘แกต้องใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ นะ คิม ฮยอกจิน’
เขากัดริมฝีปากแน่น จากนั้นหลับตาลงครู่หนึ่ง เขาต้องตั้งสติให้กับตัวเอง
ทันทีที่หมอกจางลง เขาจะได้เห็นนรกที่แท้จริง เขาจะได้เห็นกองเลือดและผู้คนที่ถูกกินโดยพวกก๊อบลินทั้งเป็น หลายคนอาจจะตายไปแล้ว พูดตามตรงเขากลัวและกลัวมาก
‘ใช่แล้ว ยังไงตอนนี้ฉันก็ได้เปรียบอยู่ ฉันต้องเชื่อมั่นเข้าไว้’
เขามีข้อได้เปรียบอย่างมาก เขาต้องทำได้ เขาต้องมีชีวิตรอด เขาตั้งสติให้ตัวเองด้วยการพูดคำเหล่าซ้ำอยู่หลายครั้ง
‘เอาล่ะ ตอนนี้... มาโฟกัสที่การเอาตัวรอดกันเถอะ’
เขาทำได้อย่างแน่นอน เขาสามารถเอาตัวรอดได้ ถ้าเขานั้นย้อนเวลากลับไปในอดีตได้จริง ๆ เขาจะสามารถช่วยแม่ของเขาที่เขาไม่สามารถจ่ายค่ารักษาของแม่ได้และพี่สาวของเขาก็ไม่ต้องลาออกจากโรงเรียนแล้วไปทำงานที่โรงงานเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนของเขา
พี่สาวของเขาที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในขณะทำงานที่โรงงานเซมิคอนดักเตอร์เพื่อหาเงินมาดูแลเขา… ครั้งนี้ เขามีโอกาสที่จะได้กลายเป็นคนช่วยเธอบ้าง
‘ฉันจะต้องทำมันให้ได้’
แม้ว่าฉันจะเคยสัมผัสกับประสบการณ์ดันเจี้ยนใน VR เท่านั้น แต่เขาก็เคยได้อ่านคู่มือกลยุทธ์มาเป็นพันครั้งและดูวิดีโอในยูทูปเกี่ยวกับเรื่องนี้มามากกว่าหมื่นครั้ง มีดันเจี้ยนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เลียนแบบจงโนเมื่อสิบปีที่แล้วและคู่มือกลยุทธ์ที่แสดงเนื้อหาของดันเจี้ยนเหล่านั้นก็แพร่หลายไปทั่วตลาด
คิม ฮยอกจิน เป็นหนึ่งในคนที่สามารถจดจำข้อมูลทั้งหมดนั้นได้ด้วยการท่องจำ
‘ฉันเอาตัวรอดจากบทฝึกสอนนี้ได้แน่นอน’
เขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจ แต่ถ้าเขาย้อนกลับไปอดีตจริง ๆ แม่ของเขาก็จะยังมีชีวิตอยู่ และพี่สาวของเขาก็จะไม่ต้องไปทำงานที่โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ อย่างน้อยเขาก็สามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตได้มากมาย นี่อาจนับได้ว่าเป็นโอกาสทองสำหรับเขา
‘ฉันต้องมีชีวิตรอดออกไปให้ได้’
เขายังคงนั่งหายใจเข้าลึก ๆ เขาหลับตาลงและจัดระเบียบเรียบเรียงความคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด
เขาต้องทำอย่างไรถึงจะผ่านบทฝึกสอนนี้ไปได้ เขาต้องทำอะไรต่อจากนี้
แขนขาของเขาสั่นตลอดเวลา แต่เขาก็พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด
‘ฉันต้องทำได้’
ความตั้งใจที่จะเอาตัวรอดของเขามีมากกว่าความตกใจที่เขากำลังรู้สึกเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้นี้
‘หมอกบรรพกาลและคลื่นลูกที่ 1 คือการบุกโจมตีของก็อบลิน’
เขาจะผ่านการบุกโจมตีของก๊อบลินไปได้อย่างไร? การคิดไตร่ตรองถึงความสามารถของเขาที่แสดงให้เขาเห็นว่าเขาเป้นเหมือนดั่งเพลย์เยอร์คนธรรมดา คน ๆ หนึ่งที่แทบจะไม่มีความสามารถอะไรเลยจะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร?
‘คนที่นี่ในตอนนี้ก็ต้องไม่มีพรสวรรค์เหมือนกันอย่างแน่นอน’
พวกเขารอดชีวิตมาได้ยังไง? อัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ 3% เขาต้องเป็นหนึ่งใน 3% นั้นให้ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งและร่างวางแผนคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องทำภายในห้วงความคิดของเขา
'บทฝึกสอน เนื่องจากตอนนี้ฉันอยู่ในรถบัส อาจจะมีการประกาศเขตเซฟโซนหรือเขตปลอดภัยออกมาทีหลังตามเงื่อนไข’
เขาคิดวางแผนทุกการกระทำที่เขาต้องทำทีละส่วน เขารู้สึกประหลาดใจที่สมาธิของเขาดีมากขนาดไหน ดูเหมือนว่าความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตรอดของเขาจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด เขาสงบสติอารมณ์และปรับตัวได้เร็วกว่าที่คิด
เรียบเรียงทุกขั้นตอนออกมาได้ดีจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่ได้รับการประเมินออกมาว่า [ ไม่มีพรสวรรค์ ]
ทันใดนั้นเองก็มีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นในระยะเวลาอันสั้น เขาได้วางแผนเอาไว้อยู่หลายอย่างภายในใจของเขา โดยทุกแผนนั้นล้วนเน้นถึงวิธีที่เขาจะสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของเขาได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่เขาไม่เคยคิดพิจารณาถึงข้อความต่อไปนี้
[ ‘ผู้สังเกตการณ์นิรนาม’ กำลังเฝ้าดูการกระทำของคุณอย่างระมัดระวัง ]
[ ‘ผู้สังเกตการณ์นิรนาม’ เริ่มสนใจในตัวคุณแล้ว ]
ความคิดของเขาหยุดชะงักทันที
‘ผู้สังเกตการณ์นิรนาม…?’
ผู้พิทักษ์เริ่มสนใจในตัวเขา
‘แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าผู้พิทักษ์มักจะให้ความสนใจกับพวกที่มีพรสวรรค์มากที่สุดนี่’
ผู้พิทักษ์ไม่ได้ตามล่าหาเพลย์เยอร์ที่มีความสามารถตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ลงทุนกับพวกเขาไม่ใช่เหรอ? พวกผู้พิทักษ์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการปฏิบัติต่อคนที่ไร้พรสวรรค์อย่างกับไม่ใช่มนุษย์เลยด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาถึงสนใจคิม ฮยอกจิน
นั่นไม่ใช่เพียงข้อความเดียวที่ทำให้เขานั้นไม่เข้าใจ