วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0043
บทที่ 17 แก่นแท้ของภูตธาตุ (1)
* * *
เนื่องจากยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหาสปริกแกนพบ หากปล่อยศพฟาร์มมิ่งเวิร์มทิ้งไว้ในโพรงถ้ำ สัตว์ร้ายในละแวกใกล้เคียงอาจแอบมากินจนเสียหาย
นั่นคือเหตุผลที่ต้องนำศพกลับมาก่อน อันที่จริง ฉันสามารถสั่งให้ชาวบ้านผลัดเวรกันเฝ้าได้ แต่ก็กลัวจะกินเวลานานเกินไป
ในทางกลับกัน เหมืองร้างฝั่งตะวันตกใช้เวลาเดินทางแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และถ้ามีพิกัดของสปริกแกน การค้นหาคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ปัจจุบัน ด้านนอกกระท่อมยังมีศพของฟาร์มมิ่งเวิร์มวางอยู่
ยังนำมาใช้งานเป็นเครื่องปั่นไฟตรงๆ ไม่ได้ ต้องผ่านกระบวนการอีกเล็กน้อย และฉันก็มีไอเดียในหัวแล้ว
ด้านนอกกระท่อมยังคงมีเสียงดังอื้ออึ้ง ชาวบ้านทยอยออกมามุงศพฟาร์มมิ่งเวิร์มมากขึ้นเรื่อยๆ
มากันหมดหมู่บ้านแล้วมั้ง?
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“นี่มัน…”
เป็นจองจีฮุน ฉันคิดว่าควรออกไปต้อนรับ
“ลิลี่ รออยู่ข้างในก่อนนะ”
“อื้อ แล้วอย่าหนีข้าไปตะวันตกคนเดียวล่ะ”
ฉันพยักหน้าและเดินออกมา ไทยมุงกำลังเอะอะพลางฉายไฟไปทางศพฟาร์มมิ่งเวิร์ม
โชคดีที่ไม่มีใครเข้ามาจับศพส่งเดชโลกนี้อาจเต็มไปด้วยคนนิสัยแย่ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่หลุดกรอบสามัญสำนึก
เมื่อฉันเข้าใกล้ฟาร์มมิ่งเวิร์มชาวบ้านต่างพากันก้าวถอยหลัง
แตกต่างจากคนที่ถอยออกไป จองจีฮุนเผยแววตาที่น่าประทับใจ
“บาดเจ็บตรงไหนไหมครับ”
“ไม่”
จองจีฮุนหันกลับไปมองฟาร์มมิ่งเวิร์มอีกครั้ง
ไส้เดือนที่ดูคล้ายกับหนอนดักแด้แข็งๆ
อิทธิพลจากภาวะศพแข็งตัว ความยาวลดลงแต่ตัวอ้วนขึ้น
“…คุณไปเหมืองร้างทางตะวันตก เพราะได้รับการจ้างวานไม่ใช่หรือครับ”
“ก็ใช่”
“คุณก็เลยจับมันมาที่นี่?”
หงึก
“…แต่พวกเขาแค่จ้างให้คุณสืบสวนไม่ใช่หรือ”
“ใช่”
“ทำเกินสโคปงานสินะครับ… ได้แต่นึกสงสัยว่า OW รีซอร์ซจะจ่ายค่าจ้างคุณไหวหรือ”
“ฉันไม่ได้ฆ่ามันเพราะบริษัทจ้าง แต่ฆ่าและนำกลับมาเพราะฉันต้องการ เป็นสถานการณ์วิน-วินสำหรับเราน่ะ”
นั่นอาจเป็นคำตอบที่คาดไม่ถึง จองจีฮุนจึงอึ้งไปเล็กน้อย
“ขอถามได้ไหมครับ คุณจะเอาฟาร์มมิ่งเวิร์มไปทำอะไร”
“สร้างอุปกรณ์… มาก็ดีแล้ว วานอะไรหน่อยได้ไหม”
เดิมที ฉันคิดจะไปหาสปริกแกนก่อน แต่โอกาสที่จะสะสางทุกสิ่งพร้อมกันมาถึงแล้ว
เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือที่จะทำสองงานเสร็จพร้อมกัน?
ฉันเขียนชิ้นส่วนที่จำเป็นลงบนกระดาษและยื่นให้จองจีฮุน
จองจีฮุนก้มหน้าอ่านสักพักก่อนจะผงกศีรษะ
“หาไม่ยากครับ พรุ่งนี้ช่วงเย็นจะให้คนมาส่ง”
“แล้วก็ ฉันจะไปข้างนอกสักพัก ช่วยเฝ้ามันไว้ก่อนได้ไหม”
ฉันมองไปทางศพฟาร์มมิ่งเวิร์ม
อันที่จริง ฉันไม่คิดว่าจะมีใครกล้ามายุ่มย่าม แต่กันไว้ดีกว่าแก้
จองจีฮุนพยักหน้าเป็นนัยว่าไม่มีปัญหา
“เรามีเจ้าหน้าที่ในเบสแคมป์อยู่แล้ว ผมจะบอกให้พวกเขาคอยลาดตระเวนแถวนี้”
“ฝากด้วย”
“ฉันก็จะช่วยเฝ้าจากในกระท่อม”
ชาโซฮีที่ยืนฟังจากด้านข้างพูดขึ้น
“แต่สัญญานะ นายต้องเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น… ฉันตามไม่ทันแล้ว”
ดูเหมือนว่าศพของสัตว์ยักษ์จะทำให้ชาโซฮีตกตะลึงพอสมควร
คลายกังวลไปอีกเรื่อง… คงไม่มีฮาวนด์หน้าไหนกล้ามายุ่งกับเราในช่วงนี้อยู่แล้ว…
ฉันออกเดินทางไปยังเหมืองร้างทิศตะวันตก
* * *
เมดูซ่าภายในเหมืองถูกกวาดล้างจนเหี้ยน เป็นฝีมือของชาวบ้านทางใต้ที่ฉันเรียกมาช่วยงาน
สำหรับชาวบ้านทั่วไป พวกเขาต่อสู้ได้ดีกว่าที่คิด
“หมู่บ้านที่ไม่มีเมืองคอยคุ้มครอง ส่วนใหญ่จะพร้อมรบตลอดเวลา”
“อ้อ…”
“พวกเขาต้องเอาตัวรอดด้วยกำลังตัวเอง”
ฉันเข้าใจคำพูดลิลี่ ต่างโลกเต็มไปด้วยความโหดร้าย มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งพอเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
เราสองคนเดินเข้าไปในถ้ำตะวันตกพลางพูดคุยเรื่อยเปื่อย
เส้นทางที่เคยผ่านมาแล้วย่อมใช้เวลาน้อยลง จึงเหลือเวลามากขึ้นสำหรับการสนทนา
“ข้ามีคำถาม”
เสียงลิลี่ดังมาจากด้านหลัง
“เจ้าคิดจะทำอะไรกับศพฟาร์มมิ่งเวิร์ม”
“เครื่องกำเนิดไฟฟ้า… ในศพของมันมีอวัยวะพิเศษ ถ้าเป็นฟาร์มมิ่งเวิร์มตัวใหญ่ขนาดนี้ กำลังไฟคงเพียงพอต่อการใช้งาน”
“ฉันจะไม่ถามว่าทำไมเราถึงต้องมีไฟฟ้า แต่สักวันศพก็ต้องเน่าไม่ใช่หรือ”
“แน่นอน”
เมื่อสิ่งมีชีวิตตาย ศพจะเน่า ไม่ว่าฟาร์มมิ่งเวิร์มจะตัวใหญ่ขนาดไหนก็หลีกหนีสัจธรรมไม่ได้ ศพไม่มีทางคงสภาพเดิมตลอดไป
ฉันมีสองสามไอเดียในการแก้ไขปัญหา แต่ยังไม่มีวิธีใดที่รับประกันผลลัพธ์ ต้องลองลุยไปก่อนเท่านั้น
ณ ปัจจุบัน สิ่งที่ต้องขบคิดมีเพียงเรื่องของสปริกแกน
โดยไม่รู้ตัว พวกเราเดินมาถึงโพรงยักษ์แห่งแรก ฉันนำแผนที่ที่คนแคระวาดให้ออกมากาง
มันถูกวาดอย่างหยาบ แต่ฉันก็เข้าใจตำแหน่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
จุดหมายปลายทางอยู่ถัดจากห้องที่พวกเราเคยไปถึง
การเคยมาเยือนครั้งหนึ่งทำให้รอบที่สองเร็วขึ้น ไม่นานพวกเราก็มาถึงโพรงยักษ์ขนาดพอๆ กับที่ฉันล่าฟาร์มมิ่งเวิร์ม
ที่นี่เคยแห้งแล้งราวกับทะเลทราย
“…สุดยอด”
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน สภาพแวดล้อมแถวนี้แห้งผากและแตกระแหง
ฉันเคยกังวลว่ารากภูเขาอาจพังถล่ม
ทว่า
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่พวกเราไม่อยู่?”
“พลังธรรมชาติที่ไหลผ่านรากภูเขา คือพลังงานแห่งชีวิต”
ตามที่ลิลี่บอก ดูเหมือนว่าภูเขาทั้งลูกจะรวมกันเป็นหนึ่งชีวิต
รอยแยกบนผนังถูกเติมเต็มด้วยคริสตัลสีใส คล้ายกับการสมานบาดแผล
กลิ่นหอมๆ ลอยมาจากสายลมเย็นฉ่ำ ซึ่งไม่รู้ว่าพัดเข้ามาจากทางไหน
โสตประสาทของฉันได้ยินบางสิ่งที่คล้ายกับเสียงเพลงบางๆ
โพรงทั้งโพรงกำลังส่องแสงสีฟ้าอ่อน
น่าจะเป็นกลไกที่รากภูเขาใช้รักษาตัวเอง
“งดงามมาก… ข้าก็เพิ่งเคยเห็นกับตา”
หลังจากเห็นภาพดังกล่าว ดวงตาของลิลี่ที่เคยเยือกเย็น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ครั้งใหญ่
“เจ้าช่วยรากภูเขาไว้ได้… ฟาร์มมิ่งเวิร์มเกือบทำลายทุกสิ่งไปแล้ว”
“มันคงไม่ได้คิดจะทำลาย”
ลิลี่ค่อยๆ หันหน้ามาทางฉัน
“ฟาร์มมิ่งเวิร์มไม่ใช่วายร้าย เป็นเพียงหนึ่งในสมาชิกของระบบนิเวศน์ และนี่คือทางเลือกในการดำรงชีวิต”
“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น…”
ลิลี่หันกลับไปมองตรงอีกครั้ง
“…ก็คงจะจริง”
“ฉันประทับใจภาพแบบนี้มาก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกลไกของระบบนิเวศน์ที่ไม่เคยรู้จัก”
“…เจ้าชักจะพูดเหมือนปราชญ์ธรรมชาติเข้าไปทุกที”
ในวัฏจักรธรรมชาติไม่มีคำว่าดีหรือชั่ว
ฉันใช้ชีวิตด้วยหลักการนั้นมาตลอด ใครจะถูกจะผิด ฉันก็แค่ยอมรับและเฝ้ามองความขัดแย้งอันซับซ้อนจากวงนอก
เมื่อลองมองย้อนกลับไป นั่นอาจเป็นนิยามของอิสรภาพ
“ฉันท่องโลกเพื่อจะได้เห็นภาพแบบนี้”
อาจเป็นความรู้สึกเดียวกับนักสำรวจที่เดินทางข้ามทวีปและค้นพบป่าแอมะซอน
ที่ผ่านมา ทุกเรื่องที่ฉันทำ ก็เพื่อให้ได้ดื่มด่ำช่วงเวลาอันแสนล้ำค่าเหล่านี้
ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่ง
ไม่ต้องเสกลูกไฟ อากาศภายในห้องเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนในตัวเอง ช่วยให้มองเห็นเพดานได้ไม่ยาก
คริสตัลสีใสทยอยปรากฏขึ้นบนเพดานอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง
ลิลี่กับฉันยืนแหงนหน้ามองเป็นเวลานาน
จนกระทั่งฉันเปิดปาก
“ลิลี่”
“อื้อ”
“เธอบอกว่าสปริกแกนอาศัยอยู่ในรากภูเขา หน้าตามันเป็นยังไง?”
ผิดไปจากที่คาด ลิลี่ส่ายหัว
“ข้าไม่ทราบ ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ ข้าไม่เคยเห็นภูตธาตุด้วยตาตัวเองมาก่อน”
“ไม่เคยเห็นกับตา? แต่อาณาจักรของเธอเป็นมิตรกับภูตธาตุ”
“มารดาของข้ามีโฉมผู้ปกครอง คนอื่นนอกจากท่านจะไม่เคยเห็นภูตธาตุ แต่สามารถยืนยันได้ว่ามีตัวตนอยู่จริงผ่านการศึกษาหลักฐานทางอ้อมจำนวนมาก… กล่าวคือนอกจากผู้ปกครอง จะไม่มีใครมองเห็นสปริกแกน”
แบบนี้นี่เอง
ถ้าอย่างนั้น เห็นทีฉันคงต้องตามหาด้วยตัวเอง
ขณะครุ่นคิด ฉันสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาด
เสียงร้องที่กำลังดังแว่ว
“…?”
เสียงที่มอบความรู้สึกไม่คุ้นเคย
เพราะยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกดี เหมือนกับได้ยืนกางแขนรับลมใจกลางหุบเขา
ทว่า
“เสียงเพลง…”
“หือ?”
“ไม่ได้ยินหรือ? เสียงเพลง”
ลิลี่เพ่งสมาธิไปกับการฟัง จนกระทั่งดวงตาแปรเปลี่ยน
“…ได้ยินแล้ว”
เสียงดังแว่ว
เสียงร้องภาษารูน
ลิลี่รีบกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยรูม่านตาสีแดงเข้ม
แวมไพร์ขุนนางจะมีพลังในการมองวิญญาณ ฉันสังเกตมาสักพักแล้วว่า รูม่านตาของเธอจะเปลี่ยนสีขณะใช้พลัง
ลิลี่ตรวจสอบทุกสิ่งรอบตัวอย่างละเอียดกว่าที่เคยทำ
ไม่นานก็เปิดปาก
“จางจนแทบมองไม่เห็น… ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงมองไม่เห็น?”
“เธอเห็นอะไร?”
“วิญญาณ… สีเขียวสว่าง… วิญญาณรูปร่างคล้ายต้นอ่อน”
“ที่ไหน”
“…ทุกที่”
ทิศทางของสายตาลิลี่คือใจกลางโพรงยักษ์ ฉันหันไปมองตาม
ไม่เห็นอะไรเลย
แต่เสียงที่ดังแว่วข้างหู ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องให้ลิลี่อธิบายก็เข้าใจ
สปริกแกนกำลังอยู่รอบๆ ตัวฉัน
หลังจากจ้องอากาศสักพัก ลิลี่เปิดปากอีกครั้ง น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“…โฉมวิญญาณชัดเจนขึ้นแล้ว”
ไม่ใช่การขยับเข้ามาใกล้ แต่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในตำแหน่งเดิม
ราวกับอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น
บางที มันอาจถือกำเนิดขึ้นที่นี่
ฉันเคยเข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโพรงถ้ำ เป็นผลจากการที่พลังธรรมชาติในภูเขาค่อยๆ กลับคืนสู่ราก
แต่ความจริงคืออะไร?
“…พลังธรรมชาติของภูเขาคือสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์”
สปริกแกนมีพลังในการสร้างชีวิต นั่นคือข้อเท็จจริงที่ฉันค้นพบสมัยดิ้นรนในต่างโลก
ในตอนนั้น ฉันอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
พลังในการสร้างชีวิต ไม่ขี้โกงไปหน่อยหรือ?
พลังงานสีฟ้าในอากาศเริ่มลอยมารวมกลุ่ม ราวกับพลังธรรมชาติกำลังก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิต
โฉมวิญญาณที่ลิลี่เห็น เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นเสียงเพลงของสปริกแกน
จนกระทั่ง รูปร่างหนึ่งถือกำเนิดขึ้นตรงหน้า
บางที สปริกแกนอาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยร่วมกับรากภูเขา
“…สปริกแกนไม่ได้กินพลังธรรมชาติ”
“หรือว่า…”
“มันถูกสร้างจากพลังธรรมชาติ”
ลิลี่พยักหน้ารับ
สิ่งที่เรากำลังเห็นไม่ใช่กลไกการซ่อมแซมตัวเองของรากภูเขา แต่เป็นการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตเชิงพลังงาน
เสียงร้องชัดเจนขึ้นทุกขณะ เบื้องหน้าฉัน กลุ่มแสงสีฟ้ามารวมตัวกันจนดูคล้ายหมอก
กลุ่มหมอกอันเกิดจากอนุภาคขนาดเล็กนับหมื่นที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อน
นั่นคือคำอธิบายที่เห็นภาพชัดที่สุด
ลิลี่จ้องฉัน ก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นั่นคือหน้าที่ของผู้คอยนำทางให้ผู้ปกครอง?
ขณะคิดเช่นนั้น ฉันเหยียดนิ้วออกไปด้านหน้า
ในวินาทีที่สำลีสีฟ้าอ่อนนุ่มพันรอบปลายนิ้ว ฉันเริ่มเข้าใจเนื้อหาของเสียงเพลงในหัว
「ผู้สืบทอดแห่งทองคำที่รักษาชีวิตพวกเราตอนป่วยไข้」
「ผู้สืบทอดแห่งทองคำที่พวกเราจะถวายตัวรับใช้」
「พวกเรา, กลุ่มผู้ปราศจากราชาซึ่งกำลังตามหาใบบุญให้พึ่งพิง, อดไม่ได้ที่จะขับร้องด้วยท่วงทำนองอันเปี่ยมสุข」
“เอ่อ…”
ควรตอบสนองยังไง?
เฉกเช่นเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับชาวบ้านทางใต้ รวมถึงการเชื่อมวิญญาณกับลิลี่
พิธีกรรมของชาวต่างโลก ทำเอาฉันกระอักกระอ่วนได้เสมอ
ฉันจ้องลิลี่ เธอแค่พยักหน้ารับ
ให้ทำตามใจได้เลย?
“…สวัสดี”
「สวัสดีเช่นกัน」
แสงสีฟ้าอ่อนโอบกอดฝ่ามือของฉัน
อบอุ่นมาก
เหมือนกับการจับมืออย่างเป็นมิตร
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel