เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 226
ตอนที่ 226
รุ่นเยาว์อัจฉริยะเกือบทั้งหมดต่างลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกมันต่างต้องการจะโจมตีหลินซวนเพื่อแย่งชิงสมบัติในมือของเขา
พวกมันทั้งหลายต้องมีความหยิ่งทะนงในตนเองอย่างถึงขีดสุด ไม่มีใครมีความคิดจะหลบหนีแม้แต่น้อยต่อให้เห็นว่าเล่ยหยุนซีพ่ายแพ้ไป
ตูม!
เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น เป็นตุยเฟิ่งที่เข้าจู่โจม มันเมินเฉยต่อถ้อยคำของผู้อื่นด้วยสีหน้าเย็นชา
จากนั้น สมบัติที่มีรูปร่างคล้ายขวดแก้วก็ปรากฏในอุ้งมือของมัน ปากขวดนั้นเริ่มปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมาอย่างช้าๆ
มันถึงขั้นใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลเทียนจินในทันทีที่จู่โจม อันที่จริงแล้ว สิ่งที่แปลกประหลาดเล็กน้อยในหมู่ตระกูลนี้ก็คือพวกมันทั้งหมดมิใช่มนุษย์หรือสัตว์อสูร ทว่าพวกมันคือโลหะวิเศษ
ปราณวิญญาณในร่างของตุยเฟิ่งมีจำนวนมหาศาล และสมบัติที่ปรากฏในมือของมันก็ทรงอำนาจ
นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตระกูลเทียนจิน
เมื่อประกอบกับการเคลื่อนที่ของมัน อักขระเต๋าจำนวนมากก็ทะลักออกจากปากขวดนั้นพร้อมด้วยปราณกระบี่ที่ทรงพลัง
ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งทะยานออกมาและโจมตีเข้าใส่หลินซวนในทุกทิศทาง
“เหอะ!”
หลินซวนแค่นเสียงและยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม เขาเพียงยกมือขึ้นมา จากนั้นความว่างเปล่ารอบด้านก็สั่นสะเทือน รูปแบบอักขระแห่งเต๋ามากมายปรากฏขึ้นจากอากาศ ก่อนที่พวกมันจะเริ่มเปลี่ยนร่างกลายเป็นอสูรดุร้ายและสิ่งมีชีวิตแทบทุกรูปแบบ
พวกมันต่างคำรามลั่น หลินซวนใช้พลังที่เรียบง่ายที่สุดกลับสามารถปลดปล่อยทักษะที่ทรงพลังที่สุดในโลกออกมา
อสูรทั้งหลายปะทะเข้ากับปราณกระบี่ที่ปรากฏเต็มท้องฟ้า ก่อนที่พวกมันจะเริ่มทำลายปราณกระบี่ทั้งหลายอย่างง่ายดาย
“ช่างเหนือจินตนาการยิ่ง หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด คนผู้นั้นใช้เพียงพลังสามัญของมัน แต่กลับกลายเป็นทักษะเช่นนี้ ข้าไม่กล้าแม้กระทั่งจะคิดฝัน!”
เมื่อรุ่นเยาว์บางส่วนเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า พวกมันต่างถอนหายใจด้วยความตระหนก
“นวะวายุทำลายล้าง!” เมื่อตุยเฟิ่งเห็นเช่นนั้น สีหน้าของมันมืดหม่นลง มันใช้ออกซึ่งทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด และสมบัติในมือของมันเริ่มขยายตัว จนมีขนาดเท่าโลกใบเล็กๆ ปากขวดนั้นเล็งเป้าไปที่หลินซวนหวังจะสยบเขาลง
“เฮ้อ! ทำลาย!”
หลินซวนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและชี้มือของตนไปยังสมบัติชิ้นนั้น ทันใดนั้นเอง พลังที่ทรงอำนาจก็ปะทุขึ้น โลกทั้งใบสั่นไหว ตามมาด้วยประกายแสงเจิดจ้าจนไม่อาจมองได้โดยตรงด้วยตาเปล่า ผู้คนโดยรอบต่างหันหน้าหนีไปจากต้นกำเนิดแห่งแสงนั้น
การต่อสู้นี้รุนแรงจนเกินไป การปะทะกันของยอดฝีมือทั้งสองมิใช่สิ่งที่พลังระดับแดนปราณของพวกมันทั้งหลายจะทานทนได้ เป็นพลังปราณในระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปจนน่าหวั่นเกรง ต่อให้พวกมันกล้าหาญเพียงพอจะมองไปยังแสงสว่างนั้น มันก็มองเห็นได้เพียงห้วงมิติรอบด้านที่กำลังพังทลายอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเวลาผ่านไปนานเท่าใดมิอาจทราบได้ ผู้คนไม่อาจทราบว่าเวลาเคลื่อนพ้นไปนับพันปีหรือเป็นเพียงชั่วพริบตา แสงสว่างบนท้องฟ้าทั้งหมดจางหายไป และในตอนนั้นเอง สมบัติของตุยเฟิ่งก็ไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ ให้เห็นอีก
ทว่า เหล่าอสูรของหลินซวนยังคงปรากฏอยู่โดยรอบ นั่นทำให้ผู้คนทั้งหมดทราบได้ถึงผลลัพธ์ของการปะทะกัน
“คุณพระ! การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลเทียนจินกลับสาบสูญไปเช่นนี้? มันไม่อาจต่อกรได้แม้กระทั่งดัชนีเดียวของฝ่ายตรงข้าม?” ผู้คนทั้งหลายต่างกลืนน้ำลายลงคอ
บุคคลเช่นนี้มาจากที่แห่งใด? ทำไมจึงได้ทรงอำนาจยิ่งนัก?
“ให้ข้าได้ประมือกับเจ้า!”
จากนั้น หญิงสาวจากเผ่าแห่งนักรบก็กล่าวขึ้น ร่างของนายเต็มไปด้วยจิตต่อสู้อันเข้มแข็ง และปกคลุมไปด้วยเพลิงสีทอง ทุกย่างก้าวทำให้ห้วงมิติสั่นไหว
นางมิใช่ผู้เดียวที่ต้องการจะสู้กับหลินซวน อัจฉริยะวัยเยาว์เกือบทั้งหมดต่างมองจ้องมาด้วยความต้องการอันแรงกล้า
พวกมันทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ทระนงตน บัดนี้หลินซวนกำราบสองอัจฉริยะลงได้ พวกมันทั้งหลายจึงต่างต้องการจะเอาชนะเขาเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ทั้งมวล
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? คิดว่าข้าเป็นเพียงเครื่องมือใช้พิสูจน์ความแข็งแกร่งเช่นนั้นหรือ?” หลินซวนกล่าวอย่างเฉยชา
เขารับรู้ได้ดีถึงความคิดในสมองของเหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลาย เขาจึงวางสมบัติในมือลงกับพื้นก่อนจะมองเหล่าผู้คนรอบกาย
“เช่นนั้น ข้าจะเล่นกับพวกเจ้าเอง ข้าจะทิ้งเพลิงมังกรแดงอมตะเอาไว้ตรงนี้ ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะข้าได้จะได้รับมันไป!”
มองเห็นสายตาของหลินซวน ดวงตาของพวกมันบางส่วนกลับกลายเป็นเย็นชา
โดยเฉพาะกับหญิงสาวผมสีทองจากเผ่าแห่งนักรบ นางเดินออกมาอย่างไม่เร่งรีบนักและมองไปยังฝ่ายตรงข้าม
“เจ้ากำลังเตือนข้าเช่นนั้นรึ?”
หญิงสาวนางนั้นหรี่ตาลงมองหลินซวน นางไม่พอใจกับประโยคก่อนหน้านี้ของเขานัก แม้ว่านางจะเป็นเพียงสตรี แต่ไม่เคยมีใครกล้าหาญพอจะดูถูกนาง แรงกดดันที่ทรงพลังและเปลวเพลิงสีทองทะลักออกมาจากร่าง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่นางมี
นางยิ้มเย็นเยียบบนในหน้าพลางมองไปยังหลินซวน
“จะว่าเช่นนั้นก็ย่อมได้!” เผชิญหน้าของหญิงสาวคนนั้น หลินซวนเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มหยัน
เปลวเพลิงสีทองรอบร่างของนางเจิดจ้าขึ้น อักขระศักดิ์สิทธิ์ปรากฏบนชุดเกราะ และสีหน้าของนางยิ่งฉีกยิ้มอย่างมั่นใจ
“น้องชาย ข้ายอมรับว่าเจ้าทรงพลังยิ่ง แต่เจ้าต้องทราบว่าพี่สาวเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ระวังปากของเจ้าให้ดี ไม่เช่นนั้น ด้วยความสามารถเพียงเท่านี้ เจ้าไม่มีทางรอดชีวิตไปได้! เฮ้อ การตายของอัจฉริยะเช่นนี้ช่างน่าสงสาร!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ช่างน่าสงสาร อย่างไรก็ตาม ยายแก่เช่นเจ้าไม่ควรจะตกตายตั้งแต่วัยเพียงเท่านี้ หากเจ้าตายลงที่นี่ ผู้คนคิดว่าเจ้าสิ้นชีพเพราะแก่เกินแกง!” หลินซวนเอ่ยตอบด้วยความจริงจัง
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจ ข้ามิเคยพบผู้ใดที่อาจหาญพอจะกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าข้ามานานแล้ว ให้ข้าได้ส่งเจ้าไปพบยมบาลเถิด!”
หญิงสาวคนนั้นเปี่ยมไปด้วยโทสะ นางระเบิดปราณวิญญาณในร่างออกมาและเปลวไฟรอบกายกวาดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่
รูปลักษณ์ของนางนับว่าเป็นความงามถึงตายประการหนึ่ง แม้ว่าใบหน้าจะแย้มยิ้ม ประกอบด้วยปากแดงฉ่ำและฟันขาวงดงามทำให้ผู้คนหลงใหล แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้ความโกรธนั้น กลิ่นอายสะกดข่มผู้คนแผ่ออกมาอย่างเข้มข้น
หลินซวนหรี่ตาลง จากนั้นเขาก็กำหมัดแน่นและเริ่มโจมตีเป็นคนแรก
ในชั่วพริบตา เขาพุ่งทะยานออกไป แม้ว่ารอบด้านจะเต็มไปด้วยอาวุธมากมาย แต่กลิ่นอายของเขามิได้อ่อนโทรมลงแม้แต่น้อย
ต่อหน้าหญิงสาวที่เปล่งกลิ่นอายคุกคาม หลินซวนไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแต่อย่างใด