บทที่ 6: ศิษย์ระดับ SS
บทที่ 6: ศิษย์ระดับ SS
“มันเป็นฝีมือของผู้อาวุโสสูงสุดหรือเปล่า?”
“ถูกต้อง มันจะต้องเป็นการบุกทะลวงของผู้อาวุโสสูงสุดแน่ๆ นอกจากเขาแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมีความสามารถเช่นนี้”
ทันทีที่เขาพูดจบ ออร่าอันยิ่งใหญ่ก็ระเบิดออกมาจากส่วนลึกของนิกายอสูรสวรรค์
เกือบจะในทันทีที่ออร่านั้นปรากฏขึ้น ร่างๆ หนึ่งก็บินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ทำความเคารพผู้อาวุโสสูงสุด”
ผู้ที่อยู่สูงกว่านิกายอสูรสวรรค์โค้งคำนับทันที
ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอสูรสวรรค์กล่าวด้วยความสับสนและตกใจ “ใครกัน? ใครกันที่เป็นต้นเหตุพลังแห่งสวรรค์นี้?”
ทุกคนตะลึงและถามกลับด้วยความไม่เชื่อ
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านไม่ได้กระตุ้นพลังแห่งสวรรค์นี้หรือ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้าจะไปกระตุ้นพลังแห่งสวรรค์นี้ได้อย่างไร? ระดับการฝึกตนของข้ายังอยู่ที่ขอบเขตสูญสลายเอง ข้ายังอยู่ห่างไกลจากคุณสมบัติที่จะกระตุ้นพลังแห่งสวรรค์!”
ทุกคนรู้สึกได้ทันทีว่าหนังศีรษะของพวกเขาชา
คนที่จุดชนวนพลังแห่งสวรรค์ไม่ใช่ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอสูรสวรรค์?
แบบนั้นแล้วมันจะเป็นใครไปได้อีก?
หรือมันจะมียอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ซ่อนตัวอยู่ในนิกายอสูรสวรรค์?
แต่แบบนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เคยรู้?
อันที่จริง มันก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาจากที่ไหน
ค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศเป็นค่ายกลขอบเขตราชันยุทธ์ชั้นยอด แม้ว่ามันจะถูกจำกัดให้ครอบคลุมแค่ยอดเขาจื่อฉุ่ยเท่านั้น แต่แรงกดดันที่มันแผ่ออกมานั้นก็เพียงพอแล้วที่จะครอบคลุมทั้งนิกายอสูรสวรรค์ทั้งหมดอย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าทุกคนจะใช้สมองของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศได้
ลู่เสี่ยวหรันเองก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าค่ายกลขอบเขตราชันยุทธ์ชั้นยอดสามารถกระตุ้นพลังแห่งสวรรค์ได้จริง!
ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังเกรงกลัวค่ายกลดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงส่งพลังของมันลงมาเพื่อพยายามทำลายค่ายกลอันยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตาม!
ค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้เช่นกัน มันยังปล่อยแรงกดดันออกมาและควบแน่นพลังของปฐพีเพื่อต้านทานพลังจากสวรรค์
ทั้งสองต่อสู้กัน และโลกก็มืดลง ในขณะนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงมดและฝุ่นผง พวกเขาทำได้เพียงมองไปยังการต่อสู้ของทั้งสอง
ในท้ายที่สุด สวรรค์ก็เปล่งเสียงฟ้าร้องที่ดังสั่นสะเทือนปฐพีออกมาและค่อยๆ จางหายไป
ค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศได้บังคับพลังแห่งสวรรค์ให้ถอยกลับไป!
สิ่งนี้ทำให้ลู่เสี่ยวหรันตกใจมาก!
นี่เป็นเพียงค่ายกลเท่านั้น แต่มันก็สามารถต้านทานพลังของสวรรค์ได้
แบบนั้นแล้วยอดฝีมือขอบเขตราชันยุทธ์ที่แท้จริงจะน่ากลัวขนาดไหนกัน?
ในตอนนี้ ลู่เสี่ยวหรันก็ต้องการจะรับศิษย์เพิ่มอีกสักสองสามคนและก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันยุทธ์ให้เร็วที่สุด!
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถรับศิษย์เพิ่มได้ในทันที
“ลืมมันไปเถอะ ฉันไม่สามารถเร่งมันได้ในตอนนี้ ฉันควรฝึกฝนต่อไปก่อน”
ลู่เสี่ยวหรันส่ายหัวและตั้งแผ่นหินที่ขอบยอดเขา
“พื้นที่ต้องห้ามของยอดเขาจื่อฉุ่ย ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ใครก็ตามที่เข้ามาจะต้องตาย”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อเข้าสู่ความสันโดษ
เขาไม่ได้ตั้งค่ายกลขอบเขตราชันยุทธ์อันอื่นอีก
ต้องรู้ว่าแค่ค่ายกลขอบเขคราชันยุทธ์ชั้นยอดเพียงค่ายเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือขอบเขตราชันยุทธ์
ด้วยเหตุนี้เอง ลำพังแค่ค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศก็เพียงพอแล้วที่จะปกป้องยอดเขาจื่อฉุ่ย
ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายกลราชาอัสนีสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็อันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้ เมื่อเปิดใช้งานแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในค่านกลก็อาจจะถูกทำลายโดยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ ออร่าสังหารนั้นหนักเกินไปและยังไม่เหมาะสำหรับในตอนนี้
แน่นอน เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือหินวิญญาณ
ถุงของขวัญของหวังไฉ่นั้นไม่มีหินวิญญาณแม้แต่ชิ้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้น การจัดตั้งค่ายกลขอบเขคราชันยุทธ์ก็ยังต้องใช้พลังปราณเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแค่ค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศก็ได้ระบายเงินออมทั้งหมดของลู่เสี่ยวหรันแล้ว
ดังคำกล่าวที่ว่า “แม่บ้านที่มีความสามารถแต่ไม่สามารถหุงข้าวได้” แม้ว่าลู่เสี่ยวหรันจะมีค่ายกลขอบเขตราชันยุทธ์ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากกลับมาที่ห้องของเขา ลู่เสี่ยวหรันก็ได้ปิดผนึกและประกาศโดยตรงว่าเขากำลังจะเข้าสู่ความสันโดษเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาการฝึกตนของเขา
เคล็ดวิชาศาสตร์นักษัตรเป็นเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตราชันยุทธ์ที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
ในแง่ของการต่อสู้ ความแข็งแกร่งของมันนั้นก็สมบูรณ์แบบและบริสุทธิ์ และอาณุภาพของมันก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ มันสามารถเพิ่มพลังโจมตีสูงสุดของการโจมตีใดๆ ได้
ในแง่ของการฝึกตน ความเร็วในการดูดซึมนั้นก็แข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาการฝึกตนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน มันเรียกได้ว่าโดดเด่นที่สุดเลยก็ว่าได้
มันทั้งพิเศษและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
มันสามารถซ่อมแซมบาดแผลบนร่างกายได้อย่างรวดเร็ว!
ต้องรู้ว่าเฉพาะผู้ที่มีความแข็งแกร่งขอบเขตราชันยุทธ์เท่านั้นจึงจะสามารถอยู่รอดหลังจากร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนักได้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็สามารถใช้เคล็ดวิชาการฝึกตนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บได้
ในตอนนี้ หลังจากที่ฝึกฝนวิชาศาสตร์นักษัตรแล้ว ลู่เสี่ยวหรันก็จะมีวิธีที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของเขา
เขาใช้เวลาสามวันในการฝึกฝนศาสตร์นักษัตรและฝึกไปจนถึงขั้นสมบูรณ์
ความเร็วนี้ค่อนข้างน่ากลัว
ต้องรู้ว่าหยุรหลี่เกอได้รับการฝึกเพียงประมาณหนึ่งในสิบของคัมภีร์จักรพรรดิโกลาหลบรรพกาลเท่านั้นและยังไม่เชี่ยวชาญอย่างสมบูรณ์
ในทางกลับกัน ลู่เสี่ยวหรันก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาศาสตร์นักษัตรให้สมบูรณ์แบบได้ภายในระยะเวลาเพียงสามวัน!
หลังจากนั้น เขาก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาศาสตร์นักษัตรต่ออีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด หลังจากหนึ่งเดือนของการฝึกตนอันขมขื่น การฝึกตนของลู่เสี่ยวหรันก็ก้าวข้ามไปอีกระดับหนึ่ง
เขาตื่นขึ้นจากการฝึกตนของเขา ไม่เพียงแต่ดวงตาของเขาจะดูไม่เหนื่อยล้าเท่านั้น แต่มันยังเต็มไปด้วยประกายแสงแห่งความดุดัน
“ศาสตร์นักษัตรนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง หากเป็นเคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตสวรรค์ของนิกายอสูรสวรรค์ ฉันก็อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีในการบุกทะลวงไปขั้นที่สอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันก็ได้ก้าวผ่านไปยังขอบเขตสูญสลายขั้นสองแล้ว ความเร็วในการฝึกตนนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง”
ต้องรู้ว่ายิ่งมีการฝึกตนสูงมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งบุกทะลวงได้ยากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าลู่เสี่ยวหรันจะเป็นอัจฉริยะระดับสูงและสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เขายังคงต้องปฏิบัติตามกฎของเต๋าสวรรค์และดำเนินการไปทีละขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาการฝึกตนขอบเขตราชันยุทธ์ชั้นยอดก็ได้ลดเวลาของเขาลงประมาณหกเท่า พูดตามตรง ความเร็วระดับนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของความสำเร็จจากการฝึกตนอย่างหนัก มันก็มีเสียงดังมาจากจุดตันเถียนของเขาอีกครั้ง
เขาบุกทะลวงอีกแล้ว!
เขาไปถึงขอบเขตสูญสลายขั้นสามแล้ว!
“???”
ลู่เสี่ยวหรันค่อนข้างตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงบุกทะลวงอีกครั้งได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้?
อย่างไรก็ตาม เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
“หวังไฉ่”
[ ฉันมาแล้วนายท่าน ]
“แสดงหน้าต่างข้อมูลของหยุนหลี่เกอให้ฉันดู”
[ รับทราบ ]
[ ชื่อ : หยุนหลี่เกอ ]
[ เพศ : ชาย]
[ เคล็ดวิชาการฝึกตน : คัมภีร์จักรพรรดิโกลาหลบรรพกาล ฝึกถึงขั้นสอง ]
[ การฝึกตน : ขอบเขตผู้เชี่ยวชาญขั้นสิบ ]
“ฉันว่าแล้ว!”
ลู่เสี่ยวหรันค่อนข้างพูดไม่ออก เขาได้ฝึกฝนอย่างอุตสาหะเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อแลกกับการที่เขาจะบุกทะลวงไปสู่ขั้นที่สอง เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าหยุนหลี่เกอจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาไปยังอีกขั้นหนึ่งของเขาด้วย
“หวังไฉ่ ถ้าแกทำแบบนี้ ฉันก็จะค่อยๆ สูญเสียแรงจูงใจในการฝึกตนเอานะ”
[ นายท่าน หลังจากที่ผูกมัดกับฉัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องฝึกตนอีกต่อไป คุณเพียงแค่ต้องรับลูกศิษย์เพิ่ม ]
ลู่เสี่ยวหรันกุมขมับของเขาและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “โดยพื้นฐานแล้วแกไม่ได้ขโมยความสุขของฉันไปหรอ?”
[ หวังไฉ่ตรวจพบศิษย์ระดับ SS .. คุณต้องการรับสมัครเพิ่มหรือไม่ ]