อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 52 พันตรีเจมส์ แลนสเตอร์
ตอนที่ 52 พันตรีเจมส์ แลนสเตอร์
ผ้าคลุมตัว
หมวกคาวบอย
หนวดที่เป็นตอซังหนาบนใบหน้า
ตาลึกโหล
คาบซิการ์ในปากพร้อมกับมีปืนพกห้อยที่เอวของเขา
กลิ่นอายที่ดุร้ายและก้าวร้าวปรากฏขึ้นในทันที
โนแลนเดินวนรอบอีสต์วูดเป็นเวลานานพร้มอกับมองขึ้นและลง สุดท้ายเขามองฮาร์ดี้และพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “ฮาร์ดี้ ผมคิดว่าเขาเหมาะสมกับบทบาทนี้มาก”
ฮาร์ดี้มองไปที่อีสต์วูดและถาม “คุณมีนายหน้าหรือยัง”
“เคยมีแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วเพราะสัญญาหมดอายุมาสองปีแล้ว” อีสต์วูดกล่าว
“ถ้างั้นคุณก็เซ็นสัญญากับบริษัทนายหน้าของผม แล้วบทตัวเอกของหนังเรื่องนี้จะเป็นของคุณทันที”
“ได้ครับ” อีสต์วูดรีบตกลงทันที
เขาเป็นตัวประกอบมาสิบปีแล้ว เฝ้ารอโอกาสมาแสนนาน และตอนนี้โอกาสที่จะได้เป็นตัวเอกอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาต้องคว้ามันเอาไว้ด้วยทุกอย่างที่มี
เงื่อนไขที่กำหนดโดยบริษัทนายหน้าฮาร์ดี้นั้นไม่เลว อัตราส่วนแบ่งเป็น 7 ต่อ 3 ส่วนแบ่งของบริษัทคิดเป็น 70% ส่วนแบ่งของนักแสดงคือ 30% และมันเพิ่มขึ้น 10% จากสัญญาเดิมที่อีสต์วูดเคยมี ทำให้เขาเซ็นสัญญานี้อย่างมีความสุข
ฮาร์ดี้ก็มีความสุขมากเช่นกัน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ การเซ็นสัญญาครั้งนี้ทำกำไรได้อย่างแน่นอน และเป็นกำไรมหาศาล
นักแสดงตัวเอกได้รับเลือกแล้ว บทบาทสนับสนุนที่เหลือไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว ฮาร์ดี้ส่งต่องานคัดเลือกตัวประกอบที่เหลือทั้งหมดให้ผู้กำกับโนแลน
ฮาร์ดี้ไปที่สตูดิโอบันทึกเสียงเพื่อดูเอวาอีกครั้ง เขาเห็นเธอและเจสันกำลังบันทึกเสียงอยู่ คาดว่าจะใช้เวลาสองถึงสามวันในการบันทึกให้เสร็จอย่างเป็นทางการ
เขากลับมาที่ห้องสำนักงานของตัวเอง
จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ฮาร์ดี้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ ปรากฏว่าคนที่โทรมาคือริชาร์ด
ฮาร์ดี้มาที่บริษัทภาพยนตร์และบอกพี่น้องว่าสามารถโทรหาเขาได้หากมีเรื่องฉุกเฉิน
“ริชาร์ดเกิดอะไรขึ้น” ฮาร์ดี้ถาม
“ฮาร์ดี้ ผมอยากให้คุณมาพบใครสักคน”
“ใคร?”
“คุณจำพันตรีเจมส์ แลนสเตอร์ได้ไหม”
...
ฮาร์ดี้ขับรถไปที่โรงงานของเล่น ตอนนี้โรงงานของเล่นถูกทำความสะอาดเรียบร้อย สามารถให้คนมาอยู่อาศัยได้แล้ว พร้อมกับป้ายที่ประตูถูกเปลี่ยนเป็นแบรนด์ใหม่ ชื่อบริษัท เอชดีซีเคียวริตี้
ในช่วงเวลานี้ เฮนรี่ แมทธิวและคนอื่นๆ ได้ไปพบเพื่อนเก่าในกองทัพอย่างต่อเนื่อง ฮาร์ดี้เคยใช้เวลาไปพบพวกเขาครั้งหนึ่ง และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็อยู่ที่นี่พร้อมหน้ากัน
ห้องประชุม
ฮาร์ดี้เห็นว่าริชาร์ดกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ เป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาซีดเซียว เขาสวมสูทย่นที่ดูเก่าเล็กน้อย สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือไม่มีรองเท้าอยู่ที่ขาข้างซ้าย แต่เป็นแท่งไม้ออกมาแทน
เห็นได้ชัดว่าเป็นขาเทียม
แม้ว่าจะผ่านไปนานแล้ว แต่ฮาร์ดี้ก็จำชายตรงหน้าเขาได้อย่างรวดเร็ว พันตรีเจมส์ แลนสเตอร์ เจ้าหน้าที่หน่วยรบนาวิกโยธิน
ความทรงจำของฮาร์ดี้ย้อนกลับไปในปี 1942
ระหว่างยุทธการที่กัวดัลคะแนล (Guadalcanal)
พันตรีแลนสเตอร์ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่หน่วยรบ มีหน้าที่ติดตามกองพันนาวิกโยธินในการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งเขาพบกับการซุ่มโจมตีหลังจากลงจากเรือได้ไม่นาน กองพันถูกปืนใหญ่ญี่ปุ่นโจมตีอย่างรุนแรง หลายคนถูกแรงระเบิดของปืนใหญ่ฆ่าตายที่นั่น พันตรีแลนสเตอร์ก็เช่นเดียวกัน
เขาถูกแรงระเบิดที่ขาซ้ายจนเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้
ฮาร์ดี้เป็นหัวหน้าหน่วยในขณะนั้น เขาอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พันตรีแลนสเตอร์โดนแรงระเบิด เขาช่วยขับไล่คนที่กำลังจะยิงพันตรีแลนสเตอร์ออกไป และร่วมมือกับริชาร์ดในการช่วยเหลือตัวพันตรีแลนสเตอร์ออกจากสนามรบ
ตั้งแต่นั้นมา
ฮาร์ดี้ก็ไม่เคยเจอพันตรีแลนสเตอร์อีกเลย
สามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฮาร์ดี้เดินเข้าไปในห้องและยืนอยู่หน้าแลนสเตอร์ “พันตรีแลนสเตอร์ จำผมได้ไหมครับ”
พันตรีแลนสเตอร์ยืนขึ้นพร้อมมองฮาร์ดี้ด้วยสายตาที่จริงใจ “ผมจำได้สิ ทอม ฮาร์ดี้ เราเคยต่อสู้เคียงข้างกัน ตอนที่ผมถูกแรงระเบิดปืนใหญ่ที่ต้นขาของผม คุณเป็นคนพาผมออกมาจากสนามรบ”
เขาพูดและกอดฮาร์ดี้
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคุณเป็นอย่างไรบ้าง” ฮาร์ดี้ถามหลังจากที่ทั้งสองนั่งลง
แลนสเตอร์ชะงักเล็กน้อย
เขาส่ายหัว
“คุณควรสังเกตเห็นมันได้ ชีวิตผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
“หลังจากที่ผมได้รับบาดเจ็บ ผมก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลทหาร ต้องใช้เวลาสามเดือนกว่าจะหายจากอาการบาดเจ็บ แต่ผมก็สูญเสียขาไปและไม่สามารถกลับไปเป็นทหารได้อีก”
“หลังจากเกษียณและเลือกที่จะกลับบ้าน ชีวิตผมก็ถูกทำร้ายอีกครั้งในช่วงที่เป็นทหารผมไม่ได้กลับบ้านหลายปี เมื่อผมกลับไปภรรยาของผมเห็นว่าผมกลายเป็นคนพิการ เธอจึงไปมีคนใหม่และยืนกรานที่จะหย่ากับผม ผมพยายามจะรั้งเธอไว้แต่มันเปล่าประโยชน์ สุดท้ายภรรยาของผมก็จากไปพร้อมกับลูกสองคน”
เมื่อกล่าวถึงลูก เสียงของแลนสเตอร์ก็เบาลงเห็นได้ชัดว่าเขาเสียใจมากแค่ไหน
“ผมขาพิการทำให้ทำงานปกติไม่ได้ ทำงานโรงงานไม่ได้ด้วยซ้ำ สุดท้ายผมขอให้เพื่อนหางานให้จนได้ทำงานเป็นคนดูแลคลังสินค้า”
“ในคลังสินค้านั้น ผมรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่เคยอยู่หน่วยนาวิกโยธินด้วย เขาชื่อทอมมี่ เมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ๆ เขาก็มาหาผมและบอกว่ามีเพื่อนโทรมาหาเขาจากลอสแองเจลิสเพื่อชวนไปทำงาน รับสมัครเฉพาะทหารเท่านั้น เขาจึงถามว่าผมจะไปด้วยไหม ถ้าผมไปเราจะได้ไปด้วยกัน”
ฮาร์ดี้มองไปที่แลนสเตอร์และพูด “พันตรีแลนสเตอร์ ผมเดาว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ คุณจะยังเข้าร่วมหรือเปล่า”
แลนสเตอร์ยิ้มเบาๆ
“หลังจากการหย่าร้าง ผมต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกทุกเดือนเพื่อให้มีสิทธิ์เยี่ยมลูก ถ้าไม่จ่ายเงินผมจะไม่มีสิทธิ์ได้เจอลูก ผมรักพวกเขา ผมรักพวกเขามาก”
เมื่อมาถึงจุดนี้ แลนสเตอร์ก็กัดฟันแน่น
“ผมต้องการเงินเอามาเลี้ยงดูลูก ผมยอมทุกอย่างเพื่อทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น ผมต้องการได้ศักดิ์ศรีของการเป็นพ่อกลับคืนมา นอกจากนั้นผมไม่สนใจ”
แลนสเตอร์มองไปที่ฮาร์ดี้แล้วพูดต่อ “ฮาร์ดี้ ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
“ขออะไรล่ะ?”
“ลูกๆ ของผมต้องการเงินไปโรงเรียน แต่สามีใหม่ต้องการส่งลูกไปโรงเรียนชุมชนเพื่อประหยัดเงิน แต่โรงเรียนชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นสกปรกและมีครูไม่เพียงพอ ผมต้องการให้ลูกๆ มีสภาพที่ดีขึ้น ผมจึงอยากส่งพวกเขาเข้าไปโรงเรียนเอกชน”
“โรงเรียนเอกชนต้องใช้เงินจำนวนมาก ค่าเทอมเทอมละ 500 ดอลลาร์ สำหรับเด็ก 2 คนก็ 1,000 ดอลลาร์ ผมขอยืมเงินก่อนได้ไหม ผมไม่อยากให้ลูกทั้งสองคนต้องเสียอนาคตเพราะพ่อที่ไม่มีเงิน”
“ไม่มีปัญหา” ฮาร์ดี้ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
......
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์
ริชาร์ดขับรถพาแลนสเตอร์ไปที่ย่านเมืองเก่า
รถหยุดอยู่หน้าบ้านหลังเล็กๆ
วันนี้แลนสเตอร์จงใจโกนหนวดเคราและเซ็ตผมอย่างดี เขาซื้อชุดสูทที่พอดีกับตัว ตอนนี้แลนสเตอร์ดูมีบุคลิกภาพที่ดีกว่าวันก่อนมาก
“ริชาร์ด คุณรอที่นี่นะ”
“คุณไปเลยพันตรี ผมจะอยู่ฟังวิทยุในรถ” ริชาร์ดยิ้ม
แลนสเตอร์ลงจากรถ ในมือกำลังถือของขวัญให้ลูก
เขาดินไปที่ประตูแล้วกดกริ่ง
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้หญิงในวัยสามสิบเปิดประตูออกมา
มีรอยฟกช้ำที่มุมตาของเธอ มันเห็นได้ชัดแม้ว่าเธอจะมีผมปิดอยู่ก็ตาม แลนสเตอร์รู้ในทันทีว่าเธอถูกสามีใหม่ทำร้ายอีกแล้ว
ถ้ามีคนทำแบบนี้กับภรรยาของเขา เขาจะฆ่ามันอย่างแน่นอนแต่ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว
“ฉันมาหาลูกๆ” แลนสเตอร์กล่าว
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่แลนสเตอร์ เธอรู้สึกว่าเขาแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย จากนั้นเธอจึงเหลือบมองไปที่รถสีดำที่จอดอยู่หน้าบ้าน
เธอหันกลับมาตะโกนเข้าไปในบ้าน “จีน่า ซาแมนธา ออกมาหน่อย”
ไม่นานหลังจากนั้น เด็กผู้หญิงสองคนวิ่งออกมา เมื่อเด็กๆ เห็นแลนสเตอร์ก็กรีดร้องด้วยความประหลาดใจ “อ๊ะ! พ่อคะ พ่อนั่นเอง”
เด็กทั้งสองวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของแลนสเตอร์ เขากอดลูกสาวทั้งสองคนอย่างอบอุ่น
จีน่า ลูกสาวคนโตอายุ 12 ปี และลูกสาวคนสุดท้อง ซาแมนธา อายุเพียง 9 ขวบ ซาแมนธากอดคอของแลนสเตอร์แล้วพูดอย่างอารมณ์ดี “พ่อคะ! พ่อไม่มาหาเรานานแล้วนะ!”
“พ่อขอโทษพวกเราด้วยนะ ช่วงนี้พ่อติดงาน”
แลนสเตอร์มองดูอดีตภรรยา “แมรี่นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้เจอลูกๆ วันนี้ฉันอยากพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นสักวันหนึ่ง ได้ไหม”
แมรี่มองดูลูกสาวสองคนที่ดูตื่นเต้นและกระตือรือร้น เธอพยักหน้า จากนั้นเด็กทั้งสองก็กรีดร้องอย่างตื่นเต้น
“จีน่า ซาแมนธา นี่ของขวัญสำหรับลูกๆ เอาไปเก็บก่อนนะ แล้วเราค่อยไปข้างนอกกัน” แลนสเตอร์กล่าว
“ว้าว ขอบคุณค่ะพ่อ” เด็กทั้งสองรีบเข้าบ้านไปเก็บของขวัญแล้วเปลี่ยนชุดอย่างตื่นเต้น
แลนสเตอร์และอดีตภรรยาของเขายืนอยู่ที่ประตู ทั้งสองไม่พูดอะไรกัน ผ่านไปครู่หนึ่ง แมรี่มองไปที่แลนสเตอร์แล้วถาม “แลนสเตอร์ นายเอาเงินค่าเลี้ยงดูลูกมาหรือเปล่า”
“เอามา”
แลนสเตอร์หยิบเงิน 200 ดอลลาร์จากกระเป๋าของเขาแล้วยื่นให้แมรี่
เธอรีบหยิบมันมาทันที
“แมรี่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอเรื่องหนึ่ง ฉันอยากส่งลูกๆ ไปโรงเรียนเอกชน” แลนสเตอร์กล่าว
“โรงเรียนเอกชน นายฝันอยู่เหรอ นายก็รู้ว่าค่าเทอมโรงเรียนเอกชนแพงแค่ไหน” แมรี่ขมวดคิ้ว
“ฉันจะจ่ายเอง”
“ใช่แล้ว! เดี๋ยวคุณแลนสเตอร์จ่ายเอง คุณแลนสเตอร์น่ะรวยจะตายไป” เสียงยอกย้อนดังออกมาจากบ้าน ชายร่างผอมบางเดินออกมาแล้วยืนข้างแมรี่โดยเอาแขนโอบไหล่ของเธอ เขาส่งรอยยิ้มไปที่แลนสเตอร์
“ส่งไปโรงเรียนเอกชน นายรู้ไหมว่าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ งานดูแลโกดังโง่ๆ ของนายคงให้เงินเดือนนายมาก ถ้านายรวยจริงก็เอาเงินมาจ่ายให้ฉันเพิ่มดีกว่า เด็กสองคนอายุมากขึ้น ค่าดูแลพวกมันก็ยิ่งมากตาม เอางี้ไหม ถ้านายให้เงินเพิ่มเดี๋ยวฉันเพิ่มเวลาเจอลูกนายให้ นายสนใจหรือเปล่า”
ขณะที่ชายคนนั้นพูด เขาก็เอาเงิน 200 ดอลลาร์ไปจากมือของแมรี่ และใส่มันเข้าไปในกระเป๋าของตัวเองอย่างเมินเฉย