ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0038
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0040

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0039


บทที่ 15 ภูตภูเขา (2)

* * *

สมาคมฮาวนด์

แตกต่างจากนิยามของสมาคมทั่วไป สมาคมฮาวนด์แทบไม่มีอำนาจเชิงบริหาร เพราะไม่ใช่องค์กรที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาบริหาร

พวกมันแค่ต้องการเพิ่มน้ำหนักเสียง

ถ้าถามว่าทำยังไง

「จำเป็นด้วยหรือที่ฮาวนด์ต้องเปิดเผยกิจกรรมทั้งหมดในต่างโลก? พวกเราขอคัดค้านพระราชบัญญัติฉบับใหม่!」

ทันทีที่บทความดังกล่าวปรากฏออกมา

“ผู้มีอำนาจพยายามเตะบันไดที่สามัญชนใช้ไต่เต้า! เราต้องโหวตคัดค้าน!”

“ช่วยกันหยุดการผูกขาดของผู้มีอำนาจ! เคารพโอกาสที่มอบให้สามัญชนด้วย!”

“เคารพกันด้วย!”

“เคารพกันด้วย!”

กลุ่มฮาวนด์ทำตัวเป็นแกนนำเรียกร้องตามจัตุรัสและโซเชียลมีเดีย

ในสังคมสมัยใหม่ เสียงที่ถูกเปล่งออกมาจะมีพลังเสมอ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด

ผู้คนนับพันนับหมื่นที่มารวมตัวกัน สามารถสร้างเสียงที่มีพลังเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสังคม

โลกหมุนรอบความคิดของสังคม และฮาวนด์ก็ฉกฉวยโอกาสจากตรงนั้น

ทว่า เนื่องจากสมาคมฮาวนด์ไม่ได้รวมตัวกันอย่างกลมเกลียว ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีคนหลากหลายประเภท

หนึ่งในนั้นคือโดจุนฮยอก ฮาวนด์ระดับสี่ซึ่งถูกผลักดันให้เป็นรองประธานสมาคมด้วยวัยเพียงยี่สิบกลางๆ

“เฮ้อ… ให้ตายสิ”

ในสำนักงานส่วนตัว มันถอนหายใจยาว

“ไม่อยากทำอะไรแบบนี้เลย…”

ไม่อยากเปลืองสมองสนใจ ไม่อยากปวดหัวกับเรื่องราวซับซ้อน แค่อยากจะทำเงินให้ได้มากๆ

สำหรับสมาคมฮาวนด์ ผู้ที่ต้องออกหน้าในเรื่องสำคัญจะมาจากการแต่งตั้งเสมอ จึงมีหลายกรณีคนออกหน้าไม่ใช่คนที่ได้รับผลประโยชน์ และโดจุนฮยอกกำลังประสบชะตากรรมนั้น

“งานสบายจะตาย แค่อยู่เฉยๆ สักสองสามเดือนก็ได้เงินก้อนใหญ่”

“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน?”

“นายมีฝีมือ หน้ากากก็เท่ ภาพลักษณ์ก็ไม่แย่ แถมยังฉลาด จะมีใครเหมาะสมไปกว่านี้อีก? นอกจากนั้นยังได้โปรโมตร้านไปในตัว”

มันพลาดที่หลงกลไปกับการเชื้อเชิญอันหอมหวาน

ถึงจะเสียดาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

“ช่างเถอะ อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไร”

ราวกับหลุมดำของข่าวลือในวงการ มีทั้งเรื่องที่อยากได้ยินและไม่อยากได้ยิน ทุกสิ่งล้วนผ่านหูอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเดียวกัน เบื้องหน้ามัน เพื่อนร่วมชั้นจากสมัยมัธยม ฮาวนด์ระดับเจ็ด ‘พัคจุน’ กำลังแสยะยิ้มด้วยสายตาตื่นเต้น

“นายได้ยินข่าวหรือยัง”

พัคจุนเปิดปาก

หมอนี่เอาอีกแล้ว…

“ข่าวอะไร”

“พวกเด็กๆ ของซอจีอา ดูเหมือนจะชื่อจีแทโฮมั้ง ทุกคนหายตัวไป”

“…?”

หายตัวไป?

น่าสนใจ

“เล่ามาสิ… ทุกคนตายหมด? ทะเลาะกันภายใน?”

“แค่หายตัวไป… ตำรวจปิดข่าวการสืบสวนมิดชิด นี่มันบ้าบอสิ้นดีให้ตายสิ”

ดวงตาพัคจุนกำลังลุกวาว

“ฉันคิดว่าเป็นฝีมือ OWIC… พวกเขาล้ำเส้นมาสักพักแล้วนี่?”

“…ฉันว่าไม่ใช่”

โดจุนฮยอกพอจะรู้จักวงการนี้ดี

“ทำไม?”

“นี่ไม่ใช่วิธีการลงมือของ OWIC… ลูกน้องจีแทโฮมีประมาณสามสิบคน แต่ทุกคนหายตัวไปพร้อมกันในคืนเดียว? นั่นมันสุดโต่งเกินไป”

“แล้วทำไมถึงเป็นฝีมือ OWIC ไม่ได้”

“พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องทำ… ถ้าอยากกำจัด แค่ยัดคดีแรงๆ แล้วหาเรื่องฆ่าก็พอ เหนือสิ่งอื่นใด OWIC เคยสนใจจีแทโฮด้วยหรือ?”

พัคจุนพยักหน้าขณะนอนอยู่บนโซฟา

“นั่นก็ใช่ แต่ฉันคิดในมุมกลับ มีบริษัทไหนนอกจาก OWIC ทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือ”

“นั่นก็ไม่ผิด…”

แม้จะไม่ใช่ ‘สไตล์’ ของ OWIC แต่ก็เป็นงานที่มีแค่ OWIC ทำได้

ชั่วขณะหนึ่ง โดจุนฮยอกหรี่ตาลง

มันคือฮาวนด์ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง

แม้จะเล็กน้อย แต่ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน

ไม่ควรมองข้อเท็จจริงใดเป็นแค่เรื่องเล็ก เพราะการเปลี่ยนโลกในอดีต ล้วนเกิดจากประกายไฟเล็กๆ ทั้งสิ้น

“OWIC เปลี่ยนไป…”

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง จุดเริ่มคือตรงไหน?

โดจุนฮยอกมิอาจหาคำตอบได้ในทันที

“หรือจะเป็นเพราะคังซอนฮู?”

“คังซอนฮู? คนที่ก่อตั้งกิลด์นักสำรวจน่ะหรือ? ได้ยินว่าเป็นพวกบ้า จะเกี่ยวกับหมอนั่นแน่หรือ”

“มีข่าวลือว่า คราวนี้จีแทโฮวางแผนฆ่าคังซอนฮู”

“นายกำลังจะบอกว่า คังซอนฮูฆ่าจีแทโฮกับแก๊ง? แล้ว OWIC ก็ช่วยเก็บกวาด?”

“เป็นไปได้…”

พัคจุนฉีกยิ้มกว้าง

“เพ้อเจ้ออะไรอยู่? ท่านรองประธานของเราคงเหนื่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณ K-เชอร์ล็อกคนดังคงไม่พูดจาแปลกๆ ออกมา”

“…”

คำพูดพัคจุนฟังขึ้น เพราะแม้แต่โดจุนฮยอกเองก็ตระหนักว่า ข้อสรุปดังกล่าวค่อนข้างเป็นไปได้ยาก

พัคจุนชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในการอนุมาน

“อย่าลืมว่าเด็กๆ ของจีแทโฮมีมากถึงสามสิบคน”

“หมอนั่นรวบรวมคนมากขนาดนี้ไปทำอะไร”

“ใครจะไปรู้? แต่นายกำลังจะบอกว่า คังซอนฮูฆ่าฮาวนด์สามสิบคนในคืนเดียว? ไม่สิ คงสักสามชั่วโมง”

“…”

“ไม่ใช่เดธไนท์สักหน่อย ใครจะไปทำแบบนั้นได้…”

ทันใดนั้น ประตูสำนักงานเปิดออก ฮาวนด์สาวทรงผมหางม้าที่มีวัยไล่เลี่ยกันเดินเข้ามา

ฮันยุนอา ฮาวนด์ในแก๊งเดียวกับพัคจุนและโดจุนฮยอก

“นี่! มีข่าวด่วนเจ๋งๆ มาบอกล่ะ! หลุดจากวงในของOWIC!”

“ว่ามา”

“ได้ยินว่าคังซอนฮูฆ่าจีแทโฮกับเด็กๆ ของมัน! นี่มันบ้าไปแล้ว!”

“…”

พัคจุนและโดจุนฮยอกหันมองหน้ากัน

“ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้ OWIC กำหนดให้คังซอนฮูเป็นตัวตนเหนือธรรมชาติระดับพิเศษ!”

“ตัวตนเหนือธรรมชาติระดับพิเศษ?”

หมายถึงสิ่งมีชีวิตในต่างโลกที่ OWIC ต้องทุ่มงบประมาณเพื่อสืบสวนและจัดการ

ตรงตามนิยามของคำว่า ‘เหนือธรรมชาติ’ สถานะดังกล่าวจะมอบให้กับสิ่งมีชีวิตในต่างโลกที่อยู่นอกเหนือสามัญสำนึกมนุษย์

OWIC มองว่าคังซอนฮูเป็นตัวตนเหนือธรรมชาติ?

ความหมายไม่ซับซ้อน

OWIC เริ่มกลัวคังซอนฮู

“…ดูเหมือนว่าฉันจะเดาถูกนะ”

โดจุนฮยอกยืดอกอย่างภูมิใจ ส่วนพัคจุนเอาแต่มองสลับไปมาระหว่างเพื่อนทั้งสองด้วยใบหน้าตกตะลึง

* * *

“ฮาวนด์เป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้ครับ”

“จงใจ?”

ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่จองจีฮุนเล่า

ทำไปทำไม?

จริงอยู่ อีกเดี๋ยว OWIC ก็คงใช้อำนวยมืดช่วยปิดข่าว แต่ฉันยังไม่เข้าใจเหตุผลของฮาวนด์

“ทำไมไปทำไม? มีจุดประสงค์อะไร?”

“พวกฮาวนด์มักไม่ชอบอยู่ในกรอบ มนุษย์มีธรรมชาติที่จะทำในสิ่งตรงข้ามเมื่อถูกบังคับ”

จองจีฮุนยิ้ม

“คุณคงกังวลว่า ข่าวลือจะทำให้ตัวเองดูน่ากลัวสินะครับ”

“ใช่… มีโอกาสที่ข่าวลือจะสร้างปัญหาให้ฉันไหม”

“ไม่มีทางครับ ข่าวลือก็เป็นได้แค่ข่าวลือ มีแต่พวกฝักใฝ่ทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้นที่เชื่อ และคนกลุ่มนั้นมักถูกมองว่าเป็นไอ้งั่ง”

ฉันพอจะเข้าใจสิ่งที่จีแทโฮพูด

ยิ่งได้รู้จัก บริษัทนี้ก็ยิ่งน่ากลัว

“สมาคมฮาวนด์คงไม่กล้าแตะต้องคุณคังซอนฮูไปอีกสักระยะ และผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนั้นเหลืออยู่แล้ว”

ฉันไม่สนใจ เพราะยังไงพวกนายก็จะคอยจัดการให้

“สำหรับงานในคราวนี้ ขอให้สำเร็จอย่างราบรื่นนะครับ ผมคาดหวังในตัวคุณคังซอนฮู”

“คาดหวังกับฉันทำไม”

จองจีฮุนยิ้ม

“คุณก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเราไม่ใช่หรือ”

“…อ้อ”

—แค่เดินตามรอยผู้เบิกทาง มนุษยชาติก็จะพัฒนาไปข้างหน้า

คล้ายกับแฝงความนัยเช่นนั้น

ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจ แต่คำตอบดังกล่าวทำให้ความคิดของฉันยุ่งเหยิง เพราะยังไม่แน่ใจว่านิยามของ ‘พัฒนา’ คืออะไร

คิดไปก็เปลืองสมอง ฉันมองจองจีฮุนเดินจากไปสักพัก ก่อนจะก้มเก็บของต่อจากเดิม

“ลิลี่”

“อื้อ”

ลิลี่กำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้ด้วยขาข้างเดียว กางแขนซ้ายขวาเพื่อรักษาสมดุล

“ทำทำไม?”

“ออกกำลังกาย มันยากกว่าที่ตาเห็นนะ”

“ฉันรู้”

คงเพราะฉันตอบสนองด้วยท่าทีเฉยเมย ลิลี่จึงกระโดดลงมา

การเคลื่อนไหวดังกล่าวดูคล้ายกับแมวดำชอบกล

“เจ้าจะไปไหนอีก”

“ตะวันตก”

“อีกแล้ว? ไปมาตั้งครึ่งเดือนแล้วนี่? ยังต้องทำอะไรอีก”

ฉันหายตัวไปสิบห้าวัน

เป็นการเคลื่อนไหวตามลำพังโดยโน้มน้าวไม่ให้ลิลี่ตามไป

ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องมาด้วยกัน เพราะไม่ได้ไปเสี่ยงอันตรายหรือไปสำรวจสถานที่ใหม่

“งานในคราวนี้ไม่ได้ทำเสร็จในครั้งสองครั้ง ขอบเขตกว้างมาก จำเป็นต้องสำรวจล่วงหน้าอย่างรอบคอบ”

“รากของภูเขาใหญ่ขนาดนั้นเชียว? ข้าเคยได้ยินแค่ในตำนาน”

รากของภูเขา

ความหมายตรงตัว มันหมายถึงรากยักษ์ที่ภูเขาหยั่งลงไปในดิน

ฉันเองก็ไม่รู้ว่าแก่นแท้ของมันคืออะไร แต่ลักษณะจะคล้ายกับอุโมงค์ใต้ดินขนาดมหึมาที่เชื่อมต่อกัน ระหว่างทางจะมีช่องว่างขนาดใหญ่

“มันใช้สำหรับเคลื่อนย้ายพลังงานในปริมาณมหาศาล”

รากของภูเขาเปรียบดังท่อส่งน้ำมันขนาดยักษ์

ทว่า สิ่งที่ขนส่งไม่ใช่น้ำมัน แต่เป็นกระแสพลังงาน

จะให้สำรวจสถานที่แบบนั้นโดยไม่ค้นคว้าหรือเตรียมตัวล่วงหน้า?

คิดจะสะพายเป้ไปปิกนิกเหมือนทุกครั้ง?

ฉันไม่ทำแน่ นักผจญภัยไม่ได้มีชื่อเล่นว่านักฆ่าตัวตาย

“เธอรออยู่ที่นี่ไปก่อน ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน”

“ข้าจะไปด้วย”

“ไม่ชอบรึไงที่ได้พัก? งานนี้อันตรายมากจริงๆ”

ลิลี่ส่ายหน้าจนเส้นผมสีดำขลับสะบัด

ถึงจะได้พัก แต่เธอไม่พอใจ

“ข้าต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้นำทาง”

ถ้ายืนกรานขนาดนั้น ฉันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ

ยังจำได้ดี ในการสำรวจครั้งแรก

หลังจากไปถึงเหมืองร้างทางตะวันตก ฉันหลบสายตาของพวกเมดูซ่าและแอบเข้าไปในถ้ำ

ไม่นานก็ได้พบหลุมลึกที่พาลงไปใต้ดินหลายสิบเมตร

อาศัยแสงสว่าง ฉันตรงเข้าไปเรื่อยๆ

สิ่งที่พบคือทางแยก ห้องกว้าง หน้าผา และสะพานหินผุพัง

“ก็ได้… งานนี้ทำคนเดียวลำบากอยู่แล้ว”

“แล้วทำไมเจ้าถึงอยากไปคนเดียว?”

ลิลี่ยังไม่เข้าใจความนัยของประโยคดังกล่าว

* * *

กลางดึกสงัด ฉันเดินไปตามทุ่งกว้างและทางเดินกรวด

“เดี๋ยวนะ… หยุดก่อน”

ขณะเดินตามหลัง ลิลี่ออกอาการตื่นตระหนก

“จะเข้าไปทั้งอย่างนี้จริงหรือ? ไม่ได้ลืมอะไรใช่ไหม?”

“ลืมอะไร?”

“ข้างหน้าเป็นรังเมดูซ่า! พวกเราควรซ่อนตัวหรือไม่ก็เตรียมความพร้อมให้ดีกว่านี้”

ในตอนที่เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาฉันอาศัยอยู่ในเหมืองแร่ทางตะวันตก ลิลี่ตกใจมาก

สัตว์ร้ายที่สามารถแช่แข็งเป้าหมายได้ด้วยการจ้องมอง ไม่มีทางที่สิ่งนี้จะไม่เป็นภัยคุกคาม

“ถึงเจ้าจะมีพลังกร่อนโลหะ… แต่ถ้าเมดูซ่ารวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ นั่นคงไม่ช่วยอะไรนัก… และธรรมชาติของพวกมันคือการรวมกลุ่ม”

“ก็จริง”

“…ข้างหน้าอันตรายมาก”

ลิลี่พยายามไม่แสดงออก แต่เธอกระสับกระส่ายชัดเจน

แต่เพียงไม่นาน หญิงสาวจับมือของฉันพร้อมกับส่ายหน้า

“ข้าเชื่อใจเจ้า”

“…ฉันเคยแสดงความน่าเชื่อถือให้เห็นตอนไหน”

“แวมไพร์เชื่อใจคู่เชื่อมวิญญาณเสมอ จะเชื่อใจไปจนตาย”

“โลกสวยจัง”

“ข้าไม่ได้โลกสวย! นี่คือเกียรติของแวมไพร์ เจ้าไม่มีทางเข้าใจ”

ทำไมต้องเถียงเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น? ฉันตกใจนิดหน่อย

หลังจากนั้น เธอเริ่มเดินด้วยย่างก้าวเด็ดเดี่ยว ดูเหมือนว่าเจตจำนงที่ ‘เลือกจะเชื่อใจ’ ช่วยขจัดความกลัวไปได้หลายส่วน

แน่นอน ฉันไม่คิดที่จะทำลายความเชื่อใจนั้น

ลืมไปแล้วว่าที่นี่คือรังเมดูซ่า? ฉันไม่ใช่มือสมัครเล่นสักหน่อย

“…เอ่อ”

เมื่อภูเขาหินขยับเข้าใกล้ ลิลี่เริ่มพบความผิดปรกติ

“ทำไมแถวนี้ถึงสว่าง? เจ้าติดตั้งแสงไฟไว้หรือ”

ฉันส่ายหน้า

“ชู่ว…! ข้าได้เสียงบางอย่าง”

เป็นธรรมดาที่ลิลี่จะหูดีกว่ามนุษย์

ยิ่งเราเข้าไปใกล้ กลุ่มของเงารางก็ยิ่งชัดเจน

ทันใดนั้น ลิลี่หันมาจ้องหน้าฉัน

“…มีความสุขมากไหม”

“เรื่องอะไร?”

“ข้านึกว่าเจ้าไม่สนใจการเป็นราชาเสียอีก”

ฉันพยายามเมินสายตาเชิงตำหนิของลิลี่

สาบานได้ ฉันไม่เคยคิดเรื่องการเป็นราชาจริงๆ

เพียงแต่ว่า

“ท่านคนบ้า!”

“กำลังรออยู่เลย ท่านคนบ้า!”

ในเมื่อมีมือเท้าดีๆ อยู่ข้างกาย ถ้าไม่ใช้ก็น่าเสียดายแย่

ชายฉกรรจ์ราวหนึ่งร้อยคนที่ถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน

ศพเมดูซ่ากระจายเกลื่อนพื้น

ท่ามกลางฝูงชน เอลฟ์เฒ่าร่างใหญ่ปรากฏตัวพร้อมกับไม้เท้า

อีกฝ่ายไม่ได้สวมชุดนักบวชเหมือนตอนอยู่ในหมู่บ้าน แต่เป็นชุดหนังที่เคยสวมสมัยเป็นนักล่า

“ท่านคนบ้า”

ชาวบ้านทางใต้คุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง

“ท่านมาตามเวลานัดหมายพอดิบพอดี”

“ขอบคุณที่มอบโอกาสให้เราพิสูจน์ตัวเองว่ายังมีประโยชน์กับท่าน”

“ยืนขึ้นเถอะ ฉันไม่ชอบพิธีรีตอง”

ทุกคนยืนขึ้นทันที

“ที่พวกนายต้องทำมีเพียง ค้นหาสปริกแกนให้พบ ถ้าใครเจอให้รีบแจ้งทันที ที่เหลือฉันกับลิลี่จะจัดการเอง”

ในเวลาเดียวกัน ฉันได้ยินลิลี่กระซิบว่า ‘นี่สินะ ที่เจ้าเคยพูดถึง’

สำหรับงานที่ยากจะทำคนเดียวให้เสร็จ การเกณฑ์คนมาช่วยไม่ใช่เรื่องผิด

นักบวชมองไปรอบตัวและกล่าว

“แต่ท่านคนบ้า ตอนนี้คนของเรากำลังแยกย้ายกันไปขจัดสิ่งชั่วร้าย ช่วยรออีกสักครู่ ข้าจะออกคำสั่งเรียกทุกคนกลับมารวมตัว”

“ฉันทำเอง”

อัญมณีสีเขียวถูกแงะออกจากเข็มชี้และกำไว้ในมือ

วาบ!

คันศรนักพเนจร

นั่นคือชื่อที่ฉันตั้ง

ดูเหมือนว่านักบวชจะรู้จักมันเช่นกัน

“นี่มัน… หลักฐานของผู้ปกครอง!”

ดวงตาของนักบวชที่เคยจ้องฉันด้วยความคลั่งไคล้ ยามนี้กำลังเปล่งประกายยิ่งกว่าเก่า

น่าขนลุกชะมัด

“ท่านคือผู้ปกครอง… สินะ?”

มือไม้สั่นทำไม?

ใช้เวลาสักพักกว่าคำถัดไปจะหลุดออกมา

“ไม่เพียงจะสร้างท่านดารากร แต่ยังเป็นถึงผู้ปกครอง… ท่านมาจากที่ใดกันแน่?”

“ท่านคนบ้า!”

“ท่านคนบ้า!”

ไว้ค่อยเอะอะกันวันหลังได้ไหม

ฉันจินตนาการถึงลูกศรชนิดหนึ่งที่เคยเห็นในหนังสือ

แสงสว่างทยอยมารวมตัว กลายเป็นลูกศรยาวในมือซ้าย

ชาวบ้านต่างพากันส่งเสียง ‘โอ้~’ ดังระงม

เพียงไม่นาน ศรถูกสร้างเสร็จ

มองผิวเผินอาจดูเหมือนลูกธนูไม้ทั่วไป แต่ส่วนปลายไม่ได้แหลมคม หากแต่มีทรงคล้ายแตรงาช้าง

ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนมันจะชื่อ ‘ศรแตร’

ฉันโก่งคันศร ดึงสายจนสุดและปล่อย

หวูด—!

เสียงแตรดังใสกังวาน

ดังจนทุกคนในละแวกใกล้เคียงต้องแหงนมองฟ้า

“โมห์สmohs”

ทันใดนั้น ลูกธนูที่พุ่งขึ้นฟ้าระเบิดตัวเองดุจดังดอกไม้ไฟ และดับลงในเวลาไม่นาน

ผ่านไปสักพัก สาวกของฉันที่แยกย้ายออกไปทำงาน ทยอยกลับมาและคุกเข่าในท่าก้มหน้า

นี่คือเครื่องยืนยันว่า ลูกธนูของคันศรนักพเนจร มีความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด

ฉันออกคำสั่งพร้อมกับชูคันธนู

“ลุย!”

อันที่จริง นั่นไม่ใช่คำสั่ง เพราะฉันเองก็จะไปด้วย

เรื่องน่าสนุกแบบนี้ ใครจะอดใจไหว?

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด