บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 1 เด็กกำพร้าและผู้อพยพ (Orphan & Immigrant)
คำโปรย
กลียุคแห่งสงครามไม่หมดไม่สิ้น แม้แต่บนโลกใหม่ก็ตาม ลาสนักการเมืองจากประเทศเผด็จการ ผู้ถือคบเพลิงแห่งเสรีภาพ แต่คบเพลิงนั้นมันจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือความวุ่นวายที่ไม่มีวันจบสิ้นกันแน่?
เด็กกำพร้าและผู้อพยพ
(Orphan & Immigrant)
บ้านเมืองยามคํ่าคืนคือเวลาอันเหมาะสมสำหรับการหลบหนีและซ่อนตัว ตามซอกซอยที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยนั้นมีเสียงคนจำนวนมากวิ่งกันอยู่พร้อมคบเพลิงที่ส่องสว่างภายในความมืดมิด พวกเขาเหล่านี้เป็นทหารที่กำลังไล่ตามเด็กคนหนึ่งอยู่ เสียงตะโกนตามไล่หลังทำให้ผู้ถูกไล่ตามต้องหาเส้นทางหลบหนีใหม่ตลอด
ชุดคลุมขนาดใหญ่วิ่งผ่านถนนเล็กด้วยความเร็ว ถึงจะมองไม่เห็นหน้าตาของผู้ที่วิ่งหนี แต่อย่างน้อยก็ระบุได้ว่าเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น
แฮ่กๆ เสียงหอบได้ยินดังชัดเจน ซึ่งมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า ทุกยามก้าวที่ช้าลงอย่าเห็นได้ชัดเจน เด็กน้อยพยายามอย่างมากที่จะหลบหนีกลุ่มผู้ติดตามอย่างสุดชีวิต แต่เสียงที่ใกล้เข้ามาเลื่อยๆทำให้ความหวังริบหรี่ลงทุกครั้ง
“ข้าจะลดโทษให้ ถ้าเกิดว่าออกมามอบตัว! เพราะงั้นแล้ว ยอมแพ้แล้วออกมาได้แล้วไอ้หัวขโมย!!” นํ้าเสียงที่เหี้ยมเกรียมไม่ได้ช่วยให้เด็กน้อยหยุดที่จะหนีแม้แต่น้อย
แต่ด้วยความมืดโดยไม่มีแสงจันทร์นั้นทำให้ไม่เหล่าทหารผู้ตามนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ชัดมากนัก ผู้ถูกตามล่าวิ่งเข้ามาสุดซอยซึ่งเป็นทางตัน เมื่อหันกลับไปทางเดิมก็เห็นแสงไฟที่ค่อยๆสว่างขึ้น แน่นอนว่านอกจากแสงแล้วก็มีเสียงเท้าที่ใกล้เข้ามาอีกด้วย
เด็กน้อยผู้หลบหนีมองซ้ายขวาเพื่อหาจุดที่สามารถซ่อนตัวได้ นอกจากเศษขยะบนถนนแล้วก็มีแค่ขอบประตูไม้เก่าๆที่ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้เท่านั้น กระโจนเข้าหาประตูไม้ พยายามที่จะผลักให้มันเปิดแต่ก็ไร้วี่แววว่าจะขยับ ไม่มีตัวเลือกมากใช้ลำตัวแนบกับประตู หวังว่าผู้ตามจะไม่เข้ามาในซอยแห่งนี้
“มันไปไหนแล้ว!” เสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเพื่อนทหารของเขา
“แกวิ่งตามทางไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะค้นตามซอยแถวนี้ก่อน แล้วเจอกันที่ส่วนกลาง!” ได้ยินทุกคำพูด ภายใต้ผ้าคลุมมีสีหน้าที่ซีดขาว สุดท้ายก็คงถูกจับอย่างแน่นอน ใช้ความคิดที่มีทั้งหมดแต่ก็ไม่สามารถคิดออกมาได้
แสงไฟที่ส่องสว่างเริ่มเข้าใกล้เรื่อยๆ เด็กน้อยพยายามกลั้นหายใจไม่ให้เสียงหอบอันเหนื่อยล้าเล็ดลอดออกมา มือทั้งสองข้างนำขึ้นมาปิดปากของตัวเองไม่ให้มีเสียงเล็ดลอด สายตาจับจ้องมองแสงที่ค่อยๆสว่างตามกำแพงหินของบ้านอย่างหมดหวัง
!!??…
…ทหารผู้ถือคบเพลิงมองว้ายขวาก่อนจะสบถคำด่าออกมา
“ชิ! ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้หรอกหรือ…” สายตาที่มองไปยังกองขยะ และประตูเก่าๆ ไม่มีหัวขโมยซ่อนอยู่แม้แต่เล็กน้อย ประตูที่ถูกปิดตายแน่นอนว่าหัวขโมยไม่สามารถเปิดมันได้แน่นอน จุดท้ายแล้วเขาก็วิ่งกลับด้วยความหัวเสียที่คิดว่าจะเจอหัวขโมยหลบอยู่ในซอยแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะไปดูจุดอื่นแทน
เฮ้อ… เสียงถอนหายใจยกใหญ่ของหญิงสาวหลังประตูไม้
ข้างในประตูที่ดูเหมือนจะไม่มีคนอาศัยอยู่นั้นกลับมีคนอยู่ ก่อนที่ทหารจะมาเจอกับผู้หลบหนี ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับมือไปรวบเด็กน้อยเข้าไปข้างในช่วยได้ทันเวลา เมื่อไม่มีวี่แววของผู้ตาม ก่อนที่เธอจะลงมือที่จับปากของผู้หลบหนีออกและกล่าว
“เด็กอย่างนายไปทำให้พวกลีโอโกรธมาหรือไง? ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้ช่วยมีหวังถูกพวกมันจับไปยิงแล้วรู้หรือไม่!?” หญิงสาวกล่าวดุ แต่เสียงที่อ่อนระโหยและเหตุผลก็ทำให้หญิงสาวต้องกลืนคำของตัวเอง
พวกพี่ๆของข้ากำลังอดตาย จะให้ข้าปล่อยให้พวกเขาตายงั้นหรือ!?
มือเล็กถอนผ้าคลุมหัวออก ในตอนแรกหญิงสาวคิดว่าเป็นเด็กผู้ชาย หากแต่เป็นเด็กสาวแทน เส้นผมสีเลือดหมูเช่นเดียวกับในตาของเด็กสาว ใบหน้าที่ซะบักซะบอม ร่างกายที่ผอมแห้ง
“สาวน้อยต่อให้บ้านของเจ้าไม่มีอาหาร แต่ก็ควรให้พ่อแม่ของเธอเป็นคนหาแทนจะดีกว่านะ” หญิงสาวผู้ช่วยชีวิตลูบหัวเด็กสาว
“พวกข้าไม่มีพ่อแม่…” หญิงสาวได้ยินถึงกลับพูดอะไรไม่ออก เธอจับตัวเด็กสาวเข้ามากอดเพื่อปลอบใจและกล่าวขอโทษที่พูดถึงพ่อแม่ของเด็กสาว
เด็กกำพร้าบนโลกใหม่นั้นน่าสงสารกว่าผู้ย้ายเข้ามาใหม่เสียอีก…
“ฉันชื่อคิริลลอฟนา เฟิ่ง (Kirillovna Feng) จะเรียกว่าคิริลเฉยๆก็ได้ เธอละชื่ออะไร” คิริลกล่าวถามเด็กสาว ขณะที่เธอเดินไปจุดไฟตะเกียง แสงสว่างเผยให้เห็นร่างของคิริล หญิงสาวครึ่งมนุษย์ หางยาวเกล็ดหนาสีขาว ดวงตาคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน และเขาสีดำที่เด่นชัด
“เทลมา (Thelma)” เด็กสาวกล่าวตอบคิริล
ไม่ทันได้กล่าวพูดอะไรเพิ่มเสียงของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นมา
“เฟิ่ง- เธอคงไม่คิดจะรับเด็กพวกนี้มายุ่งกับปฏิบัติการของพวกเราหรอกนะ?” เด็กสาวหันมองไปมองชายผู้มาใหม่ด้วยความกลัวเล็กน้อย ชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องพ่อค้าสีดำที่เห็นได้ทั่วไปในอาริกาเซีย พ่อค้าจากสหพันธ์การค้า
“กัปตันฉันจะรับผิดชอบเด็กๆพวกนั้นเองค่ะ” คิริลกล่าวตอบกลับด้วยความหนักแน่น
ก่อนที่เธอจะพาเทลมาไปห้องพักของเธอ แน่นอนเมื่อเทลมาได้สัมผัสที่นอน ดวงตาเล็กของเด็กสาวก็ปิดลงอย่างเชื่องช้าก่อนจะหลับด้วยความเหนื่อยล้า คิริลลูกหัวและเส้นผมสีเหลือดหมูของเทลมาเล็กน้อยก่อนจะจับผ้าห่มเพื่อช่วยให้ความอบอุ่นแก่เทลมา ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องที่กัปตันนั่งอยู่
ภายในห้องไม่ได้มีแค่สองคนแต่มีถึงหกคน ชายและหญิงแต่ละคนกำลังทำความสะอาดอาวุธซึ่งคือปืนคาบศิลาของชาวลีโอเนีย คิริลเดินไปหาชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าขอเธอ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปกับเด็กคนนั้นเพื่อรับพี่สาวของเธอก่อนจะไปยังที่ลี้ภัยของแสงตะวันออก ก่อนจะไปรวมตัวกันตามแผนการที่วางเอาไว้ค่ะ ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“หากพวกลีโอเนียจับเจ้าได้ แผนการของท่านหญิงแอร์จะพังทันที เจ้าแน่ใจนะว่าจะรับผิดชอบเอง” กัปตันกล่าวโดยที่ไม่มอง
“ก็ฉันถึงได้บอกไงคะ ว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” มือหยิบปืนคาบศิลาขึ้นมาตรวจสภาพเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่นในกลุ่ม เช็ดทำความสะอาดช่วยหลอมลูกปืนและแยกดินปืนเป็นชุด พรุ่งนี้งานหลักของพวกเธอก็จะมาถึง ความมุ่งมั่นถูกแสดงออกมาภายในดวงตาที่เหมือนนักล่า
…
เมื่อยามเช้ามาถึงคิริลก็พาเด็กสาวออกมาข้างนอกก่อน พร้อมกับคนอื่นๆที่ยืนรอกันอยู่หน้าประตู เทลมาจับมือคิริลด้วยความกลัวและความหวังว่าคิริลจะช่วยเหลือพวกพี่ๆของเธอ
“มาให้ทันจุดนัดพบ” เขาชะงัก “เอคริสเปียต้องการคนปลุกให้ตืนจากฝัน ไม่งั้นเส้นทางระหว่างโฟลิและตอนใต้ทั้งหมดจะถูกตัดขาด จำใส่หัวเอาไว้” กัปตันกล่าวก่อนยืนถุงขนาดกลางในกับคิริล โดยที่ไม่ได้บอกอะไรมากนักทั้งสองกลุ่มจะแยกกันทันที
“เทลมาพาฉันไปหาพี่สาวของเธอกัน” คิริลกล่าวกับเด็กสาว
ทั้งสองเดินผ่านตัวเมืองไปยังเขตที่มีแต่คนยากจน ผู้หิวโหย เมืองอากริปปินา รัฐเอคริสเปีย เป็นหัวเมืองหลักขนาดกลาง เดิมที่เป็นเมืองที่ยากจนพอตัว แต่หลังได้รับผลกระทบจากกฎหมายใหม่นั้น มันทำให้มีผู้คนที่ยากจนมากกว่าเดิมสองเท่า
บ้านโทรมๆที่อยู่ในส่วนลึกของเมืองดูยังไงก็เหมือนกับซากโบสถ์มากกว่า คิริลเดินตามเทลมาเข้าไปข้างใน ข้างในนั้นมีต้นหญ้าต้นไม้ขึ้นให้เห็น แสดงถึงความเก่าแก่ที่ไม่มีคนดูแลมานาน โบสถ์คาดว่าน่าจะเป็นของศาสนจักรแห่งพระเจ้าที่แท้จริง
แน่นอนว่าชาวอาณานิคมส่วนมากไม่ได้มีความเชื่อแบบเดียวกับแฟแลงซ์แต่อย่างใด นั้นคงเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครมาดูแลโบสถ์แห่งนี้
เดินตรงเข้าไปข้างในซึ่งเป็นข้างหลังโบสถ์สภาพยังดูดีอยู่มาก แต่ประตูนั้นเก่าจนเรียกว่าน่าจะพังได้ง่ายๆเลยก็ว่าได้ พวกเธอเข้าไปข้างในโดยมีแสงจากรูหลังคา
“ท่านพี่!” เทลมาวิ่งไปหากลุ่มผู้หญิงในห้องอย่างเร่งรีบ ซึ่งในห้องมีเด็กสาวจำนวนมาก เด็กกำพร้าเหล่านี้เป็นผู้หญิงหมดทุกคนน่าแปลกที่ไม่มีเด็กผู้ชายเลย
“หยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้ามาจับพวกเราไปเป็นทาสหรือ!” เสียงของเด็กผู้ชายดังมาจากข้างหลังพร้อมกับแท่งไม้แหลมที่เหมือนกับหอกจี้หลังของเธอ
หากเป็นคนปกติคงยกมือยอมผู้ถืออาวุธแล้วไป คิริลกลับหลังจับแท่งไม้ที่เหมือนกับหอกก่อนจะแยกหอกกับมือของเด็กชายออกจากกันด้วยความเร็วผิดมนุษย์
“นายควรทำให้หอกแหลมกว่านี้…” คิริลกล่าวก่อนจะหักไม้ออกเป็นส่องทอนทันที
เขาโกรธทันทีเมื่อเห็นอาวุธที่ตัวเองสร้างมาถูกพังอย่างไร้เยื่อใย เด็กชายวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวด้วยแรงที่มีหวังจะต่อยแต่มือของเธอก็จับหัวของเขาไม่ให้เข้าใกล้อย่างง่ายดาย
“ท่านคิริลหยุดก่อน!! เจ้าก็ด้วยอเล็กซ์ ท่านผู้นี้เป็นคนช่วยชีวิตข้า” เทลมาตะโกนห้ามปรามทั้งสอง
“ยัยกิ้งก่าเนี่ยนะที่ช่วยเจ้า!? เจ้าคงถูกยัยนี่หลอกแล้ว ไม่มีใครเขาอยากจะช่วยเด็กกำพร้าอย่างเราหรอกนะ เร็วรีบพาพวกพี่ๆหนีไปเร็ว!” อเล็กซ์พูดเสร็จมือของหญิงสาวก็ทุบลงที่หัวของเขาด้วยความแรง จนต้องลงไปนอนด้วยกุมหัว และร้องด้วยความเจ็บปวด
“ระวังปากด้วยไอเด็กเวร! ฉันเห็นถึงความหวังดีของเทลมาเฉยๆนะไม่งั้น ฉันจะปล่อยให้นายตายอยู่ในสถานที่เน่าๆแห่งนี้ไปแล้ว!” คิริลกล่าว ก่อนจะเดินหาเด็กที่เหลือข้างใน เปิดถุงผ้าออก พร้อมกับกลิ่นหอม ทุกคนต่างมายังที่หญิงสาวยืนถืออยู่
“มากินขนมปังกันก่อน…” คิริลมองเหล่าเด็กที่อยู่ภายในห้องของโบสถ์ร้าง มีจำนวนเด็กที่ถูกทิ้งไว้ในที่แห่งนี้ 13 คน ซึ่งรวมไปถึงเทลมาและเด็กหนุ่มที่ยังคงมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจอยู่
เหล่าเด็กน้อยที่ไม่เคยได้กินอาหารที่เยอะเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าที่เหมือนมีความหวัง สายตาที่ไร้ชีวิตเริ่มกลับมาเป็นปกติ เมื่อกินกันจนหมดแล้ว คิริลก็พูดกับเหล่าเด็กๆ
“พวกเธออยู่รอดแน่นอนถ้าเกิดยังอยู่ในห้องนี้ เพราะงั้นแล้วฉันจะพาพวกเธอไปกับฉัน แต่ว่า…” คิริลชะงัก “ถ้าพวกเธอมากับฉันพวกเธออาจจะไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี้อีกต่อไป เพราะงั้นฉันจะไม่บังคับพวกเธอ”
ภายในห้องเกิดความเงียบทันทีที่หญิงสาวกล่าวเสร็จ เด็กๆพวกนี้ไม่ได้มีความคิดแบบเดียวกับผู้ใหญ่ คิริลเลยพายามพูดให้เด็กกำพร้าเหล่านี้เข้าใจง่ายๆ เธอหวังว่าเด็กเหล่านี้จะเลือกเส้นทางของตัวเอง
“อยู่นี้ก็ตายอยู่แล้ว… เฮ้ย! ยัยกิ้งก่า ข้า- ไม่สิพวกเราอยากจะไปด้วย พวกเราเป็นเด็กกำพร้าก็จริง แต่สงครามกำลังเกิดใช่ไหมล่ะ? แล้วเราจะได้พิสูจน์ว่าเราเองก็มีค่ามากกว่าที่พวกเขาพูดกัน” คิริลจ้องมองอเล็กซ์และคิดในใจ
‘ ไอเด็กบ้านี่มักใหญ่ใฝ่สูงเสียจริง ’
“ฉันจะพาพวกเธอไปยังที่ๆดีกว่านี้ มีอาหารและที่นอนพัก ปลอดภัยแน่นอน พวกเธอไม่จำเป็นต้องกลัวใครจะจับไปเป็นทาส แต่ก็ไม่ได้อยู่โดยไร้สิ่งตอบแทนเช่นกัน พวกเธอจะต้องช่วยงานบ้านเป็นการตอบแทน ฉันสัญญาณพวกเธอจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้แน่นอน” หญิงสาวเป็นพวกไม่คิดหน้าคิดหลัง พูดไปก่อนแล้วหาทางที่หลัง หลังจากนี้เธอต้องขอให้ท่านหญิงแอร์นาฝึกสอนเด็กๆเหล่านี้ คิริลมองตัวเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ความเห็นแก่ตัวของเธอเป็นสิ่งที่ดีในบางครั้ง
อย่างน้อยเธอก็อยากจะตอบแทน ผู้คนที่ให้ที่อยู่อาศัยบนดินแดนแห่งโอกาสแห่งนี้
คิริลพาเหล่าเด็กกำพร้าไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ขอบเมืองอากริปปินา บ้านหลังนี้เป็นที่พักหลบซ่อนของเหล่าทาสหลบหนี ที่หลบภัยสำหรับกลุ่มแสงตะวันออก
เธอส่งเด็กๆให้กับผผู้ดูแลจากกลุ่มแสงตะวันออกซึ่งเป็นหญิงชรา หลังจากนี้พวกเด็กเหล่านี้จะเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ปลอดภัยที่สุดคือขอบชายแดนอาณานิคม
อเล็กซ์และเทลมานั้นต่อต้านที่จะเดินทาง มีเพียงแค่รอยยิ้มและมือของหญิงสาวเป็นสิ่งอำลา ทั้งสองดูเศร้าเล็กน้อย แต่ทั้งสองก็ต้องจำใจออกห่างจากตัวคิริล
ไม่ใช่ว่าเพราะทั้งสองไม่เข้าใจ ทั้งสองรู้ว่าหากยังคงติดตามหญิงสาวต่อไปก็มีแต่จะทำให้แผนการเสียหาย คิริลยกยิ้มกับความฉลาดของเด็กทั้งสอง
ออกห่างจากบ้านหลบภัยของกลุ่มแสงตะวันออก เธอเดินกลับเข้าตัวเมืองโดยไม่เร่งรีบ ก่อนจะเข้าไปยังจุดนั้นพบซึ่งเป็นตึกสมาพันธ์การค้า มีคนอยู่ข้างในจำนวนมาก ปืนคาบศิลาที่ถูกขโมยมาถูกนำมากองไว้บนโต๊ะไม้ สายตาของทุกมองไปยังแผนผังของเมือง บ้านของพวกเขา
พวกเขาเรียกตัวว่าชาวเอคริสเปีย ถึงแม้ว่าเอคริสเปียจะเป็นชื่อของกลุ่มนักสำรวจชาวลีโอเนียที่มายังอาริากเซียรุ่นแรก และหลายคนก็ไม่ใช่เชื้อสายของเหล่าเอคริสเปีย แต่มันคือบ้านของพวกเขา มันคือดินแดนที่พวกเขาได้รับโอกาสเป็นครั้งที่สอง
เอคริสเปียมีเป็นอาณานิคมผสม เนื่องจากไม่ได้เพียงแค่ชาวลีโอเนียผู้เกิดบนโลกใหม่หรือตอนนี้ถูกเรียกว่าชาวอาณานิคมแทน แต่มีชาวยูตร้า โดสสเลเลน อัลชลาฟไวส์ หรือแม้แต่อาชิช่ะก็อาศัยอยู่ในอาณานิคมแห่งนี้
ไม่มีใครกล่าวอะไร จนกระทั่งชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับร่างกายอันใหญ่ยักษ์ พ่อค้าครึ่งมนุษย์เผ่าหมี เขาเดินมาพร้อมกับแรงกดดันที่มากกมาย ก่อนจะเริ่มกล่าวกับทุกคนในห้อง
“สหจักรวรรดิได้หมดความอดทนเฉกเช่นเดียวกับพวกเรา” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะใช้ไม้เท้าชี้ไปยังเมืองเล็กๆนอก ห่างจากอากริปปินา เมืองกรีน โมตาลี
“คลังดินปืนของเอคริสเปีย” เขากล่าว “กองกำลังลีโอเนียจำนวน 700 คนกำลังเตรียมเดินทางเข้ายึดคลังดินปืน พวกเขาเชื่อว่าพวกกำลังแอบสะสมอาวุธ ซึ่ง… มันแน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเราซ่อนเอาไว้”
“ท่านหญิงแอร์นาอุตส่าห์แจ้งข้อมูลสำคัญเช่นนี้มาแล้ว! ก็สมควรถึงเวลาที่พวกเราจะโผล่ขึ้นมาจากใต้ดินได้แล้ว แยกเป็นสองกลุ่ม กัปตันจอห์นนำกลุ่มแรกค่อยดักส่ายข่าวม้าเร็วพวกมัน กลุ่มสองคิริล เฟิ่นไปแจ้งรวบรวมคนที่อาสาที่จะสู้ทั้งหมด รวมไปถึงพวกที่ฝึกมาด้วย พวกเราต้องสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที !” สิ้นเสียงทุกคนต่างทำเริ่มทำหน้าที่เป็นของตัวเอง แยกย้ายกันด้วยความเร็วเหมือนฝึกกันมาแล้ว
คิริลสวมใส่ผ้าคลุมและถือปืนคาบศิลาก่อนจะกล่าวเสียงดังให้กับผู้ติดตาม
“ได้เวลาแล้ว! อย่าให้การฝึกสอนโดยพวกอาสาสมัครบอสตันต้องผิดหวัง พร้อมเคลื่อนพลในนาทีที่ได้รับแจ้ง!” เธอชะงัก “อย่างน้อยเรื่องยิงปืนเอคริสเปียก็เป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ฮ่าๆ” ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าชาวเมืองติดอาวุธ
อุฟ ตอนสุดท้ายของบทที่แล้วลืมใส่ข้อมูลของ (1) และ (2) ต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะที่หายไปนาน เตรียมย้ายของไปมาเหนื่อยมา แฮะๆ
[1]ไม่สามารถถอยกลับไปลูกรักของลีโอเนีย หมายถึง อาริกาเซียซึ่งรุ่นแรกเป็นชาวลีโอเนีย เป็นอาณานิคมที่สำคัญที่สุดของลีโอเนีย จึงเรียกได้ว่าเป็นลูกสาวของเธอ ‘ใช้สรรพนาม "เธอ" เพื่อเรียกประเทศแม่ พบเห็นได้ในวรรณกรรม’
ปล. อยากจะเล่น meme ครอบครัวอังกฤษจังเลย
[2]สิทธิในการปฏิวัติ (Right of rebellion) คือปรัชญาในการเมืองที่ว่า หน้าที่ที่ประชาชนในชาติสามารถล้มการปกครองที่ขัดต่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นสิทธิที่ใช้มาแล้วตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ ถูกใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมกับแก่การกบฏ ตัวอย่างเช่น อาณัติแห่งสวรรค์ (Mandate of heaven)