ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 149 การตายอย่างอนาถของงูดำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 151 อย่าพูดถ้าไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร

MDB ตอนที่ 150 ความขัดแย้งของตระกูลซู


ด้วยท่าทีในการต้อนรับของซูเทียนหลี่ เขาทำราวกับว่าเขาลืมความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขากับหลินจินก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว

อันที่จริง หลังจากที่เขากลับบ้านในวันนั้น ความตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่าอาจารย์เหลียวเป็นผู้ประเมินที่ไร้ความสามารถ แม้ว่าชายคนนั้นจะพูดจาฉะฉานแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการประเมินก็คือผลลัพธ์

ในท้ายที่สุด อาจารย์เหลียวก็พ่ายแพ้หลินจินอย่างหมดท่า

ชายคนนั้นล้มเหลวในการตระหนักถึงสายเลือดที่สำคัญของงูจิ่วหยิงนี้

ที่สำคัญกว่านั้น ไม่ใช่แค่หลินจินเท่านั้นที่รู้แต่อีกคนก็ค้นพบเช่นกัน มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ได้แข่งขันกับซูคานในการประมูลราคา

อย่างไรก็ตาม ซูเทียนหลี่ไม่แยแสกับมันในตอนนั้นเพราะเขาตกหลุมพรางของอาจารย์เหลียว

เขาไปพบอาจารย์เหลียวหลังจากเรื่องทุกอย่างจบ เมื่อไปถึง เขาก็พบว่าคนหลังได้เก็บข้าวของหนีไปแล้ว

บางทีอาจารย์เหลียวคงรู้ตัวว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป เขาคงจะถูกคิดบัญชีอย่างแน่นอน

เมื่อซูเทียนหลี่รู้ความจริงทุกอย่าง เขาโมโหอย่างมาก เขายังคิดที่จะจ้างนักฆ่าเพื่อไล่ตามและฆ่าชายชราคนนั้น

โชคดีสัตว์เลี้ยงสองสามตัวที่เขาซื้อในวันนั้นถือว่าพอรับได้แต่ความจริงที่เขาพ่ายแพ้ มันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

อิทธิพลของซูเทียนหงภายในตระกูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจาก ซูคานซื้องูจิ่วหยิงมา นี่เป็นผลลัพธ์ที่ซูเทียนหลี่หวาดกลัวและเขารู้ว่าต้องทำบางอย่าง มิฉะนั้น ความหวังที่จะโค่นล้มซูเทียนหงและเข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าบ้านก็จะยิ่งลดน้อยลงไปมากกว่านี้

เขายังทำอะไรได้บ้าง?

ง่ายมาก เขาแค่หว่านความไม่ลงรอยกันและให้คนอื่นทำงานสกปรกแทนเขา

งูจิ่วหยิงนั้นมีค่าอย่างยิ่งและด้วยเหตุผลนี้เอง หลายคนจึงจับตาดูมันอย่างใกล้ชิด

ซูเทียนหงตั้งใจที่จะปล่อยให้งูสองหัวนี้ทำพันธสัญญาโลหิตกับซูหยวน ลูกชายคนเล็กของเขา ซูหยวนเพิ่งอายุได้ 16 ปีในปีนี้และเป็นทายาทคนที่สองของตระกูล

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่เด็กชายคนเดียวในวัยสิบหกในตระกูลที่ยังไม่ได้ทำพันธสัญญาโลหิต

ผู้อาวุโสสองของตระกูล ซูเซวียนเต๋อ หลานชายของเขา, ซูกวนก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

พ่อของซูกวนหรือที่รู้จักกันในนามน้องชายคนที่สี่ของทั้งซูเทียนหงและตัวเขาเองได้เสียสละอย่างมากเพื่อครอบครัวในอดีต โชคร้ายที่ชายผู้นี้ติดกับในแผนการของศัตรูและถูกสังหารไปในที่สุด เขาทิ้งลูกชายคนเดียวของเขา ซูกวนไว้เบื้องหลัง นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ซูเซวียนเต๋อให้ความสำคัญกับซูกวนมาก

ผู้อาวุโสสามของตระกูลยังมีหลานทางฝ่ายแม่อีกหลายคนและพวกเขาก็ได้รับการดูแลอย่างดีเช่นกัน

ทางด้านซูเทียนหลี่ เขาเองก็มีลูกสาวคนเล็กซึ่งเพิ่งอายุสิบหกปี ทำให้เขามีสิทธิ์ในการ 'แข่งขัน' สำหรับโอกาสในการทำพันธสัญญาโลหิต

ดังนั้น ซูเทียนหลี่จึงเริ่มวางแผน เขาวางแผนที่จะนำแผนของเขาไปใช้จริงในอีกไม่กี่วันต่อมา แต่ตอนนี้งูจิ่วหยิงเกือบจะถูกขโมยไป ซูเทียนหงต้องการให้ทำพันสัญญาโลหิตทันที ซูเทียนหลี่รู้ว่าเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป

ทันใดนั้น ซูเทียนหงก็พาเด็กอายุสิบหกปีที่ดูเหมือนเขามาด้วย

“ผู้ประเมินหลิน นี่คือลูกชายคนสุดท้องของข้า ซูหยวน หยวนเอ๋อร์ มาทักทายผู้ประเมินหลินสิ”

เมื่อได้ยินคำสั่งของซูเทียนหง เด็กหนุ่มก็ทำความเคารพหลินจินทันที

หลินจินยิ้มรับ

นี่คือน้องชายของซูคาน ซูหยวน พวกเขาเป็นพี่น้องกัน จึงทำให้ทั้งคู่ดูเกือบจะดูเหมือนกันแต่ซูหยวนนั้นดูขี้กลัวอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็รู้ถึงมารยาทของเขา

"ไม่เป็นอะไร การทำพันธสัญญาโลหิตนี้ใช้เวลาไม่นานและมันจะจบลงในไม่กี่นาที” หลินจินอธิบายด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ

อย่างไรก็ตาม ซูเทียนหลี่ก็เข้ามาใกล้พวกเขาและพูดว่า “ช้าก่อน!”

ซูเทียนหงตกตะลึง “น้องรอง นี่มันเรื่องอะไร…”

“พี่ใหญ่ ข้า ซูเทียนหลี่ ปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนี้!” เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าซูเทียนหลี่จะไม่รู้สึกไม่ดีเมื่อพยายามสร้างปัญหา

“ถึงแม้ว่าจะเป็นซูคานที่ซื้องูสองหัว แต่เขาทำในนามของตระกูลและเงินทุนของตระกูล แล้วทำไมซูหยวนถึงมีสิทธิ์ทำพันธสัญญาโลหิตกับงูตัวนั้น? ท่านพี่กำลังพยายามที่จะบอกโดยนัยว่า ซูกวนและเด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซูอย่างงั้นหรือ!?”

วิธีที่เขาตั้งคำถามนั้นทั้งเสี่ยงและทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากขึ้น

สีหน้าของซูเทียนหงมืดลงทันที ในขณะที่ซูคานรู้สึกโกรธขึ้นจากภายใน

อย่างไรก็ตาม ซูคานรู้ว่าไม่ใช่ที่ของเขาที่จะพูดแทรกในสถานการณ์เช่นนี้

ในฐานะหัวหน้าตระกูล ซูเทียนหงตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า

“เรื่องพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งที่หัวหน้าตระกูลจะเป็นคนตัดสินใจเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ในแง่ของคุณสมบัติ หยวนเอ๋อร์เข้ากันได้กับงูสองหัวได้ดีที่สุด

นอกจากนี้ เขายังเป็นลูกชายของข้า คนเป็นพ่อไม่มีทางปล่อยให้ลูกของตัวเองทำพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์วิเศษโลหิตอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด”

เห็นได้ชัดว่าซูเทียนหงไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาแสดงอำนาจของเขาในฐานะหัวหน้าตระกูล

“เทียนหง เจ้ากำลังเพลิดเพลินกับอำนาจของเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสสองของตระกูลซู ซูเซวียนเต๋อก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เหตุผลของเจ้า ช่างไร้สาระสิ้นดี เจ้าต้องการให้หยวนเอ๋อร์ทำพันธสัญญาโลหิตกับงูสองหัวนี้ เจ้าควรปรึกษาเรื่องนี้กับเราตั้งแต่แรก เจ้าจะตัดสินใจด้วยตัวเองได้อย่างไร!?”

ซูเทียนหงค่อนข้างประหลาดใจ ลุงสองของเขาเป็นคนชอบธรรมอยู่เสมอและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตระกูล แล้วทำไมจู่ ๆ เขาก็ก้าวขึ้นมาต่อต้านเขา?

“ลุงรอง ทำไมท่านถึงร่วมมือกับเทียนหลี่ เขาต้องการจะ…”

ก่อนที่ซูเทียนหงจะพูดจบ ผู้อาวุโสสามก็พูดขึ้นเช่นกัน “เทียนหง เจ้าอย่าเพิ่งคิดอะไรเกินเลย สิ่งที่เทียนหลี่พูดมานั้นสมเหตุสมผล ข้ากับผู้อาวุโสสองได้คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าเราควรจะจัดประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลซูของเรา เราจึงไม่อนุญาตให้มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น”

ซูเทียนหงดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษในตอนนี้

เขาไม่เคยคาดหวังว่าผู้อาวุโสของตระกูลจะเข้าข้างซูเทียนหลี่จริง ๆ

แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่าเป็นเรื่องสำคัญแต่คนเหล่านี้ก็แค่ต้องการงูจิ่วหยิงระดับสอง มันมีศักยภาพสูงและยังสามารถเลื่อนขึ้นสู่ระดับสามได้

ทุกคนรู้ว่าใครก็ตามที่มีสัตว์วิเศษระดับสาม คน ๆ นั้นจะกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของตระกูล

ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดลังเลใจ

มือของซูเทียนหงกำลังสั่นเทาด้วยความโกรธ เขาหันไปหาหลินจินก่อนและกล่าวคำขอโทษ

“ผู้ประเมินหลิน ข้าเสียใจที่ท่านได้เห็นฉากที่น่าอับอายเช่นนี้ ข้าต้องขอเชิญท่านไปรอข้างนอกสักครู่ เมื่อเราได้ตัดสินใจแล้ว ท่านสามารถดำเนินการตามแผนของท่านได้”

หลินจินเห็นว่าซูเทียนหงมีปัญหาดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและไม่พูดอะไร

ในฐานะคนนอก มันคงไม่เหมาะสมสำหรับเขาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตระกูลซู

หน้าอกของซูคานยกขึ้นด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องจะพูดมากมายแต่ต้องเงียบไว้ เนื่องจากท่าทางที่เข้มงวดของซูเทียนหง

จากนั้น ซูเทียนหงหันไปหาผู้เฒ่าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นลุงรอง ลุงสาม ข้อเสนอของพวกท่านคืออะไร?”

ผู้อาวุโสทั้งสองยังคงนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการหาโอกาสให้ลูกหลานของตนเอง แต่พวกเขาไม่สามารถพูดได้โดยตรง

แม้พวกเขาจะโลภมากแต่ก็ยังต้องการรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้

ซูเทียนหลี่ได้โพล่งขึ้นมาว่า “มันจะต้องเป็นกระบวนการคัดเลือกที่ยุติธรรม ทำไมเราไม่รวบรวมเด็กที่มีสิทธิ์ทั้งหมดภายในตระกูลมาและตัดสินใจโดยการจับสลาก? หรือเราสามารถให้แต่ละคนลงคะแนนและใครก็ตามที่ได้รับคะแนนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ”

เห็นได้ชัดว่า ซูเทียนหลี่พยายามทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิง

จุดประสงค์เดียวของเขาคือทำลายชื่อเสียงและอำนาจของซูเทียนหง

จากสองตัวเลือกที่เขาให้ไว้ ตัวเลือกแรกอาศัยโชค ในขณะที่อีกตัวเลือกหนึ่งอาศัยความสัมพันธ์ ซูเทียนหลี่หวังว่าหากเป็นอย่างหลังและเขาอาจจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากกว่าที่จะทำลายอำนาจของซูเทียนหง

ไม่ว่าทางเลือกใด ทั้งคู่สามารถลดโอกาสในการชนะของซูหยวนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่สอง ไม่มีทางที่ซูหยวนจะชนะในการโหวตได้

ผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก่อนจะพูดว่า “เราไม่สมควรที่จะตัดสินปัญหาโดยการจับฉลาก ทำไมแต่ละคนไม่ลงคะแนนล่ะ? ทุกคนคิดว่าไง?”

‘ช่างน่าเกลียดอะไรอย่างนี้’

แม้แต่หลินจินก็ส่ายหัวขณะที่มองดู

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อตระกูล พวกเขาจึงต้องเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดเพื่อทำพันธสัญญาโลหิตกับงูจิ่วหยิงนี้

พูดตามตรง แม้แต่หลินจินก็ต้องการงูสองหัวเช่นกันเพราะมันมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด

แต่ปัญหาคือ อนาคตของมันขึ้นอยู่กับเจ้าของที่ทำพันสัญญาโลหิตด้วยเช่นกัน

ซูคานเคยบอกหลินจินเกี่ยวกับซูหยวนมาก่อน ดังนั้น หลินจินจึงรู้ว่าคุณสมบัติของซูหยวนตรงกับงูจิ่วหยิง พวกเขาเข้ากันได้อย่างแน่นอน

สำหรับคนอื่น หลินจินไม่มีความคิดเห็นมากนักเพราะเขาไม่รู้จักใครเลย แต่เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสสองซึ่งซูคานชี้ให้เห็นและบอกว่าเขาคือซูกวน

ซูกวนนี้ดูเย่อหยิ่งอย่างเหลือทนและดูเหมือนเขาจะไม่เคารพใครเลย เห็นได้ชัดว่าเขามีนิสัยเสียและทำตัวเสเพลมาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือคุณสมบัติของเขาไม่เข้ากับงูสองหัวมากเกินไป

ถ้าผู้อาวุโสสองและสามเห็นแก่ตระกูลอย่างแท้จริง พวกเขาจะหยุดซูเทียนหงระหว่างทางและเข้าร่วมการแย่งชิงเพื่อตัวเองได้อย่างไร?

หลินจินตระหนักได้ในภายหลังว่าอายุไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้นหรืออย่างไร ดูเหมือนว่าไม่ใช่ผู้สูงวัยทุกคนที่จะมีสายตาที่เฉียบแหลมตามวัย อายุเป็นสิ่งที่ได้มาฟรี ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ผู้สูงวัยที่แตกต่างในแต่ละคนก็คือวุฒิภาวะของพวกเขา

เมื่อเทียบกับยุคสูงสุดของพวกเขา ดูเหมือนว่าตระกูลซูจะค่อย ๆ อ่อนแอลงโดยการกระทำของคนในตระกูลเอง

เพียงแค่ขัดต่อเจตจำนงของหัวหน้าตระกูลของพวกเขา มันก็เป็นสัญญาณเลวร้ายของตระกูลแล้ว

ในขณะนั้นตระกูลซูได้ตัดสินใจเลือกผู้ทำพันธสัญญาโลหิตโดยการโหวต

ซูเทียนหงไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยและผิดหวังมากยิ่งขึ้นที่สมาชิกในตระกูลของเขาทำตัวน่าอับอายเช่นนี้ เขาอาจจะคิดยอมแพ้เรียบร้อยแล้ว

ทางด้านซูคาน เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“กฎของตระกูลซู หัวหน้าตระกูลมีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องของตระกูล ยิ่งกว่านั้นท่านพ่อไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อตัวเอง เขาได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของทายาทที่มีสิทธิ์ภายในตระกูลและน้องชายของข้าก็เข้ากันได้ดีที่สุด แต่พวกท่านทุกคนที่นี่กลับแสดงทีท่าไม่พอใจ เพื่อสนองต่อความโลภของตนเองและพยายามสร้างความวุ่นวาย นั่นไม่ให้เกียรติต่อหัวหน้าตระกูลเลย! ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ถ้าไม่มีพ่อของข้า ตระกูลซูคงจะล่มสลายไปแล้ว!”

แม้ว่าซูคานจะอายุยังน้อยแต่เขาเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาเหมือนกับการแหย่รังแตน ท้ายที่สุดพวกเขาถูกทำให้อับอายขายหน้าอย่างสมบูรณ์หรืออาจพูดได้ว่าเป็นการจี้ใจดำของพวกเขา

“บังอาจ! เจ้าไม่รู้จักที่ของเจ้า! เจ้าเป็นใครถึงบังอาจมาพูดจาแบบนี้!”

“เทียนหง นี่คือวิธีที่เจ้าสอนลูกชายของเจ้างั้นหรือ? ไม่เคารพผู้ใหญ่เลยสักนิด! เขาไม่รู้จักแม้แต่มารยาทพื้นฐานด้วยซ้ำ!”

“เจ้าช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ซูคาน คุกเข่าลงและสำนึกผิดเสียเดี๋ยวนี้!!”

ราวกับพายุได้ถลาโถม ฝูงชนเริ่มใช้วาจาว่าร้ายซูคาน ทว่าซูคานยืนตรงในขณะที่เขาจ้องมองกลับมาที่พวกเขาอย่างไม่ยอมแพ้

ทันใดนั้น ซูเทียนหงกระทืบเท้าของเขาและเสือโคร่งสีรุ้งก็กระโดดออกมา ปล่อยเสียงคำรามที่น่าเกรงขาม

ฝูงชนเงียบทันที

เห็นได้ชัดว่าเสือโคร่งนี้เป็นของซูเทียนหง มันเป็นสัตว์วิเศษระดับสองที่มีออร่าครอบงำ

ซูเทียนหงวางแขนไว้ข้างหลังและเหลือบมองที่ซูคาน ก่อนที่จะหันไปหาคนอื่น ๆ “ซูคานเป็นลูกชายของข้า ถึงเขาจะทำผิดแต่มันก็ขึ้นอยู่กับข้าที่จะลงโทษเขา มันไม่ควรเป็นเรื่องที่คนอื่นจะเข้ามายุ่ง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาก็เริ่มไหลลงมาตามดวงตาของซุคาน แม้แต่หลินจินก็รู้สึกเคารพซูเทียนหงมากขึ้น อย่างน้อยชายคนนั้นไม่ได้ลงโทษซูคานเพราะเห็นแก่ศักดิ์ศรีของเขาหรือสิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์เหล่านั้น เขาเลือกที่จะปกป้องลูกชายของเขาแทน

นี่คือวิธีที่คนเป็นพ่อแบกรับความรับผิดชอบเอาไว้

หลินจินได้เรียนรู้มากมายหลังจากได้เห็นละครฉากใหญ่ของตระกูลซู พูดตามตรง เขามาเพื่อช่วยตระกูลซูเพียงเพราะซูคานเท่านั้น เขาทำมันด้วยความเคารพต่อซูคานและตอนนี้เมื่อทางตระกูลสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ หลินจินก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมได้แต่เขาสามารถตัดสินใจได้ว่าเขาต้องการช่วยพวกเขาในการสร้างพันธสัญญาโลหิตหรือไม่

ในขณะนั้น หลินจินเดินเข้ามาและตบไหล่ของซูคาน

“ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าเพราะเจ้าเป็นเพื่อนของข้า ข้าจะขอพูดให้กระจ่าง ณ ที่แห่งนี้ ข้าจะไม่ช่วยเรื่องการสร้างพันธสัญญาโลหิต ถ้าคน ๆ นั้นไม่ใช่น้องชายของเจ้า เมื่อพวกเจ้าบรรลุฉันทามติแล้ว ไว้ค่อยมาหาข้าอีกครั้ง”

พูดจบเขาก็กำลังจะจากไป

ตระกูลซูยังคงโกรธเคือง เมื่อได้ยินคำประกาศของหลินจิน ผู้อาวุโสสอง ซูเซวียนเต๋อก็เย้ยหยันทันที

"เจ้าเป็นแค่ผู้ประเมินกลับกล้าพูดอะไรที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ถึงจะไม่มีเจ้าตระกูลซูของเราก็ยังอยู่ดี สิ่งที่เจ้าพูดมาช่างเหลวไหลอะไรอย่างนี้!”

"ใช่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ประเมินเพียงคนเดียวในโลกนี้หรือไร? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าเด็กเหลือขอ หากเจ้าจะไปก็ไปเลย แล้วอย่าเสนอหน้ากลับมาที่นี่อีก!”

ผู้อาวุโสสามสวนกลับวาจาที่ร้อนแรง

นั่นทำให้หลินจินหยุดเดินกลางคัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด